บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 559 การมาของซูอี้
ตอนที่ 559: การมาของซูอี้
ตอนที่ 559: การมาของซูอี้
ผู้ร้ายกาจยุคโบราณเหล่านั้นต่างพากันหัวเราะงอหาย
ท่าทีดูแคลน สบประมาท หยอกล้อเช่นนั้น ทำให้กู่ชางหนิงถึงกับขมวดคิ้ว
ทว่าเขายังคงต้องยอมรับว่าทุกอย่างในเวลานี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!
ก่อนที่จะเข้าสู่เกาะเซียนพระสุเมรุ ซูอี้ก็เหมือนกับปีศาจอสูรในยุคโบราณอย่างหวนเฉ่าโหยว ล้วนอยู่ในขั้นวิถีต้นกำเนิด
ทว่าตอนนี้ พวกของหวนเฉ่าโหยวล้วนย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เหนือกว่าขั้นวิถีต้นกำเนิด!
อีกทั้ง พื้นฐานกับพรสวรรค์ของผู้ร้ายกาจยุคโบราณเหล่านี้ก็มีความแข็งแกร่งด้วยกันทุกคน ชั่วขณะที่พวกเขาย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ผู้อาวุโสในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ณ โลกภายนอกก็ล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอีกต่อไป!!
ยิ่งกว่านั้น ผู้ร้ายกาจยุคโบราณเหล่านี้ต่างก็มาพร้อมกับไพ่ลับและอาวุธร้ายกาจ หากเลือกใครออกมาสักคน คนผู้นั้นก็ย่อมสามารถสร้างภัยคุกคามให้แก่ซูอี้ได้!
หากว่าพวกเขาร่วมมือกัน…
ซูอี้จะมีโอกาสชนะเพียงใดกัน?
‘พูดไปแล้ว ระดับการฝึกตนของซูอี้ก็ยังคงเป็นจุดอ่อน หากว่าเขาสามารถย่างเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ คนพวกนี้ไม่กล้าแสดงความโอหังเหมือนตอนนี้เป็นแน่’
กู่ชางหนิงลอบกล่าว
“พี่กู่ หากว่าพี่ไม่ยินดี พวกข้าก็ไม่บังคับฝืนใจ”
ฉีเซียวกล่าว “แต่ว่า พี่จะต้องคิดให้ดี ถึงแม้การประมือกับซูอี้จะไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก แต่หากเป็นตอนที่แย่งชิงโอกาสตอนเข้าสู่เขาพระสุเมรุ หากว่าพี่กู่เข้ามาสอด พวกเราจะมองว่าพี่กู่เป็นศัตรู”
สายตาของคนอื่น ๆ ก็มองไปที่กู่ชางหนิงเช่นกัน
“ขออภัย ข้าเดินทางลำพังจนเคยชินเสียแล้ว”
พูดจบ กู่ชางหนิงก็เข้ามาใกล้แท่นจุติเทียนเต๋าอย่างเงียบ ๆ แล้ว
เห็นเช่นนี้แล้ว ฉีเซียวก็ขมวดคิ้วด้วยความคาดไม่ถึง
“ไม่รู้จักประมาณตน”
มีคนสบถขึ้น
“หึ ทำเช่นนี้หรือว่าดูแคลนพวกเราเช่นนั้นหรือ?”
มีคนแสดงความไม่พอใจ
หวนเฉ่าโหยวโบกมือ ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางกล่าว “ช่างเถิด ต่างคนต่างมีปณิธาน อย่าได้ฝืนบังคับใจ แต่ว่า เหมือนดังที่ฉีเซียวกล่าว เวลาที่แย่งโอกาสตอนเข้าสู่เขาพระสุเมรุ ข้าจะดูสิว่า กู่ชางหนิงจะกล้าสอดเข้ามาหรือไม่”
แม้จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบาสบาย ทว่าการข่มขู่ในวาจากลับทำให้รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา
สีหน้าของกู่ชางหนิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดิมทีหวนเฉ่าโหยวก็มีนิสัยดุดันเหี้ยมโหดอยู่แล้ว เมื่อถูกเขาเคียดแค้น จุดจบจะดีได้เช่นใดกัน?
ทว่าท้ายที่สุด เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เทียบกับคำข่มขู่ของหวนเฉ่าโหยว การแก่งแย่งที่พัวพันกับซูอี้เช่นนี้ เขาไม่มีทางเข้าไปยุ่งด้วยแน่
“คน ๆ นี้ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับพวกของหวนเฉ่าโหยว ช่างน่าแปลกนัก”
ไกลออกไป ฝ่ายที่มีหลวงจีนเฉินลวี่เป็นผู้นำ อวี่เหวินซู่เกิดสงสัยขึ้นมา จึงถ่ายทอดเสียงพูดคุยกับคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างกาย
“ผิดปกติมากจริง ๆ”
สายตาของเจียงหลีดูมีเลศนัย
ใครบ้างที่ดูไม่ออกว่าในเกาะพระสุเมรุแห่งนี้ กองกำลังที่มีหวนเฉ่าโหยวเป็นผู้นำในตอนนี้มีความแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ไม่มีใครกล้าหาเรื่องด้วย?
แต่ทว่ากู่ชางหนิงกลับปฏิเสธคำเชิญของพวกหวนเฉ่าโหยว
“อย่าว่าแต่กู่ชางหนิงเลย ในเหตุการณ์เช่นนี้ ต่อให้ซูอี้มา ก็ต้องเจอกับสถานการณ์ลำบากยากนักจะรอด ยกเว้นเสียแต่ว่า… เขาเลือกที่จะร่วมมือกับพวกเรา”
อวี่เหวินซู่กล่าวเสียงเครียด
ตอนนี้ที่หน้าภูเขาพระสุเมรุ แบ่งออกเป็นสองฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งคือตัวตนร้ายกาจยุคโบราณที่มีหวนเฉ่าโหยวเป็นผู้นำ
อีกฝ่ายหนึ่งก็คือพวกเขา ผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันที่มีหลวงจีนเฉินลวี่เป็นผู้นำ
ส่วนซูอี้ถือได้ว่าเป็นผู้ร้ายกาจในกลุ่มผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันอย่างแน่แท้
ในความเห็นของอวี่เหวินซู่ หากซูอี้ต้องการจะต่อสู้กับพวกของหวนเฉ่าโหยว ทางเลือกเดียวที่มีก็คือร่วมมือกับพวกเขา
เจียงหลีคล้อยตามในใจ ความคิดนี้เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
ทว่าในเวลานี้เอง ข้างกายหลวงจีนเฉินลวี่ หลวงจีนผู้มีหน้าตางดงามรูปหนึ่งส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ไม่ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามไม่อาจให้ซูอี้เข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเราได้!”
เฉินสิง!
บุคคลรุ่นเยาว์ระดับสุดยอดแห่งวัดมหาจันทรา ศิษย์น้องของหลวงจีนเฉินลวี่
อวี่เหวินซู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าว “เพราะเหตุใด?”
เฉินสิงกล่าวสีหน้าตึงเครียด “หากว่าให้ซูอี้เข้ามาอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกเรา พวกเราทุกคนจะพลอยเดือดร้อน การแก่งแย่งโอกาสในตอนแรกก็จะกลายเป็นการฆ่าฟันเพื่อล้างแค้น”
“อย่างไรเสียพวกเจ้าก็มองเห็นแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่หวนเฉ่าโหยวกับโม่ซิงเจ๋อจะปล่อยซูอี้ไป หากว่าใครร่วมมือกับซูอี้ คน ๆ นั้นก็จะต้องโดนพวกของหวนเฉ่าโหยวแก้แค้น”
พูดถึงตรงนี้ สายตาของเฉินสิงกวาดมองไปที่อวี่เหวินซูกับเจียงหลี “ดังนั้น ปฏิเสธที่จะร่วมมือกับซูอี้ จึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดที่สุด”
อวี่เหวินซู่นิ่งเงียบไป
เจียงหลีเบนสายตามองไปที่หลวงจีนเฉินลวี่ จากนั้นจึงกล่าวคำออก “พี่สหายเต๋าคิดอย่างไรในเรื่องนี้?”
เฉินลวี่กล่าวด้วยสีหน้าสงบราบเรียบมีเมตตา น้ำเสียงแผ่วเบา “ที่ศิษย์น้องเฉินสิงกล่าวมานั้น เหมือนดังที่อาตมาคิดไว้”
เจียงหลีลอบถอนใจ พลางกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว”
เรื่องเช่นนี้ไม่สามารถบีบบังคับใจกันได้
เดิมทีพวกของเฉินลวี่ก็ไม่มีสัมพันธ์อันใดกับซูอี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครกันจะยอมให้ความช่วยเหลือแก่ซูอี้?
ในช่วงอันดับถัดมา มีผู้ร้ายกาจยุคโบราณกับผู้เก่งกล้าในยุคปัจจุบันเริ่มทยอยมาถึงกันแล้ว
ระดับการฝึกตนล้วนอยู่ในขั้นแปรเปลี่ยนวิญญาณ
หลังจากที่หวนเฉ่าโหยวส่งคำเชิญออกไปแล้ว ในบรรดานี้มีผู้ร้ายกาจยุคโบราณสองตนเข้าร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับหวนเฉ่าโหยว
ทำให้ฝ่ายของพวกหวนเฉ่าโหยวมีผู้ที่อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณถึงเก้าตน!
ส่วนพวกของหลวงจีนเฉินลวี่ก็มีผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันบางส่วนเข้าร่วมฝ่ายด้วย
ทว่ามีเพียงแค่หลี่หานเติงแห่งสำนักเต๋าชิงอี่คนเดียวเท่านั้นที่มีระดับการฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ
เมื่อหลี่หานเติงมองดูสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าขอเพียงซูอี้กล้าปรากฏตัวหน้าภูเขาพระสุเมรุ จะต้องตายไร้แผ่นดินกลบเป็นแน่!
เฉิงผูกับฉือเจี่ยนซู่ก็มาแล้วเช่นกัน
ต่อหน้าคำเชิญของพวกหวนเฉ่าโหยวแล้ว ทั้งสองต่างก็ปฏิเสธอย่างไม่เหลือเยื่อใย
ส่วนหวนเฉ่าโหยวไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
ด้วยพลังในตอนนี้ของพวกเขา เพียงพอที่จะเป็นใหญ่ทั่วภูเขาพระสุเมรุแล้ว และไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าเฉิงผูกับฉือเจี่ยนซู่จะมีท่าทีเช่นใด
จนกระทั่งฟ้ามืดสนิทแล้ว
ห่างออกไปไกลจากภูเขาพระสุเมรุ
“ทุกท่าน พวกเราออกเดินทางกันเถอะ โอกาสในภูเขาพระสุเมรุนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะสอดแทรกเข้าไปได้”
เฟิงจื่อตูทอดถอนใจ
เหมยเหยียนไป๋กับโต้วโค่วต่างพากันพยักหน้า
พวกเขายังไม่ได้ย่างก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างแท้จริง หากว่าไปแย่งโอกาสโชคลาภภายใน เช่นนี้ไม่แตกต่างอะไรไปจากหาที่ตายใส่ตัว
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า หากไม่ใช่คนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ก็ไม่มีคุณสมบัติไปแย่งชิงโอกาสในภูเขาพระสุเมรุ!
“ยังดี ถึงแม้จะพลาดโอกาสในภูเขาพระสุเมรุ ทว่าในช่วงเวลาถัดไปเพียงพอที่จะทำให้พวกเราสามารถบรรลุระดับการฝึกตนย่างก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้”
เฟิงจื่อตูเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ
“พวกเจ้าว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ซูอี้กล้ามาหรือไม่?”
โต้วโค่วพลันถามขึ้น
“หากว่าเขามา จะต่างอะไรจากหาที่ตาย?”
เฉียนอวิ๋นพูดด้วยความโกรธ
พอพูดถึงซูอี้ขึ้นมาก็ทำให้เขานึกถึงสมบัติล้ำค่าที่ถูกซูอี้แย่งไป ในใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา
“แต่ข้าจำได้ ซูอี้เคยพูดท้าทายไว้ว่าเขาหวังยิ่งนักว่าจะได้เจอคู่ต่อสู้ที่คู่ควร ทั้งยังหวังว่าเมื่อพวกเราย่างก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้วจะไปหาเขาเพื่อชำระแค้น”
โต้วโค่วอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“หึ ๆ แค่พูดอวดตนเท่านั้น ใครบ้างจะพูดไม่เป็น?”
เฉียนอวิ๋นหัวเราะขึ้นมา แล้วก็พูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า “ข้าขอบอกไว้ตรงนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากว่าซูอี้กล้าต่อสู้กับพวกของหวนเฉ่าโหยว จะให้ข้าเรียกซูอี้ว่าปู่ก็ยังได้!”
“เอาล่ะ พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถิด”
เฟิงจื่อตูพูดพลางเตรียมตัวจะจากไป
ในชั่วขณะนี้เอง ใต้เบื้องฟ้าที่ห่างไกลออกไป พลันปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นมาหลายลำแสง พุ่งไปที่ภูเขาพระสุเมรุ
คนที่นำอยู่ด้านหน้าคือซูอี้!
“คน ๆ นี้กล้ามาจริง ๆ เสียด้วย?”
หนังตาของเฟิงจื่อตูกระตุกอย่างแรง
ดวงตางดงามของโต้วโค่วสว่างวาบ กล่าวหยอกล้อ “เฉียนอวิ๋น โอกาสที่เจ้าจะได้เรียกปู่มาถึงแล้ว!”
เฉียนอวิ๋นหน้าแดงขึ้นมา พร้อมทำสีหน้าเหมือนเห็นผี ฉับพลันหัวเราะเสียงเย็นชา “อีกประเดี๋ยวเจอพวกของหวนเฉ่าโหยวแล้ว ข้าว่าเขาจะต้องตกใจจนเผ่นหนีแน่ ยิ่งกว่านั้น เมื่อสักครู่ข้าก็บอกไปแล้ว หากว่าเขากล้าเปิดฉากต่อสู้กับพวกของหวนเฉ่าโหยว ให้ข้าเรียกเขาว่าปู่ก็ยังได้”
ใคร ๆ ก็สามารถมองออกว่าเฉียนอวิ๋นเริ่มสงบใจไม่ไหวแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็มาดูกันว่าซูอี้จะกล้าสู้ด้วยหรือไม่”
เหมยเหยียนไป๋พูดถึงตรงนี้ ราวกับเกรงว่าเฉียนอวิ๋นจะเข้าใจผิดจึงกล่าว “อย่าเข้าใจผิดไป ข้าไม่ต้องการให้เจ้าไปเจอกับปู่”
เฉียนอวิ๋น “…”
ขณะที่พูดคุยกัน ณ ใต้เชิงเขาพระสุเมรุที่อยู่ไกลโขเกิดความโกลาหลขึ้นมาเช่นกัน
“ซูอี้!”
“เขากล้ามาก ไม่รู้หรือว่าพวกของหวนเฉ่าโหยวต้องการจะฆ่าเขา?”
“ไม่นึกเลยว่า เขาจะกล้ามาจริง ๆ…”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นรอบด้าน ผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบัน เช่นหลวงจีนเฉินลวี่ หลี่หานเติง อวี่เหวินซู่ กับเจียงหลีต่างก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
ในสายตาของพวกเขา พวกของซูอี้แหวกอากาศมากันอย่างเปิดเผย ไม่มีหลบซ่อนแม้แต่น้อย ราวกับไม่ได้รู้เลยว่าสถานการณ์ด้านหน้าเขาพระสุเมรุไม่เป็นใจให้เขาเลย!
“ทุกท่าน เหยื่อมาหาถึงที่แล้ว”
หวนเฉ่าโหยวเผยรอยยิ้มอันโหดเหี้ยมขึ้นมา
“เตรียมตัวให้ดี หากว่าเขากล้าหนี รีบจับพวกเขาในทันใด!”
ประกายสีเงินบาง ๆ ผุดขึ้นในดวงตาของโม่ซิงเจ๋อ สีหน้าเต็มไปด้วยแรงอาฆาต
พวกเขาซึ่งเป็นผู้ร้ายกาจยุคโบราณแทบจับจ้องไปที่ตัวซูอี้ในทันใด
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมา”
เฉิงผูดวงตาลุกวาว พลางกล่าวขึ้นมาเบา ๆ
“เขาก้าวสู่ขอบเขตรวบรวมดาราแล้ว ตามความสามารถและพื้นฐานที่เขาเคยแสดงออกมาในอดีต หากสู้กันหนึ่งต่อหนึ่ง บางทีอาจมีโอกาสงัดข้อกับหวนเฉ่าโหยวได้ แต่หากเก้าต่อหนึ่ง… ข้ามองไม่เห็นโอกาสที่จะชนะแม้แต่น้อย”
ฉือเจี่ยนซู่กล่าว สาวน้อยผมสั้นเรียบเสมอ สองแขนกอดอก คิ้วคมประดุจใบมีดแหลม ความโหดดุร้ายไร้ความควบคุมแผ่กระจายไปทั่วร่าง
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น”
สายตาของเฉิงผูสว่างวาบ “คอยดูก็แล้วกัน ขอเพียงซูอี้ไม่คิดจะถอยหนี การต่อสู้ในลำดับถัดมาจะต้องสนุกเป็นแน่!”
ขณะที่พูดคุยกัน พวกของซูอี้ก็ร่อนลงกับพื้นมาถึงหน้าแท่นจุติเทียนเต๋า กลายเป็นจุดเด่นของทั่วบริเวณนั้น
เมื่อมองเห็นพวกของหวนเฉ่าโหยวยืนอยู่ในลานวิถี สีหน้าของเหวินซินจ้าวกับเยว่ซือฉานเคร่งขรึมลงไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงถือได้ว่าสงบนิ่ง
ทว่าร่างของเก๋อเฉียนกลับสั่นระริก รู้สึกระมัดระวังตัวขึ้นมาอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน ในใจลอบหัวเราะเจื่อน
ก่อนหน้านี้ เขาผู้ที่ทำการใดมักจะระมัดระวังตัวอยู่เสมอเคยเสนอขึ้นมาว่าให้ใช้วิธีพรางกายเข้ามา
หลังจากที่คลำดูสถานการณ์จนชัดเจนแล้วจึงค่อยตัดสินใจว่าจะเข้ามาหรือไม่
ทว่าซูอี้กลับไม่ใส่ใจข้อเสนอของเขาแม้แต่น้อย แต่กลับพาพวกเขาบินมาในที่แห่งนี้อย่างเปิดเผย!
“ศิษย์พี่ซู รีบหนี!”
ไม่ไกลนัก กู่ชางหนิงลอบถ่ายทอดเสียงเพื่อเตือนซูอี้ถึงความเลวร้ายของสถานการณ์ ให้ซูอี้รีบถอยหนีไปโดยเร็ว
ซูอี้คิดสักครู่ สุดท้ายยังคงถ่ายทอดเสียงกลับไป “เหตุใดต้องหนี? สถานการณ์ในวันนี้ ข้ารอมานานมากแล้ว”
เขากับกู่ชางหนิงถือว่ารู้จักกันมานานแล้ว ฝ่ายตรงข้ามยังเคยให้ความช่วยเหลือแก่เยว่ซือฉาน พูดถึงน้ำใจแล้ว ซูอี้ไม่อาจเพิกเฉยต่อคำพูดของฝ่ายตรงข้ามได้
เพียงแต่ว่า เมื่อได้คำพูดของเขาแล้ว กู่ชางหนิงถึงกับนิ่งตะลึง
รอมานานมากแล้ว?
เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่า เขาคนเดียวต้องการจะต่อสู้กับพวกหวนเฉ่าโหยวทั้งเก้าคน ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณให้รู้แพ้รู้ชนะเช่นนั้นหรือ?