บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 56 ขึ้นสองค่ำเดือนสอง มังกรเชิดเศียร
ตอนที่ 56 ขึ้นสองค่ำเดือนสอง มังกรเชิดเศียร
แม้เวลาจะผ่านไปอีกพักใหญ่ก็ยังไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นมาท้าทายซูอี้บนสังเวียนอีก
ซูอี้จึงไม่คิดรอต่อไปอีกแล้ว เขาตัดสินใจกระโดดลงจากเวทีและก้าวเดินตรงออกไปด้วยสองมือไพล่หลัง
สายตาของทุกคนที่อยู่ในงานประลองต่างจ้องตาม แต่ละคนมีสีหน้าต่างกันไป ทั้งตกใจ งุนงง และแตกตื่น…
“คุณชายซู เชิญนั่งลงก่อน!” ฟู่ซานเป็นฝ่ายเริ่มทักทายด้วยความเคารพ
“ที่แท้ เก้าอี้ว่างตรงข้างกายท่านเจ้าเมืองฟู่ ก็เตรียมไว้ให้ซูอี้นี่เอง…”
ผู้ยิ่งใหญ่บางคนเพิ่งตอบสนอง และตระหนักได้ในทันที
ผู้อื่นต่างร่วมเข้าใจ ท่าทีพวกเขากลายเป็นซับซ้อนอยู่ครู่หนึ่ง
แม้จะเป็นเพียงที่นั่งหนึ่ง แต่มันมากพอให้เห็นชัด ว่าฟู่ซานให้ความสำคัญกับซูอี้มากเพียงใด!
“ไม่เป็นไร ในเมื่อเรื่องราวสะสางแล้ว ข้าคงต้องขอตัว” ซูอี้ส่ายหน้าปฏิเสธ
เขาไม่เคยชอบบรรยากาศที่ครึกครื้นวุ่นวายและหนวกหูเช่นตอนนี้
ฟู่ซานไม่กล้ารั้งห้ามไว้ จึงได้ออกคำสั่งไป “ทหาร! พวกเจ้ารีบไปส่งคุณชายซูเดินทางเดี๋ยวนี้!”
“ท่านเจ้าเมืองฟู่ ให้ข้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง” หวงเฉียนจวินที่อยู่ไม่ไกลรีบลุกขึ้น พร้อมตรงเข้ามาโดยทันที
ส่วนเนี่ยเถิงนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินเข้ามาเช่นกัน
พบเห็นเช่นนี้ เนี่ยเป่ยหู่ค่อยรู้สึกโล่งใจ
บุตรชายผู้หยิ่งจองหองมาตลอดของเขาคนนี้ คงถูกภาพลักษณ์ของซูอี้สยบไปเรียบร้อยแล้ว
ซูอี้ไม่กล่าวคำใด ก่อนจะเดินออกไปไกลลิบโดยมีหวงเฉียนจวินและเนี่ยเถิงตามติด
ภาพปรากฏนี้ ทำเอาผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่นี้ต่างเกิดจิตใจปั่นป่วนอีกครา
หวงเฉียนจวินคือบุตรชายของหวงอวิ๋นชงผู้นำตระกูลหวง ส่วนเนี่ยเถิงเป็นบุตรชายของเนี่ยเป่ยหู่ ผู้บังคับบัญชากองทหารองค์รักษ์จวนเจ้าเมือง
ในตอนนี้ ทั้งสองทำเป็นประหนึ่งผู้ติดตามของซูอี้ นี่หมายความว่าสถานการณ์บางอย่างแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว!
“ไม่ดีแล้ว!”
พบเห็นเรื่องราว หลี่เทียนหานจึงนึกอะไรขึ้นได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมสีหน้าแปรเปลี่ยน
ในงานเลี้ยงวันเกิดของนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวิน ฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่ หวงอวิ๋นชง ต่างไม่ลังเลที่จะโต้แย้งกับเขาเพื่อขัดขวางแผนการล้มล้างสถานะบุตรเขยของซูอี้
ในตอนนั้น ทั้งเขาและหลี่โม่อวิ๋นผู้เป็นบุตรชายคิดว่าคงเป็นเพราะเหวินหลิงเจา กลายเป็น ‘ศิษย์ยอดยุทธ์’ จึงทำให้ฟู่ซานและผู้อื่นเลือกเข้าข้างฝ่ายตระกูลเหวิน
กระนั้นตอนนี้ คล้ายว่าไม่ใช่เรื่องนั้นแล้ว!
“เพราะอะไรกัน เหตุใดฟู่ซานจึงให้ความสำคัญต่อซูอี้ถึงเพียงนี้?”
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงจิตใจแปรปรวน ทั้งยังหนักใจ
เขาทราบดี ไม่ว่าซูอี้ในคืนนี้จะทำได้ดีเยี่ยมเพียงใด อย่างไรก็แค่บุรุษผู้หนึ่งที่สำเร็จขอบเขตโคจรโลหิต ไม่มีทางที่จิ้งจอกเฒ่าเช่นฟู่ซานและหวงอวิ๋นชง จะเลือกปฏิบัติด้วยความนอบน้อมได้
แต่ภาพที่เห็นตอนนี้มันบ่งชี้ได้ว่า ตัวซูอี้นั้นยังมีความลับบางประการที่ยังไม่เปิดเผย!
ทั้งยังเป็นความลับขนาดที่ ฟู่ซานและผู้อื่นถึงขั้นมอบความนอบน้อมแก่ตัวซูอี้!
คิดได้ดังนี้ หลี่เทียนหานก็ไม่อาจลังเล พร้อมกระซิบกล่าวบอกคนรับใช้เฒ่าชราข้างกาย
ไม่ช้า คนรับใช้เฒ่าชราผู้นั้นก็รีบจากไป
“น่าเสียดายจริง” พบเห็นร่างของซูอี้ไกลออกไป โจวฮวายชิวที่ลังเลอยู่นาน ขณะนี้ถอนหายใจและยอมปล่อยวาง
เขาเดาได้เลยว่าต่อให้ตอนนี้เขาจะยอมก้มหัวขอร้องให้ซูอี้กลับไปที่สำนักดาบชิงเหอ ซูอี้ก็คงไม่มีทางยอม
กระนั้น มันก็ยากที่ทำใจไม่ให้เสียดายต่อเรื่องราว
“ตอนแรก ยามเขาตกอับ ไม่มีใครสนใจ แม้แต่ตัวข้าเองยังเหินห่างจากเขา”
“บัดนี้เขาหวนคืนสู่วิถียุทธ์แล้ว ซ้ำยังฉายแววเจิดจรัสยิ่งกว่ากาลก่อน แล้วจะให้เขากลับไปยังสำนักดาบชิงเหอที่ทำเขาเสียใจได้อย่างไรกัน?”
“ช่างเถอะ นับจากนี้คงต้องปล่อยไปเลยตามเลย”
โจวฮวายชิวสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อข่มความสำนึกผิดในใจตัวเองไว้
“ศิษย์น้องหนานอิ่ง ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าคงจะเสียดายมากกระมัง?”
ขณะนี้เอง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของหนานอิ่งเหมือนสติหลุดลอยออกไป หนีเฮ่าก็ไม่สามารถระงับความโกรธในใจตัวเองได้ กระทั่งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หนานอิ่งสะดุ้งทันที รูปลักษณ์งดงามเปลี่ยนไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นนางจึงถอนหายใจเบา และกล่าวด้วยความเสียใจออก
“ศิษย์พี่หนีเฮ่า ท่านเองก็น่าจะทราบว่าข้าเคยสนิทชิดเชื้อศิษย์พี่ซูอี้มาสามปี และต่อมา ข้ากับเขาก็กลายเป็นเหมือนอยู่คนละโลกกัน จนข้าคิดว่าชีวิตนี้ของข้าไม่น่าจะพานพบเขาอีกแล้ว แต่ผู้ใดกันคาดคิดว่าตัวข้าจะได้พบเห็นเรื่องราววันนี้”
ยิ่งนางเอ่ยคำ ใบหน้าของหนีเฮ่ายิ่งหมองหม่น ความรู้สึกริษยาปรากฏท่วมท้นในอก
นางสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่พอใจเนื่องจากเขาไม่พูดอะไรเลย นางจึงกล่าวคำออกต่อ “แต่ทั้งหมดนั่นเป็นเพียงอดีต ในใจข้าตอนนี้ไม่มีใครมาแทนศิษย์พี่ได้ ยิ่งกว่านั้น หากข้ายังรักซูอี้อยู่จริง ก่อนหน้านี้ข้าจะเมินเฉยต่อเขางั้นหรือ?”
ยามพูดกล่าว นางวางศีรษะซบบนไหล่กว้างของหนีเฮ่า ถ้อยคำกล่าวออกเสียงนุ่ม “ศิษย์พี่หนีเฮ่า เห็นท่านโกรธเพราะเรื่องนี้ ข้ากลับรู้สึกดีใจ เพราะอย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าท่านชอบพอข้าจริง”
สีหน้าของหนีเฮ่าอ่อนลงทันที ก่อนจะสูดดมกลิ่นหอมจากกายของสาวงามข้างกาย ถ้อยคำเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงไปอีก “ศิษย์น้อง ข้ากังวลมากไปหน่อย ขออภัยที่ทำให้เจ้าหนักใจ”
นางยื่นมือขาวราวหยกออกไปคว้ามือของหนีเฮ่ามา และกล่าวอย่างอ่อนหวานว่า “ศิษย์พี่ไม่ต้องอธิบาย ข้าเข้าใจ”
แต่ในใจนางนั้น นางกำลังคิดถึงเรื่องหนึ่ง
ก่อนที่จะออกจากเมืองกว่างหลิงนี้ จะไปพบซูอี้ดีหรือไม่?
“ท่านพี่ ซูอี้น่ารังเกียจจนเกินไปแล้ว มันเก็บซ่อนพลังของตัวเองเอาไว้ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเราถูกมันหลอก!”
เหวินเส้าเป่ยขุ่นเคืองรุนแรง แต่เพียงกล้าพล่ามบ่นเสียงเบาข้างกายเหวินเจวี๋ยหยวน
“เขาไม่ได้หลอกพวกเรา พวกเราต่างหากที่เมินเขาก่อน”
เหวินเจวี๋ยหยวนมีสีหน้ารันทดใจ
ในวันนี้ เขาวางแผนสร้างชื่อให้กับตัวเอง แต่ผู้ใดกันจะคาดคิด สรรพสิ่งไม่อาจเอาแน่เอานอน ตัวเขากลับกลายเป็นผู้แพ้ที่น่าขำที่สุดในงานประลองประตูมังกรนี้
กลายเป็นหินปูทางแก่ซูอี้
“ท่านพี่ ท่านจะปล่อยเขาไปเช่นนี้งั้นหรือ?” เหวินเส้าเป่ยกล่าวอย่างไม่ยินดี
“เจ้าอยากจะท้าเขาสู้หรือเปล่าเล่า?”
แววตาของเหวินเจวี๋ยหยวนเย็นชา มองยังเหวินเส้าเป่ยประหนึ่งมองคนโง่ “เจ้าไม่เข้าใจหรือ ซูอี้ไม่เพียงแต่ฟื้นคืน แต่ถึงขนาดท่านเจ้าเมืองยังให้ความสำคัญไม่ใช่น้อย! จากนี้ไป เขาจะไม่ใช่หนอนไร้ค่าที่ตระกูลเหวินของเราจะเหยียบย่ำได้อีก!”
น้ำเสียงนี้ฟังราวกับคั้นออกมาจากในอก แสดงให้เห็นความโกรธ ความฝืนใจ และความขมขื่นใจจากส่วนลึก
เหวินเส้าเป่ยถูกย้อนสอนอย่างรุนแรงจนพูดไม่ออก
“ลี่เจี้ยนอวี่ รางวัลอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกรเตรียมพร้อมไว้แล้วกระมัง?”
ใบหน้าของฟู่ซานผลิบาน ถ้อยคำกล่าวเสียงดัง
หากชนะที่หนึ่ง ย่อมได้รับทองหนึ่งร้อยชั่ง สมุนไพรวิญญาณสามชนิด ไข่มุกสิบกล่อง และตำราเคล็ดวิชาลับอันเลิศล้ำ!
มันเป็นรางวัลที่มากมายมหาศาลจนไม่ว่าใครก็ต้องตาลุกวาว
ทุกสายตาในงานประลองหันไปที่ลี่เจี้ยนอวี่
ท่าทางของลี่เจี้ยนอวี่นั้นนิ่งและส่งเสียงคร่ำครวญอย่างเย็นชา “รางวัลนั้นมีอยู่แล้ว ใช่เรื่องต้องให้เจ้ามาเตือนข้า? พรุ่งนี้เช้าข้าจะสั่งคนนำรางวัลไปส่งที่เมืองกว่างหลิง!”
เดิมทีนั้น เขามั่นใจมากว่าโม่เทียนหลิงจะสามารถกุมชัยชนะมาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เตรียมรางวัลอะไรไว้เลย
แต่บัดนี้ การปรากฏตัวของซูอี้ได้ทำลายแผนของเขาโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่จะเสียเกาะไผ่วิญญาณเท่านั้น แต่เขาต้องรีบกลับไปตระเตรียมรางวัลเหล่านี้ด้วย…
หากบอกว่าเขาไม่โกรธ ก็คงเป็นเรื่องโป้ปด
“อย่าลืมว่ามีเกาะไผ่วิญญาณด้วย จากนี้ไปมันจะตกอยู่ในอาณัติของเมืองกว่างหลิง หากข้าพบเจอว่ามีผู้อื่นพยายามเข้าไปในเกาะนี้ โทษคือความตาย!”
ฟู่ซานกล่าวอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม ทว่าคำขู่นั้นถึงตาย
“เหอะ!”
ลี่เจี้ยนอวี่ทนนั่งต่อไม่ได้ จึงลุกขึ้นและเดินจากไป
หากอยู่นานกว่านี้ ก็คงจะสติแตกใส่ฟู่ซาน!
จากนั้นผู้ยิ่งใหญ่คนอื่นจากเมืองลั่วอวิ๋นต่างลุกขึ้นและออกไปตามกัน
แต่ในทางกลับกัน ทางฝั่งเมืองกว่างหลิง บรรยากาศยิ่งชื่นมื่นคึกคัก ผู้คนต่างพากันหัวเราะเย้ยและส่ายศีรษะ
ท้ายที่สุดแล้ว ซูอี้นับเป็นตัวแทนของเมืองกว่างหลิง การที่เขาชนะที่หนึ่งในงานประลองประตูมังกร มันก็หมายความว่าเมืองกว่างหลิงย่อมพลอยได้หน้าไปด้วย
ส่วนผู้แพ้ทำได้ก็เพียงออกไปโดยเงียบงัน
ในความมืดของแม่น้ำต้าฉางนั้น เรือนับพันกำลังลอยลำอยู่ แสงดวงไฟนับไม่ถ้วนเป็นประหนึ่งดวงดารา
ข่าวที่ว่าซูอี้ชนะได้อันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร กระจายไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำต้าฉางอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นที่รู้กันในบรรดาคนทั่วไปของทั้งสองเมือง
ช่วงเวลานี้ เสียงโห่ร้องยินดีดังปรากฏ พร้อมความดื่มด่ำในยามค่ำคืน
…
ที่ประตูเมือง
“พวกเจ้ากลับไปเสีย ไม่ต้องตามส่งแล้ว”
ซูอี้หยุดเดิน ก่อนจะมองไปที่หวงเฉียนจวินและเนี่ยเถิง
หวงเฉียนจวินมีไหวพริบ จึงพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม
เนี่ยเถิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโค้งคำนับซูอี้และกล่าวคำ “พี่ซู ขอบคุณท่านที่ชี้แนะ! เนี่ยเถิงผู้นี้จะไม่มีวันลืมบุญคุณ!”
ก่อนหน้านี้ในงานประลองประตูมังกร ซูอี้ใช้เคล็ดวิชา ‘หัตถ์คว้านกกระจอก’ ต่อกรกับโม่เทียนหลิง เป็นเหตุให้เนี่ยเถิงเข้าใจถึงแก่นแท้และเสน่ห์ของเคล็ดวิชานี้
บัดนี้เมื่อเผชิญกับซูอี้อีกครั้ง ในใจเขาก็มีเพียงความรู้สึกชื่นชมและนับถือ
“จดจำคำที่เจ้าเคยกล่าวไว้ด้วย” ซูอี้พยักหน้า ก่อนหันหลังกลับเดินเข้าไปในประตูเมืองเพียงลำพัง
“ที่ข้าเคยพูดก่อนหน้านี้… ”
เนี่ยเถิงอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก พร้อมประสานมือคารวะส่งหลังซูอี้ไป “พี่ซูอย่าได้กังวล ข้าเนี่ยเถิงจะไม่มีวันลืม!”
“เรื่องใดกัน?” หวงเฉียนจวินอดสงสัยไม่ได้
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” เนี่ยเถิงหันกลับเดินจากไป
หวงเฉียนจวินรีบตามหลังเขาไปทันที “สหายเนี่ย รอข้าก่อน จะว่าไปแล้วเราทั้งสองต่างเป็นคนของพี่ซูด้วยกันทั้งคู่ เหตุใดคืนนี้ไม่ไปสนุกกันที่หอนางโลมเสียหน่อยเล่า? ข้ารู้จักสาวคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อเรื่องวาจาคมคาย ทั้งยังเก่งเรื่องร้องเล่นเต้นรำด้วย!”
ทั้งสองแยกกันไป
ด้านในประตูเมืองนั้น ซูอี้เดินเอื่อยเฉื่อยอยู่ตามลำพัง
คนส่วนใหญ่ในเมืองต่างออกไปชมความงดงามของงานเทศกาลด้านนอกเมือง ทำให้ถนนหนทางที่เคยพลุกพล่านในเมือง กลายเป็นเงียบสงัดและมีเพียงไฟสลัว
บ้างก็มีคนที่เพิ่งกลับจากการชมงานประลองอยู่ในเมืองราวสองสามคน ต่างพูดคุยกันถึงเรื่องการประลองประตูมังกร
กระนั้นแล้วยามซูอี้เดินผ่าน หาได้มีผู้ใดจดจำบุรุษซึ่งเพิ่งชนะเลิศงานประลองประตูมังกรได้
กระทั่งกลับมาถึงสำนักแพทย์ซิ่งหวง
ซูอี้หันมองรอบ และมองท้องฟ้ายามค่ำคืน
ดวงจันทร์กระจ่าง หมู่ดาวพร่างพราย
“ยามโลกหล้าแปรปรวน เป็นยามที่ความรุ่งเรืองดำเนิน”
ขณะพูดนั้น ซูอี้เดินเข้าไปในสำนักแพทย์ซิ่งหวง ร่างสูงนี้ปรากฏเดินไป และโดดเดี่ยวในยามราตรี
ในวันนี้ คือปีที่สองร้อยเก้าสิบเก้าแห่งปฏิทินต้าโจว วันที่สองเดือนสอง ย่ำแรกเดือนแห่งวสันตฤดู
ฟ้าดินเปลี่ยนผัน สรรพสิ่งฟื้นคืน
ในเชิงโหราศาสตร์ ในบรรดายี่สิบแปดกลุ่มดาว ส่วนหัวของกลุ่มดาวมังกรเขียวจะถูกเผยให้เห็นทางฟากฟ้าทิศตะวันออก ส่วนร่างของมังกรเขียวยังคงซ่อนอยู่ในความมืด
ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเรียกวันนี้ว่า ‘มังกรเชิดเศียร’
และในวันนี้คือวันครบรอบที่ซูอี้เคยประสบความสูญเสียการบ่มเพาะไปครบหนึ่งปี
คนทั้งโลกกำลังฮือฮา
แต่หาได้มีผู้ใดทราบไม่
ว่าวันนี้เอง ก็นับเป็นวันเกิดของซูอี้เช่นกัน
และในความทรงจำของซูอี้ เยี่ยอวี่เฟยผู้เป็นมารดาเองก็ตายจากเพราะอาการป่วยหนักในวันนี้ด้วยเช่นกัน
ขณะนั้นเขาอายุเพียงสี่ขวบ แต่กลับต้องเดียวดายในโลกใบนี้เสียแล้ว