บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 560 เพียงแค่โครมเดียวทุกคนก็ตะลึง
ตอนที่ 560: เพียงแค่โครมเดียวทุกคนก็ตะลึง
ตอนที่ 560: เพียงแค่โครมเดียวทุกคนก็ตะลึง
ใต้เชิงเขาพระสุเมรุ
การมาถึงของพวกซูอี้ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุก ๆ คน
คนส่วนใหญ่ตื่นตระหนกเพราะคาดไม่ถึง ไม่นึกมาก่อนเลยว่าซูอี้จะกล้าปรากฏตัวอย่างเปิดเผยเช่นนี้
เพราะว่าในสายตาของพวกเขา ทำเช่นนี้ไม่ต่างไปจากการหาเรื่องตายแม้แต่น้อย!
หลี่หานเติงเห็นเช่นนี้แล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของซูอี้
เขาเคยเห็นคนไม่กลัวตาย แต่ไม่เคยเห็นคนแกว่งเท้าหาที่ตายอย่างซูอี้เช่นนี้
ราตรีมืดมัว บรรยากาศในบริเวณนี้มีเก็บกดไปด้วยแรงสังหาร
“ขอบเขตรวบรวมดารา? หึ ที่แท้ก็บรรลุขอบเขตแล้วนี่เอง”
หวนเฉ่าโหยวหัวเราะขึ้นมา บนใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลนและไม่เกรงกลัวใคร
โม่ซิงเจ๋อกับฉีเซียวก็รู้แล้วเช่นกันถึงความเปลี่ยนแปลงในเรื่องการฝึกตนของซูอี้ ทว่าพวกเขาต่างก็ไม่ได้ให้ความใส่ใจ
เพราะบนหนทางแห่งวิถีต้นกำเนิด อย่างไรเสียก็ต่างไปจากหนทางแห่งวิถีวิญญาณ
หลังจากที่พวกเขาย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว ไม่ว่าความสามารถหรือว่าสภาพจิตใจล้วนเกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น เมื่อเผชิญหน้าต่อซูอี้อีกครั้ง จึงไม่รู้สึกหวาดกลัวเหมือนดังอดีตอีก
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาในตอนนี้มีคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณด้วยกันทั้งสิ้นถึงเก้าคน พื้นฐานและพรสวรรค์ของแต่ละคนล้วนมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก เหนือกว่าเหล่าผู้เฒ่าขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณในตอนนี้มาก
ทั้งหมดนี้จึงทำให้เวลาที่พวกเขาเผชิญหน้ากันจึงได้มีท่าทีราวกับสูงศักดิ์เสียเหลือเกิน
เมื่อเผชิญกับสายตาที่ทุกคนมองมา ซูอี้ก็ไม่ได้สนใจ เพียงแค่ยืนสองมือไพล่หลัง สายตาเย็นชา กวาดตามองดูพวกของหวนเฉ่าโหยวเร็ว ๆ พลางกล่าวคำออก “พวกเจ้าจะรออีกสักหน่อยหรือไม่?”
ทุกคนนิ่งตะลึงด้วยความสงสัย
“เจ้ากำลังรอคนมาช่วยเช่นนั้นหรือ?”
ฉีเซียวขมวดคิ้วถาม
ซูอี้ตอบแย้ง “เปล่า ข้ากำลังให้โอกาสแก่พวกเจ้า ให้พวกเจ้าไปหาคนมาช่วยเพิ่มมากกว่านี้ เช่นนี้ เวลาที่เปิดศึกจะได้จัดการทีเดียวพร้อมกัน”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ออกมา บรรยากาศจึงเปลี่ยนไปแลดูอึมครึมขึ้นมา
พวกของหวนเฉ่าโหยว “…”
พวกของหลวงจีนเฉินลวี่ “…”
พวกของเฟิงจื่อตูที่อยู่ห่างออกไป “…”
เฉิงผูหัวเราะหึ ๆ ขึ้นมา
ฉือเจี่ยนซู่นิ่งตะลึง
กู่ชางหนิงปากกระตุก ตามความคาดหมาย คน ๆ นี้ยังคงมองไม่เห็นหัวใครเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนเลย!
“ฮะ… ฮ่า ๆ… ฮ่า ๆๆ!!!”
หวนเฉ่าโหยวราวกับได้ฟังเรื่องตลกที่ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน เขาเงยหน้าหัวเราะจนน้ำตาเล็ดไหลออกมา
ข้างกายเขา โม่ซิงเจ๋อกับคนอื่น ๆ ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาเช่นกัน
บรรยากาศอึดอัดในตอนแรกหายไปสิ้นเพราะเสียงหัวเราะแห่งความดูแคลนเช่นนั้น
ใคร ๆ ก็ดูออกว่าพวกของหวนเฉ่าโหยวได้ยินคำพูดของซูอี้เป็นเรื่องตลก จึงได้แสดงอาการดูถูกดูแคลนออกมา
ซูอี้เห็นเช่นนี้แล้ว จึงกล่าวกับเหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ที่อยู่ข้างกาย “พวกเจ้าคอยดูอยู่ห่าง ๆ ข้าจัดการกับพวกที่ขัดหูขัดตาเหล่านี้เสร็จแล้วค่อยเข้าไปในเขาพระสุเมรุ”
เหวินซินจ้าวกับคนอื่น ๆ ต่างก็พากันพยักหน้าและถอยออกไปไกล
เห็นเช่นนี้ คนอื่น ๆ จึงเข้าใจได้ว่าซูอี้พูดจริง!
รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกหวนเฉ่าโหยวหุบลงไปทีละน้อย และขมวดคิ้วขึ้นมา รู้สึกว่าท่าทีของซูอี้ในเวลานี้ไม่ชอบมาพากลเอาเสียเลย
คน ๆ นี้… ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนถึงได้โอหังเพียงนี้!?
“ซูอี้ เจ้าคงไม่ได้คิดจริง ๆ หรอกกระมังว่า ด้วยพลังของคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างพวกเราทั้งเก้าคน ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้?”
สายตาของโม่ซิงเจ๋อเป็นประกาย
“หากว่าพวกเจ้าเข้าใจว่าสามารถเอาชนะข้าซูผู้นี้ได้ ก็อย่าได้พูดพร่ำอยู่เลย ลงมือเลยดีกว่า”
ซูอี้เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ขณะที่พูด สองมือของเขาไพล่หลัง ก้าวเดินไปที่แท่นจุติเทียนเต๋าทางนั้น
ร่างเขาสูงตระหง่าน ถึงแม้จะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น ทว่าไม่ได้สนใจมองหวนเฉ่าโหยวแม้แต่น้อย ท่าทีสงบเงียบอหังการเช่นนั้นทำให้คนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไปรู้สึกหวาดหวั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ที่แท้แล้วซูอี้คนนี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนจึงกล้ามาท้าทายเช่นนี้?
“ฉีเซียว เจ้าไปประมือกับเขาดู”
เมื่อเห็นว่าซูอี้ขึ้นมาอยู่บนแท่นจุติเทียนเต๋าแล้ว โม่ซิงเจ๋อจึงส่งเสียงออกคำสั่งในทันใด
“ได้!”
ฉีเซียวในชุดยาว ผมสีเงินทั้งหัวเริ่มเปิดฉากในทันใด
“ซูอี้ แสดงไพ่ตายของเจ้าออกมาโดยเร็วดีกว่า ด้วยระดับการฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้”
ฉีเซียวเอ่ยพูดน้ำเสียงราบเรียบ ชุดที่เขาใส่พองลม ผมสีเงินโบกสะบัด พลังลมปราณของคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณถูกขับเคลื่อนจนถึงขั้นสูงสุด
อย่างเห็นได้ชัด ที่เขาเข้าใจว่าซูอี้ไม่มีความเกรงกลัวเช่นนี้ เป็นเพราะว่าซูอี้ยังกุมไม้ตายอันยิ่งใหญ่บางอย่างไว้ในมือ
“จัดการกับมดตะนอยอย่างเจ้าเช่นนี้ จำเป็นต้องใช้ไพ่ตายด้วยหรือ?”
ซูอี้หัวเราะ ก่อนจะซัดฝ่ามือออกไปกลางอากาศเบา ๆ
บนหน้าของฉีเซียวยังมีรอยยิ้มเจือจางประดับอยู่ ทว่าต่อมาดวงตาก็เบิกโพลงในฉับพลัน
ครืน!
ท่ามกลางความว่างเปล่า เกิดเสียงครืน ๆ อันเกิดจากครกบดหนัก ๆ กำลังทำงาน ราวกับเทพศักดิ์สิทธิ์กำลังขับเคลื่อนล้อยักษ์บดขยี้ท้องฟ้า เห็นแต่เพียงฝ่ามือสีใสปรากฏขึ้นกลางอากาศ
ฝ่ามือนี้ดูคล้ายกับฝ่ามือปกติธรรมดา แต่คล้ายกับหลอมสร้างด้วยทองคำสีใส สายฟ้าฟาดครืน ๆ อยู่บนฝ่ามือ พายุโหมกระหน่ำ กลิ่นอายแห่งการทำลายล้างแผ่กระจายออกมาเปรียบดังฝ่ามือของเทพศักดิ์สิทธิ์
วิชานิพพานดับสายฟ้าอัสนี!
วิชาวิถีสืบทอดที่แกร่งกล้าไร้เทียมทานวิชานี้ มีแต่ต้องควบคุมจังหวะวิถีสายฟ้าอัสนีแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถแสดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้อย่างเต็มที่ เมื่อก่อนซูอี้ไม่สามารถแสดงอานุภาพออกมาได้
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เขาสามารถควบคุมจังหวะวิถีสายฟ้าอัสนีได้แล้ว เมื่ออาศัยฝีมือมหาวิถีของเขาในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะสำแดงความแก่กล้าของวิชาสืบทอดสูงสุดนี้ออกมาได้
“มีมันวิชาบ้าอะไรกัน รับ ‘ดาบผลาญสวรรค์พิฆาตวิญญาณ’ ของข้าไปซะ!”
ฉีเซียวหัวเราะเสียงเย็นชา พอตบหลัง
ชิ้ง!
ดาบรบสีแดงก็พุ่งสู่มือของเขา พลังในตัวของเขาก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
‘ดาบผลาญสวรรค์พิฆาตวิญญาณ’ ที่เขาฝึกฝนมานั้นเป็นวิชาสุดยอดวิถีดาบอันโบราณเก่าแก่ที่สุดวิชาหนึ่ง บุกเบิกโดยบุคคลในขอบเขตจักรพรรดิ พื้นฐานภายในมีความลึกล้ำเกินคาดเดา ในขั้นวิถีวิญญาณ สามารถเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดวิชามหาวิถีอันดับหนึ่งเลยก็ว่าได้!
สวบ!
มีดาบอยู่ในมือ ฉีเซียวฟันดาบออกไปในทันใด
เห็นแต่เพียงบนตัวดาบสีแดงทั้งเล่มมีเพลิงไฟราวกับเลือดกำลังลุกโชน สุดท้ายดาบยาวทั้งเล่มก็กลายร่างเป็นมังกรพลังดาบสีแดงซึ่งมีความยาวสิบกว่าจั้ง แฝงไว้ซึ่งอานุภาพอันน่าหวาดกลัว พุ่งเข้าหาฝ่ามือที่ซูอี้ซัดออกมา
“เพียงแค่ดาบนี้ดาบเดียว เพียงพอที่จะทำให้คนเก่าแก่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณในตอนนี้ก้มหัวให้ฉีเซียวด้วยความละอาย!”
หลี่หานเติงหรี่ตาลง
ในมหาทวีปคังชิงตอนนี้ เป็นเพราะคนเก่าแก่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเหล่านั้นถูกจำกัดด้วยทรัพยากรและพื้นฐานในตัว กอปรกับปราณวิญญาณในโลกหล้าลดน้อยลง ทำให้การฝึกตนของพวกเขาในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจึงอยู่ในขั้นธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
ไม่อาจเปรียบกับตัวตนยุคโบราณที่มีพรสวรรค์พิเศษและพื้นฐานอันน่ากลัวอย่างฉีเซียวได้
“กระทั่งฉีเซียวก็ยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ถ้าเช่นนั้นพวกหวนเฉ่าโหยวกับโม่ซิงเจ๋อจะมีระดับการฝึกตนที่น่ากลัวเพียงใดกัน?”
คนจำนวนไม่น้อยพากันสั่นสะท้านในใจ
พอฉีเซียวลงมือ อานุภาพในแบบฉบับของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเช่นนั้นทำให้คนทั้งหมดอดกังวลแทนซูอี้ขึ้นมาไม่ได้ นึกไม่ออกว่าเขาควรจะตอบโต้เช่นใด
“ทลาย!”
ผมสีเงินของฉีเซียวสะบัดพลิ้ว ดวงตาทั้งสองเป็นประกายแวววาว ตัวของเขาเป็นหนึ่งเดียวกับพลังดาบสีแดงเล่มนั้น พุ่งขึ้นสู่อากาศประหนึ่งมังกรที่กำลังพุ่งทะยานขึ้นสู่สวรรค์ชั้นเก้า
“ไม่เลว ๆ ฉีเซียวไม่ประมาทศัตรูเลย ใช้กระบวนท่าไม้ตายอย่างแท้จริง”
โม่ซิงเจ๋อพยักหน้าให้
เมื่อหันไปมองผู้ร้ายกาจยุคโบราณคนอื่น ๆ แล้ว ต่างก็แสดงสีหน้าคาดหวังอย่างเต็มที่ ภาพซูอี้โดนฟันผุดขึ้นมาในสมองภาพแล้วภาพเล่า
แต่ทว่า…
สีหน้าของซูอี้กลับมีแต่ความราบเรียบ จากนั้นกดมือลง
โครม!
ราวกับเทพบนสวรรค์กดฝ่ามือลงบนโลกมนุษย์
ฝ่ามือนิพพานดับสายฟ้าอัสนีที่แฝงไว้ซึ่งพลังอันไร้เทียมทานนั้นร่วงลงมาในชั่วพริบตา
พลังดาบสีแดงยาวสิบกว่าจั้งที่ขวางหน้าแตกระเบิดราวกับกระจกอันเปราะบาง
ถัดจากนั้น ฝ่ามือที่ยังคงไม่ลดกำลังก็พุ่งตรงไปที่ฉีเซียวกับดาบ ซัดพวกเขากระเด็น
ปัง!
ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง ฉีเซียวร่วงติดกับพื้น เลือดทะลักออกจากปากและจมูก ที่หน้าอกเสื้อผ้าหลุดลุ่ย เผยให้เห็นกระจกป้องกันใจสีเงินสว่าง
บนกระจกป้องกันใจชิ้นนั้นมีรอยฝ่ามือจมลึกเข้าไปอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนในเหตุการณ์สงบนิ่งไร้เสียง
ไม่ว่าจะเป็นพวกของหวนเฉ่าโหยว หรือผู้ที่คอยดูการต่อสู้อยู่ห่าง ๆ ต่างก็มองดูภาพเหตุการณ์นี้ด้วยอาการตะลึงจนอ้าปากค้าง
แม้กระทั่งพวกของเหวินซินจ้าวที่มั่นใจในตัวซูอี้เป็นอย่างมากก็ยังคาดไม่ถึงว่า ฉีเซียวผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจะไม่อาจต้านทานได้แม้แต่ฝ่ามือของซูอี้ เปรียบดังลูกไก่น้อยถูกซัดกระเด็น!
“นี่มัน…”
หลวงจีนเฉินลวี่ หลี่หานเติง อวี่เหวินซู่ กับเจียงหลีต่างก็หรี่ตาเล็กลง
ไม่ว่าจะพูดในแง่ของพลัง ระดับการฝึกตน หรือพื้นฐานแล้ว ฉีเซียวผู้ย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณก็ไม่ควรจะพ่ายแพ้อย่างน่าสมเพชเช่นนี้
เขาเป็นถึงบุคคลชั้นแนวหน้าของผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณ ถึงแม้จะไม่ร้ายกาจเท่ากับหวนเฉ่าโหยว หรือโม่ซิงเจ๋อ ทว่าก็ยังก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว และยังสำเร็จเคล็ดวิชาโบราณอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นดาบรบสีแดงในมือยังเป็นสมบัติโบราณที่สืบทอดกันมานาน จะพ่ายแพ้อย่างน่าสมเพชเช่นนี้ได้อย่างไร!?
“พลังซัดรุนแรงมาก!” เฉิงผูร้องอุทาน
เขามองไม่ผิดเลย ซูอี้เตรียมตัวมาพร้อมจริง ๆ!
ฉือเจี่ยนซู่สะดุ้งวาบในใจ ตื่นตระหนกในพลังซัดลูกนี้ด้วยเช่นกัน
เพียงแค่พลิกฝ่ามือก็ซัดผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณซึ่งก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจนกระเด็น ทำให้นางนึกไม่ออกสักนิดว่าซูอี้ผู้ที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมดาราทำถึงขั้นนี้ได้เช่นใด
กู่ชางหนิงแอบร้องดีใจอยู่ในใจ ยังดีที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รับปากเข้าร่วมฝ่ายเดียวกับพวกของหวนเฉ่าโหยว!
พวกของเฟิงจื่อตูกับเหมยเหยียนไป๋ที่อยู่ห่างออกไปถึงกับสมองชา ได้แต่นิ่งตะลึงอยู่ตรงนั้น
พวกเขาเพิ่งจะเข้าใจได้ว่า ตนเองสามารถมีชีวิตรอดมาจากเงื้อมมือของซูอี้ได้ในตอนนั้นเป็นความโชคดีเพียงใดกัน!
อย่างไรเสียก็ดี พลังซัดของซูอี้ครั้งนี้ทำให้สถานการณ์ทั้งหมดเกิดความเปลี่ยนแปลงไป
และทำให้สายตาของทุก ๆ คนที่มองดูเขาก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
ทุกคนจึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดซูอี้จึงกล้าบุกเพียงคนเดียว ไม่เกรงกลัวการร่วมมือกันของคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทั้งเก้าคนของหวนเฉ่าโหยวแม้แต่น้อย!
ไม่ใช่เพราะว่าซูอี้มีความกล้าหาญเกินกว่าคนอื่น ๆ และไม่ใช่เพราะกุมไม้ตายอันยิ่งใหญ่อะไรเลย
แต่เป็นเพราะแค่ความสามารถของตัวเองก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเปิดฉากรบกับคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเหล่านั้นได้โดยไม่มีความเกรงกลัว!
“เพิ่งย่างก้าวสู่ขอบเขตรวบรวมดาราแท้ ๆ ยังคงอยู่ในสภาวะไม่นิ่งก็รีบร้อนแสดงตัวออกมาเช่นนี้แล้ว ข้าไม่เคยเห็นหาเรื่องตายเหมือนดังเจ้าเช่นนี้มาก่อน”
บนแท่น ซูอี้ได้แต่ส่ายหน้า
สีหน้าของพวกหวนเฉ่าโหยวสับสนไม่นิ่ง
พลังซัดเพียงครั้งเดียวนั้น ยังทำให้พวกเขาไม่รู้อีกหรือว่าถึงแม้จะอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว แต่เวลาที่อยู่ต่อหน้าคนเก่งกาจอย่างซูอี้เช่นนี้จะดูแคลนไม่ได้เป็นอันขาด?
ขณะที่พูด ซูอี้ก็ก้าวเดินไปหาพวกของหวนเฉ่าโหยวอีกครั้ง พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บุกมาทีเดียวเลย มิเช่นนั้นเวลาฆ่าขึ้นมาจะไร้รสชาติ”
คำพูดประโยคเดียว ทำให้สีหน้าของพวกหวนเฉ่าโหยวบิดเบี้ยวดูไม่ได้ขึ้นมา
“เช่นนั้นหรือ?”
หวนเฉ่าโหยวส่งเสียงร้องฮึ พลังลมปราณในร่างส่งเสียงดัง ชักดาบวิญญาณสีม่วงซึ่งมีประกายแวววับออกมา
โครม!
พลังลมปราณในตัวของเขาส่งเสียงดังเปรี้ยงปร้าง เลือดลมพลุ่งพล่านดุจงูหลามสีเลือดคดเคี้ยวรอบตัว อานุภาพในตัวของเขาเพิ่มความน่ากลัวอย่างไร้ขอบเขต
“ทุกท่าน ลงมือเต็มที่ กำจัดคน ๆ นี้ด้วยกัน!”
หวนเฉ่าโหยวส่งเสียงออกคำสั่งอย่างเย็นชา
ไม่จำเป็นต้องให้เขาเตือน ตัวตนร้ายกาจแห่งยุคโบราณคนอื่น ๆ ก็ขับเคลื่อนระดับวิถีในตัวกันแล้ว พลางชักอาวุธคู่ใจของแต่ละคนออกมา
โครม!
บนแท่นจุติเทียนเต๋าแห่งนั้น กลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งแห่งขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทั้งเก้าตนพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พลังอันยิ่งใหญ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้สีเมฆเปลี่ยนไป อากาศเกิดความผันผวนขึ้นมา
แรงฆ่าอันน่ากลัวประดุจคลื่นลูกยักษ์นั้นจับจ้องไปที่ตัวของซูอี้อย่างพร้อมเพรียงกัน
การต่อสู้ครั้งใหญ่ ปะทุขึ้นแล้ว!