บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 564 ต้องตายทั้งหมด
ตอนที่ 564: ต้องตายทั้งหมด
ตอนที่ 564: ต้องตายทั้งหมด
หน้าภูเขาพระสุเมรุ
พื้นที่พันจั้งโดยมีแท่นจุติเทียนเต๋าเป็นศูนย์กลางพรุนไปหมด พลังทำลายล้างอันดุดันและน่าเกรงขามยังคงหลงเหลืออยู่ในอากาศ
ผู้รับชมศึกที่อยู่ในระยะไกลต่างก็มีสีหน้าเลื่อนลอย สายตาที่มองซูอี้ล้วนฉายแววตะลึง
ราวกับได้เห็นเทพเซียน!
แค่ไม่กี่พริบตา ซูอี้ก็ใช้ดาบทลายไพ่ตายทั้งมวลลง และเข่นฆ่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณสามคนได้ ความเกรียงไกรนี้สะท้านฟ้าสะเทือนดินอย่างแท้จริง!
หวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อ และตัวตนจากยุคโบราณคนอื่นที่รอดเกิดอารมณ์ที่อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้
นึกย้อนไปในอดีต พวกเขามั่นอกมั่นใจ ทึกทักไปว่าเมื่อเป็นพันธมิตรกันแล้วย่อมทำตามอำเภอใจในเกาะพระสุเมรุแห่งนี้ได้
แม้แต่ในเรื่องการสังหารซูอี้ พวกเขาก็มองเป็นเรื่องเล็กน้อย ดูแคลนอย่างถึงที่สุด
ไม่เคยคิดเลย พลังการจองจำแห่งยุคมืดบนภูเขาพระสุเมรุยังสลายไม่หมด พวกเขาก็ถูกซูอี้เข่นฆ่าบนแท่นจุติเทียนเต๋าเสียยกใหญ่ บาดเจ็บล้มตายกันอย่างอนาถ!
ความผวาหวาดกลัว ความไม่เข้าใจ ความสิ้นหวัง ความกราดเกรี้ยวผสมปนเปกันอยู่ในใจ ส่งผลให้เมื่อพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับซูอี้อีกครั้ง ความตั้งใจสู้ก็เริ่มสั่นคลอน
“เจ้าคนแซ่ซู เจ้าคิดจริงหรือว่าตัวเองจะได้ชัยแน่?”
ดวงตาของหวนเฉ่าโหยวแดงก่ำ พลังเดือดดาลน่ากลัว เสียงลอดออกทางไรฟัน เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นฝังกระดูก
“แน่นอน”
ซูอี้กล่าว “และข้าขอบอกตามตรง พวกเจ้าสี่คนก็ต้องตายเช่นกัน”
ขณะที่พูด เขาย่างก้าวอยู่กลางอากาศ ยกมือฟันไปที่ฉีเซียวซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดหนึ่งทีเบา ๆ
สีหน้าฉีเซียวเปลี่ยนไปทันควัน
ก่อนหน้านี้ ไพ่ตายของเขาก็โดนซูอี้ทลายในดาบเดียว เวลานี้จะกล้าปะทะกับซูอี้ซึ่ง ๆ หน้าได้อย่างไร
เขาถอยออกไปทันที
“หนี!”
ฉีเซียวกัดปลายลิ้น ยันต์ลับที่กำไว้ในมือตลอดระเบิดปัง แสงสีทองเจิดจ้าปะทุออกมา ท่วมท้นไปทั่วร่างของเขา
ฟิ้ว!
ทุกคนตาลาย ร่างของฉีเซียวหายไปกลางอากาศ
“ยันต์จักจั่นลอกคราบอีกแล้ว คิดจริง ๆ หรือว่าไพ่ตายเช่นนี้จะใช้ได้ตลอด”
ซูอี้หัวเราะ
จิตสัมผัสของเขาหมายตัวอีกฝ่ายไว้ตั้งแต่แรก แล้วจะปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้อย่างไร?
ขณะที่เสียงนั้นดังขึ้น ก็เห็นดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือของเขาหมุนกลับหัว ปลายดาบแทงไปที่จุดว่างเปล่าซึ่งอยู่ห่างออกไป
ไกลออกไปหนึ่งพันแปดร้อยจั้ง โลหิตทะลักพรวดออกจากกลางอากาศ ก่อนที่ร่างโชกเลือดสองท่อนจะเผยให้เห็น พร้อมร่วงหล่นลงจากฟ้า
ฉีเซียวนั่นเอง!
เพียงแต่ เขาถูกฟันแบ่งครึ่งด้วยดาบเดียว สภาพการตายอนาถายิ่ง
บรรดาผู้รับชมศึกต่างตกตะลึงอีกครั้ง ชาไปทั้งหนังหัว
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณตายไปอีกคนแล้ว!
เมื่อกู่ชางหนิงได้เห็นภาพนี้ เขาก็รู้สึกสะท้อนใจที่สุด
เมื่อครั้งกู่ชางหนิงเพิ่งมาถึงภูเขาพระสุเมรุ ฉีเซียวเคยออกปากชวนเข้าร่วมฝ่ายเดียวกับหวนเฉ่าโหยว หลังจากเขาปฏิเสธไป ฉีเซียวเคยเย้ยหยันว่าเขากู่ชางหนิงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี
แต่บัดนี้…
ฉีเซียวตายแล้ว ทว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่!
การตัดสินใจเพียงครั้งเดียว ก็ต่างกันถึงเป็นตาย เช่นนี้จะไม่ให้กู่ชางหนิงสะท้อนใจได้อย่างไร
กลางอากาศ เมื่อเห็นฉีเซียวซึ่งเลือกการหลบหนีถูกปลิดชีพทันที หวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อ และผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณอีกคนซึ่งมีนามว่าข่งอวี๋ต่างก็ใจหล่นวูบกันหมด
ไม่ต้องสงสัย ซูอี้ไม่มีทางให้โอกาสพวกเขาได้หลบหนี!
“ซูอี้ เจ้ารามือไปได้หรือไม่ เจ้าควรรู้ไว้ หากเข่นฆ่ากันจนถึงที่สุด หลังจากเจ้าออกเกาะพระสุเมรุ ย่อมโดนแก้แค้นในระดับที่จินตนาการไม่ถึง”
ข่งอวี๋สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะปริปาก ทำทีเป็นดุดันแต่แท้จริงแล้วนึกกลัวแทบบ้า
“ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้า แล้วหลังจากนี้พวกเจ้าก็จะไม่เป็นปรปักษ์กับข้าอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้เอ่ยเรียบ ๆ
“ขอสู้ตายกับเจ้า!”
หวนเฉ่าโหยวคำรามลั่น สะบัดแขนเสื้อ ยันต์สิบแผ่นต่อกันเป็นแสงเทวะทะยานขึ้นฟ้า
ยันต์ทุกแผ่นล้วนเปล่งแสงเจิดจ้า กลายเป็นวงกลมรัศมีมหึมาเข้าปกคลุมซูอี้
พริบตานั้น ประหนึ่งมีดวงอาทิตย์สิบดวงอยู่บนฟ้า และถล่มลงมา
พลังทำลายล้างมหาศาลสะท้านฟ้าดิน อานุภาพสยดสยองยิ่ง
ไม่ต้องสงสัย นี่คือไพ่ตายของหวนเฉ่าโหยว
แทบจะในเวลาเดียวกัน…
สายตาของข่งอวี๋เหี้ยมโหดขึ้นมา เขาคำรามลั่น เรียกคทาหยกหรูอี้ซึ่งมีเปลวเพลิงสีดำลุกโชนอยู่ออกมา ปลายสองด้านของหรูอี้เป็นรูปมังกรและรูปพยัคฆ์ตามลำดับ เมื่อมันทะยานออกมา เสียงคำรามของมังกรและพยัคฆ์ดังสะท้านไปทั่วปฐพี
และได้เห็นอึดใจที่หยกหรูอี้เล่มนั้นจุติลงมา เปรียบดั่งมังกรและพยัคฆ์ผสานร่าง สายลมสายฟ้าบังเกิดพร้อมกัน อานุภาพเกินกว่าที่จินตนาการ
ส่วนร่างของโม่ซิงเจ๋อเกิดเสียงดังปัง ก่อนจะกลายเป็นหยาดโลหิตมากมายนับไม่ถ้วน หลีกหนีออกไปทั่วทุกทิศ
โดยไม่ต้องสงสัย ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณจากโถงวิญญาณหยินทมิฬผู้นี้ตั้งใจฉวยโอกาสขณะที่หวนเฉ่าโหยวและข่งอวี๋ถ่วงซูอี้อยู่หนีไป
“ข้าบอกแล้ว พวกเจ้าหนีไม่พ้นสักคน”
ซูอี้คลี่ยิ้มเย้ยหยัน ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าฟันออกไปสามครั้งรัว
ดาบแรก คว้าสุริยันกุมจันทรา ฟันวงแหวนดวงอาทิตย์อันยิ่งใหญ่ที่สร้างด้วยยันต์ที่วนกันสิบรอบ ทะลุทะลวง บดขยี้เข้าไป กลายเป็นฝนแสงท่วมฟ้า กึกก้องสะท้านปฐพี
ดาบสอง ตัดสมุทรผ่าขุนเขา ภายใต้การปราบปราม เสียงคำรามของมังกรและพยัคฆ์กลายเป็นเสียงคร่ำครวญ หยกหรูอี้ที่เปล่งพลังน่าสะพรึงกลัวหักเป็นท่อน ๆ
ดาบสาม ความลึกลับของเพลงดาบสุดปรีดีแผ่ซ่านออกไปสิบทิศ กลายเป็นฝนดาบนับไม่ถ้วน ระเบิดพวยพุ่งออกไปทั้งสิบทิศทาง
พรวด! พรวด! พรวด!
หยาดโลหิตที่หลบหนีไปนับไม่ถ้วนซึ่งแปลงจากร่างโม่ซิงเจ๋อแตกเป็นเสี่ยง ๆ ปราณดาบขยายออกไปทั่วผืนฟ้าและแผ่นดิน ปิดกั้นทุกทิศทางไว้
ภายใต้สายตาน่าเหลือเชื่อที่จ้องมองมาของทุกคน เสียงระเบิดดังขึ้นในจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล ร่างของโม่ซิงเจ๋อโซซัดโซเซปรากฏออกมา
ใบหน้าของเขาซีดเซียวราวกับโปร่งแสง ใบหน้าเต็มไปด้วยความผวา เขาร้องเสียงหลง “เจ้าทลายวิชาหลีกหนีโลหิตต้องห้ามของข้าได้อย่างไร!?”
นี่คือวิธีการหนีก้นหีบของเขา เป็นหนึ่งในวิชาต้องห้ามของโถงวิญญาณหยินทมิฬ เมื่อได้ใช้ ไม่มีผู้ใดในขอบเขตเดียวกันหยุดยั้งได้
ต่อให้ถูกไล่ล่าโดยมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตสยายวิญญาณก็สามารถหลบหนีเอาตัวรอดได้
แต่บัดนี้ วิชาต้องห้ามที่เขาใช้กลับโดนซูอี้หักล้างในดาบเดียว!
“ข้าเห็นวิชาหลบลี้หนีหายมาเยอะ วิชาต้องห้ามอย่างที่เจ้าใช้ซึ่งต้องแผดเผาแก่นเลือดของตัวเองเป็นการแลกเปลี่ยน ดูเหมือนเก่งกาจ แท้จริงแล้วมีจุดบอดมากมาย ไม่เข้าสายตาเลยสักนิด”
ซูอี้กล่าว การให้ความเห็นราบเรียบนั้นเปี่ยมด้วยความดูหมิ่น
ขณะที่พูด ซูอี้ไม่หยุดยั้งการกระทำแต่อย่างใด ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าฟาดฟันไปที่โม่ซิงเจ๋อพร้อมเสียงใสกังวานอันสั่นเครือ
โม่ซิงเจ๋อร้องเสียงประหลาด ก่อนจะหมุนตัวพุ่งเข้าไปในภูเขาพระสุเมรุ
บุคคลระดับสะท้านโลกาในบรรดาผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณผู้นี้กลัวจนสติเตลิดไปหมดแล้วอย่างเห็นได้ชัด ความต้องการสู้พังทลายไม่เหลือชิ้นดี คิดอย่างเดียวคืออยากหนีเอาชีวิตรอด
ในสายตาซูอี้ โม่ซิงเจ๋อผู้ไม่เหลือความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ไม่ต่างไปจากแมลงวันที่ยอมให้ฆ่าเท่าใด
ปราณดาบสีครามสูงร้อยจั้งทะยานออกไป
ฟึ่บ!
ร่างของโม่ซิงเจ๋อยังไม่ทันไปถึงภูเขาพระสุเมรุ ก็โดนปราณดาบทิ่มแทง ร่างกายแหลกออกในนาทีนั้น ฝนเลือดสาดกระเซ็น
แต่ที่เหนือความคาดหมายคือ จิตดั้งเดิมของโม่ซิงเจ๋อชิงหนีออกจากกายหยาบไปก่อน กระโจนเข้าไปในภูเขาพระสุเมรุ
ในขณะที่ฝูงชนทึ่งในการตอบสนองว่องไวของโม่ซิงเจ๋อ ความเปลี่ยนแปลงพลันเกิดขึ้น…
บนภูเขาพระสุเมรุ พลังการจองจำแห่งยุคมืดเลือนรางคล้ายม่านหมอกเข้าครอบงำจิตดั้งเดิมของโม่ซิงเจ๋อในพริบตา โดยเห็นได้ด้วยตาเปล่า จิตดั้งเดิมของเขาเปรียบเสมือนแมลงที่ติดอยู่ในใยแมงมุม ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจหลุดออกมาได้
มิหนำซ้ำ เมื่อถูกพลังการจองจำแห่งยุคมืดกัดกินไปเรื่อย ๆ จิตดั้งเดิมของเขาราวกับสึกกร่อนอย่างหนัก มีสภาพพรุนไปหมด
“ไม่! ไม่…!”
โม่ซิงเจ๋อตะโกนลั่น หวาดผวาและน่าสังเวช
แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น จิตดั้งเดิมของเขาก็ถูก ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ บนภูเขาพระสุเมรุกัดกินจนสิ้น สลายไปท่ามกลางพลังการจองจำแห่งยุคมืดอันเลือนรางคล้ายม่านหมอก
ภาพพิศวงสุดสยองนี้เล่นเอาทุกคนขนลุกเกลียวไปหมด
ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวเหลือเกิน!
ผู้คนเพิ่งจะตระหนักได้ว่าต่อให้พลังการจองจำแห่งยุคมืดบนภูเขาพระสุเมรุอ่อนแรงลงจนจวนเจียนสลายเต็มที ก็ใช่ว่าผู้ใดจะบุกเข้าไปก็ได้
การแตกดับของจิตดั้งเดิมโม่ซิงเจ๋อคือตัวอย่างเห็น ๆ!
“ทำตัวเอง แล้วจะโทษใครได้?”
ซูอี้ส่ายหัว
เขาหันมองหวนเฉ่าโหยวและข่งอวี๋ “ถึงตาพวกเจ้าสองคนแล้ว”
ตุ้บ!
ข่งอวี๋คุกเข่าอยู่กลางอากาศ และตะโกนลั่น “ซูอี้ ข้ายอมแพ้ ขอเพียงปล่อยข้าไป ข้าขอสาบานไม่เป็นศัตรูกับเจ้าอีก และยินดีชดใช้ความผิดที่ผ่านมาอย่างจริงใจ!”
ทั้งหมดเงียบสงัด
ทุกคนนิ่งงันไปหมด อารมณ์พลุกพล่าน
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณซึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเจิดจรัสเพียงใด… แข็งแกร่งเพียงใด…
แต่บัดนี้กลับคุกเข่าต่อหน้าซูอี้ วอนขอความเมตตา!
ภาพนี้สะท้านใจกว่าภาพที่ผู้เก่งกาจจากยุคโบราณถูกฆ่าเมื่อครู่มาก
ผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันอย่างเฉินลวี่ หลี่หานเติงต่างถอนหายใจกับตัวเองอย่างอดไม่ได้
ฆ่าคนนั้นง่ายมาก
แต่การทำให้ผู้เก่งกาจจากยุคโบราณผู้แกร่งกล้ากลัวจนยอมคุกเข่าขอความเมตตา ไม่ง่ายเลย!
และเมื่อข่งอวี๋คุกเข่า ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมความน่ากลัวของซูอี้ให้ทวีคูณอย่างไม่ต้องสงสัย!
เมื่อเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ทั้งใต้หล้าต้องสะเทือนอย่างมากแน่!!
“เจ้าต้องตาย”
ซูอี้เอ่ยเรียบ ๆ
ร่างของข่งอวี๋แข็งทื่อ คนทั้งคนเหมือนเสียสติ ลุกพรวดขึ้นจากพื้น ตะโกนลั่นพลางพุ่งไปหาซูอี้
“ต่อให้ข้าต้องตาย ก็ขอสู้กับเจ้าให้สุดกำลัง!”
เลือดลมทั้งตัวของเขาประหนึ่งถูกแผดเผา แรงกระเพื่อมของพลังอันดุร้ายปะทุออกมา
ไม่ต้องสงสัย ข่งอวี๋เสียสติไปแล้วจริง ๆ เขาใช้วิชาลับที่ทำลายพลังตัวเอง หมายจะลากซูอี้ไปตายด้วยกัน
ทว่า ร่างของเขาล้มคะมำอยู่กลางทาง ร่วงหล่นลงไปบนพื้น ส่วนศีรษะของเขากระเด็นออกมาพร้อมกับเลือดแดงฉาน
ที่แท้ ซูอี้สะบัดดาบเรื่อยเปื่อยหนึ่งทีก็บั่นหัวเขาขาดกลางอากาศ วิชาลับที่ทำลายพลังตัวเองของเขายังไม่ทันได้ปลดปล่อย ก็ตายไปทันทีพร้อมความแค้น!
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณตายลงอีกคนแล้ว!!
ผู้รับชมศึกที่อยู่ห่างออกไปต่างก็ทึ่งจนเนื้อตัวไร้ความรู้สึก มองแต่ละฉากตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย จิตใจเดือดพล่าน พูดอะไรไม่ออกอยู่นาน
และในตอนนี้ สนามรบเหลือเพียงหวนเฉ่าโหยวคนเดียว
ทายาทสายหลักตระกูลหวนเผ่ามารผู้นี้ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หน้าเขียวอึมครึม ตาแดงก่ำมีเส้นเลือดขึ้นเต็มไปหมด ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
สายตาที่มองหวนเฉ่าโหยวอยู่จำนวนหนึ่งล้วนฉายแววสงสาร
เรื่องความสามารถ สู้ซูอี้ไม่ได้
เรื่องไพ่ตาย สู้ซูอี้ไม่ได้
สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ ยิ่งหมดสิ้นหนทางหนี
ใครเล่าจะคิด ผู้ร้ายกาจสะท้านฟ้าจากตระกูลหวนเผ่ามารผู้นี้จะตกอยู่ในวิกฤตเช่นนี้
หัวเดียวกระเทียมลีบ ตกต่ำสิ้นดี!
“เหลือแค่เจ้าแล้ว”
ซูอี้เอ่ยเบา ๆ สายตาทอดมองหวนเฉ่าโหยว
ตั้งแต่คืนที่ช่วยเสวียนหนิงไว้ หลังจากทำลายฐานทัพของตระกูลหวนเผ่ามารที่นครหลวงจิ๋วติ่งแล้ว ซูอี้ก็รับปากเสวียนหนิงไว้ว่าจะฆ่าหวนเฉ่าโหยวให้ได้
และตอนนี้ ได้เวลาทำตามคำมั่นที่ให้ไว้กับเต่าน้อยแล้ว
สัมผัสถึงสายตาของซูอี้ หวนเฉ่าโหยวเหมือนเพิ่งได้สติ มุมปากกระตุก
จากนั้น จู่ ๆ เขาก็หัวเราะออกมา ผมยาวสีม่วงสยาย ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นฉายแววคลุ้มคลั่ง น้ำเสียงแหบแห้งทุ้มต่ำ
“ซูอี้ เป็นเจ้าที่รนหาที่ตายเองนะ!!”