บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 565 เพียงดาบข้าพอแล้วจะสังหารเจ้า
ตอนที่ 565: เพียงดาบข้าพอแล้วจะสังหารเจ้า
ตอนที่ 565: เพียงดาบข้าพอแล้วจะสังหารเจ้า
หวนเฉ่าโหยวกู่ร้องเสียงดังก้องพร้อมกับโยนยันต์ลับแผ่นหนึ่งขึ้นไปบนอากาศ
ยันต์ลับสี่เหลี่ยมจัตุรัสแผ่นนี้ ด้านหน้าเป็นสีดำเหมือนหมึกทว่ามีอักขระเต๋าสีทองเข้มถูกจารึกไว้
ด้านหลังของยันต์ลับเป็นสีขาวดั่งหิมะและสะท้อนแสงแววาวดุจผลึกแก้วและมีการจารึกอักขระซับซ้อนมากมายกำกับไว้
ฮึ่ม!!
เมื่อยันต์ลึกลับนี้ถูกโยนออกไป รัศมีแสงศักดิ์สิทธิ์สองสีพลันเปล่งประกายเจิดจ้า หนึ่งสีดำส่วนอีกหนึ่งสีขาวฉายแสงอยู่กลางอากาศ อีกทั้งยังปลดปล่อยมวลพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกไปทั่วทุกทิศทาง
ผู้ชมที่อยู่ห่างไกลทุกคนต่างตื่นตระหนกและหวาดกลัว
“น… นั่นคือ?”
ในไม่ช้าทุกคนต่างแลเห็นว่าภายในแสงศักดิ์สิทธิ์สีดำและสีขาวซึ่งกำลังเปล่งประกายเจิดจ้านั้น มันกำลังพัวพันรวมกันก่อนจะพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทะลวงผ่านหมู่เมฆ และจากนั้นแค่เพียงอึดใจต่อมาก็มีร่างมนุษย์ซึ่งน่าจะเป็นเพียงร่างมายาร่อนลงจากชั้นเมฆมาอย่างเชื่องช้า
ร่างมายาที่ลอยลงมานั้นเป็นชายชราในชุดคลุมสีดำ มีหนวดเครายาวขาวเงางามระยิบระยับ สวมมงกุฎรูปดาวบนศีรษะ
รูปร่างของเขานั้นสง่างามและองอาจ ดวงตาเปล่งประกายเหมือนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวไร้ที่สิ้นสุด ทว่าสิ่งที่โดดเด่นพิเศษสุดก็คือที่ด้านหลังศีรษะของเขานั้นมีวงแหวนศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายแสงเจิดจ้า วงแหวนศักดิ์สิทธิ์นี้ส่องแสงลึกลับทั้งสีดำและสีขาว
แม้ว่าร่างของชายชราชุดดำผู้นี้จะเป็นเพียงร่างมายาที่ถูกสร้างขึ้น แต่เมื่อปรากฏกายบนกลางอากาศ ผู้คนต่างรู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นตัวตนอันเปรียบเสมือนเทพเซียนที่ยืนอยู่เหนือสวรรค์ทั้งเก้า มีกลิ่นอายอันสูงส่งราวกับมองเห็นสวรรค์
“จักรพรรดิ!!”
เฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ และเหล่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณทั้งหลายต่างหรี่ตา พวกเขาไม่สามารถสงบใจได้อีกต่อไป และสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“ราชันย์มารเทียนอวี้!?”
กู่ชางหนิงสูดลมหายใจอย่างหวาดกลัว
สามหมื่นปีที่แล้วตระกูลหวนเผ่ามารเป็นที่รู้จักในฐานะตระกูลมารอันดับหนึ่งของโลก และภายในตระกูลหวนผู้ที่โด่งดังมากที่สุดคือราชันย์มารเทียนอวี้!
ราชันย์มารเทียนอวี้ผู้ที่เกิดในตระกูลหวนเผ่ามารนั้นเป็นหนึ่งในผู้มีความแข็งแกร่งอยู่ในสามอันดับแรกของบรรดา ‘เก้าจักรพรรดิแห่งคังชิง’ และพลังของเขาก็มากพอที่จะเขย่าโลกให้สั่นคลอนได้!
และตอนนี้ร่างมายาของราชันย์มารเทียนอวี้ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาแล้ว!
“ตัวตนระดับจักรพรรดิ?”
หลวงจีนเฉินลวี่ หลี่หานเติง เจียงหลี และคนอื่น ๆ ดวงตาเบิกกว้าง
เป็นเวลากว่าสามหมื่นปีแล้วที่พลังต้องห้ามจากยุคบรรพกาลได้ปกคลุมทวีปคังชิงไว้ จนทั้งทวีปนี้ไม่มีแม้สักคนเดียวที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิได้ จนตัวตนระดับนี้ได้กลายเป็นเพียงตำนานที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันในกลุ่มกองกำลังอันดับต้น ๆ เท่านั้น
ต้องรู้ว่าปัจจุบันนี้ผู้บ่มเพาะส่วนใหญ่เกินเก้าส่วนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีตัวตนสูงสุดเช่นขอบเขตจักรพรรดิ!
ใครจะคิดกันว่าในเวลานี้ไพ่ลับสุดยอดของหวนเฉ่าโหยวจะเป็นการอัญเชิญร่างมายาของตัวตนที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิมา?
นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย!
“ทายาทผู้ไร้ความสามารถหวนเฉ่าโหยวกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง จึงต้องขอรบกวนให้บรรพบุรุษช่วยเหลือ ทายาทผู้นี้หวังว่าบรรพบุรุษจะให้อภัยที่ข้าเรียกท่านมาอย่างกะทันหัน”
หวนเฉ่าโหยวคุกเข่าลงกลางอากาศ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความละอาย
“วันนี้… วันที่เท่าไร?”
ชายชราชุดดำมองไปรอบ ๆ ก่อนจะถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ เผยให้เห็นความไม่มั่นคงของพลังชีวิต
“รายงานต่อบรรพบุรุษ นับตั้งแต่การปะทุของพลังต้องห้ามจากยุคโบราณ ขณะนี้เวลาผ่านมาได้สามหมื่นปีแล้ว”
หวนเฉ่าโหยวตอบด้วยความเคารพ
“ช่างนานมากเหลือเกิน…”
ชายชราชุดดำถอนหายใจด้วยอารมณ์
จากนั้นเขาก็มองไปที่หวนเฉ่าโหยวซึ่งคุกเข่าอยู่ในระยะไกล พลางขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยว่า “ข้าเคยตั้งกฎสำคัญแก่ตระกูลหวน คนของตระกูลหวนไม่เคารพสวรรค์และโลก ไม่บูชาผีหรือเทพ ไม่คุกเข่าให้ผู้ใดแม้แต่บรรพบุรุษของตนเองก็ตาม! ทว่าขณะนี้เจ้ากลับคุกเข่าราวกับไร้กระดูกสันหลัง หรือว่าหลังจากสามหมื่นปีผ่านไป ตระกูลหวนปัจจุบันมีแต่พวกไร้น้ำยาไปหมดแล้ว!?”
เสียงนั้นก้องกังวานไปทั่วทุกทิศ เขย่าจิตใจของผู้ฟังทุกคนให้หวาดเกรงจนแทบไม่อาจเงยหน้ามอง
หลายคนเกรงกลัวจนแทบอยากจะคุกเข่าศิโรราบ
กลิ่นอายของชายชราชุดดำนั้นทรงพลังมาก คำพูด การกระทำ และทุกการเคลื่อนไหวของเขาประหนึ่งเหมือนบัญญัติที่ผู้ใดก็ไม่อาจต่อต้าน
ร่างกายของหวนเฉ่าโหยวสั่นเทา เขารีบยืนขึ้นและกล่าวด้วยความละอาย “เรียนบรรพบุรุษ เมื่อครู่ผู้เยาว์ตื่นเต้นมากเกินไปจนเผลอทำตัวหยาบคายโดยไม่รู้ตัว หวังว่าบรรพบุรุษจะให้อภัย”
ชายชราชุดดำส่ายหัว จากนั้นสายตาของเขาก็กวาดมองผู้ชมรอบ ๆ
ใครก็ตามที่แม้ถูกเพียงกวาดมองร่างกายจะแข็งค้างก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกหวาดกลัวในใจอย่างควบคุมไม่ได้
นี่เป็นการสะกดข่มโดยระดับการบ่มฝึกฝนที่ต่างกันเกินไป
เช่นเดียวกับมดที่พบกับมังกรบนท้องฟ้า สิ่งเดียวที่พวกมันคิดได้คือความกลัวตาย
ทว่าเมื่อดวงตาของชายชราชุดดำกวาดไปถึงยังซูอี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เนื่องจากแตกต่างจากผู้อื่นโดยสิ้นเชิง ซูอี้ยังคงยืนตัวตรงองอาจสงบนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความกลัวแม้แต่เล็กน้อย
แม้แต่เมื่อเผชิญกับสายตาของชายชราชุดดำ คิ้วของซูอี้ยังคงปกติไม่มีท่าทีจะขมวดเข้าหากันเลยด้วยซ้ำ!
“เรียนบรรพบุรุษ คนผู้นั้นคือคนที่บีบคั้นข้าให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง โปรดบรรพบุรุษช่วยเหลือข้า ปลิดชีวิตมันผู้นั้นให้ผู้น้อยที!”
หวนเฉ่าโหยวโค้งกายด้วยความกลัว
หัวใจของผู้ชมที่มองอยู่ในระยะห่างล้วนตึงเครียด
ร่างมายาขอบเขตจักรพรรดิปรากฏขึ้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ซูอี้จะต้านทานได้อย่างไร?
เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ประหม่าจนแทบจะลืมหายใจ
อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นซูอี้กลับส่ายหัวและพูดว่า “ข้าหลงคิดว่าเจ้ามีไพ่ลับที่วิเศษวิโสทรงพลัง แต่แท้จริงมันกลับกลายเป็นว่าเจ้าไม่มีอะไรมากไปกว่าเจตจำนงที่ใกล้จะมอดดับของตาแก่ผู้หนึ่งเท่านั้น”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและการดูหมิ่นที่ไม่ปิดบัง
ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ลงมือสังหารหวนเฉ่าโหยวให้สิ้นเรื่องเป็นเพราะเขาคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีไพ่ลับที่ทรงพลังมาก
ตอนแรกซูอี้คิดว่าอย่างน้อย ๆ ก็น่าจะเป็นเศษเสี้ยวดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ
ใครจะคิดว่ามันเป็นเพียงพลังแห่งเจตจำนง และยังใกล้มอดดับเพราะได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงมาก่อนหน้านี้แล้ว…
เสียงของซูอี้ยังคงก้องกังวาน แต่ทางด้านผู้ชมกลับเงียบอึ้ง
ทุกคน “???”
ขอบเขตจักรพรรดิเปรียบเสมือนเทพเจ้าสูงสุดเหนือล้ำกว่าผู้ใดในโลกหล้า ใครกันจะกล้าดูหมิ่น? ใครกันไม่เกรงกลัว?
แต่คำพูดของซูอี้นั้นราวกับไม่ได้เห็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิของตระกูลหวนอยู่ในสายตาเลย!
“คนแซ่ซู ความตายอยู่ใกล้เจ้าเพียงแค่ปลายจมูกเช่นนี้เจ้ายังกล้าดูหมิ่นบรรพบุรุษของข้าอีกอย่างนั้นรึ! เจ้ากลัวจนเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร!”
หวนเฉ่าโหยวตวาดอย่างรุนแรง
ชายชราชุดดำมองไปที่ซูอี้และพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยันว่า “สามหมื่นปีที่ผ่านไปโลกช่างเปลี่ยนแปลงไปมาก แม้แต่ตัวตนเล็กจ้อยขอบเขตรวบรวมดารายังกล้าท้าทายจักรพรรดิเช่นข้า…”
ประโยคนั้นดูเหมือนธรรมดา แต่เสียงที่เปล่งออกมาราวกับเสียงฟ้าร้องทุบแก้วหูของซูอี้อย่างรุนแรง และเสียดแทงเข้าใส่วิญญาณของเขา!
ในทะเลแห่งจิตวิญญาณของซูอี้ ดาบเก้าคุมขังปะทุอำนาจอันเลิศล้ำของมันขจัดอำนาจเต๋าที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงที่คุมคามนี้ได้อย่างง่ายดาย
แลเห็นเช่นนี้ซูอี้พลันพ่นลมหายใจก่อนจะหัวเราะและพูดว่า “เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของเจตจำนงที่ใกล้จะมอดดับ แต่กลับพูดจาใหญ่โตจนน่าขัน!”
พลังของขอบเขตจักรพรรดิอาจทำให้มนุษย์ทุกคนในโลกนี้ตกตะลึงได้
แต่ในสายตาของซูอี้ผู้ซึ่งเมื่อชีวิตก่อนเคยก้าวข้ามขอบเขตจักรพรรดิไปแล้ว และเป็นที่เคารพในเก้ามหาแดนดิน การกระทำของชายชราในขณะนี้ช่างดูไร้สาระมาก
เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของทุกคนก็แปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดซูอี้ถึงกล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ!
แม้แต่หวนเฉ่าโหยวยังตกตะลึง เขาเคยเห็นคนที่รนหาที่ตายมาก่อน แต่เขาไม่เคยเห็นใครที่รนหาที่ตายขนาดนี้!
ดวงตาของชายชราชุดดำหรี่ลงและสีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังยิ่งขึ้น
เขาไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มขอบเขตรวบรวมดาราจะไม่เกรงกลัวตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเช่นเขาได้ขนาดนี้!
นี่มันผิดปกติอย่างไม่ต้องสงสัย
“เจ้าพูดถูก”
ชายชราชุดดำพูด เสียงของเขาดังก้องไปทั่วโลก “ข้าเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของเจตจำนงที่เสียหาย”
ทุกคนต่างตกตะลึงและประหลาดใจกับการยอมรับโดยดุษณีของชายชรา
จากนั้นชายชราชุดดำพูดต่ออย่างเชื่องช้าว่า “ทว่าแม้ข้าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเจตจำนงที่เสียหาย การฆ่าตัวตนเช่นเจ้าแค่เพียงดีดนิ้วก็มากเกินพอแล้ว จงหยุดพูดจาไร้สาระและนำไพ่ลับของเจ้าออกมาเสียที เจ้าเป็นเพียงเด็กน้อยขอบเขตรวบรวมดารา เจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาโอหังกับข้า”
คำพูดนี้เต็มไปด้วยการดูถูกซูอี้อย่างเห็นได้ชัด
เขาเชื่อว่าสาเหตุที่ตัวตนเล็กจ้อยเช่นซูอี้กล้าหยิ่งผยองขนาดนี้เป็นเพราะมีไพ่เด็ดในมือ
สำหรับตัวตนของซูอี้นั้นไม่ได้มีค่าให้พอให้สนใจ
“ต้องการดูไพ่ลับของข้าเช่นนั้นหรือ? ไม่ เจ้าไม่มีคุณสมบัติถึงขนาดนั้นหรอก”
ทันใดนั้นซูอี้เงื้อดาบนิลกาฬในมือขึ้น “แค่ดาบนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะลบเจ้าหายไป”
ทุกคน “…”
ฉากนี้เกินจินตนาการของผู้คน ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าซูอี้จะกล้าเอ่ยคำเช่นสังหารตัวตนขอบเขตจักรพรรดิในหนึ่งดาบเช่นนี้! แม้อีกฝ่ายจะเป็นเศษเสี้ยวเจตจำนงที่หลงเหลืออยู่ แต่การพูดเช่นนี้นับได้ว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามอย่างร้ายแรง!
หวนเฉ่าโหยวโกรธมากจนแทบหัวเราะ ไอ้สารเลวนี้มันเสียสติจนไม่อาจเข้าใจได้!
“จริงหรือ? เช่นนั้นแสดงมาให้จักรพรรดิผู้นี้รับชมที!”
ชายชราชุดดำเริ่มหมดความอดทนแล้ว ดวงตาส่องประกายแสงเจิดจ้า และทันใดนั้นเขาเหยียดนิ้ว… ชี้ไปทางซูอี้!
ตูม!
เสียงระเบิดปะทุขึ้นราวกับฟ้าถล่ม ปราณวิญญาณรอบด้านเดือดพล่าน
นิ้วชี้ของชายชราที่เหยียดออกนั้นขยายใหญ่บดบังท้องฟ้าจนมืดมิด มันคล้ายกับดัชนีพิพากษาซึ่งบังเกิดจากสวรรค์ ซึ่งสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งให้ดับสูญ
เหล่าผู้ชมที่รับชมอยู่เมื่อได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพลังนี้พวกเขาต่างกลั้นหายใจด้วยความกลัว และพวกเขาต่างมีความคิดเป็นแบบเดียวกัน
หากนิ้วนั้นชี้มาทางพวกเขา อำนาจของมันนั้นย่อมเพียงพอที่จะทำลายล้างทั้งร่างกายและวิญญาณของพวกเขาในทันทีทันใด!
ทางด้านของซูอี้ขณะนี้ เขารู้สึกทั้งร่างหนักอึ้งและปราณในร่างกายของเขาคล้ายกับถูกบางสิ่งพยายามระงับให้หยุดนิ่ง
แต่ทว่าเมื่อรู้สึกเช่นนี้เขากลับยิ้ม ก่อนที่ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือจะร้องคำรามลั่นแล้วฟาดฟันออกอย่างฉับพลัน!
เคร้ง!
เป็นท่วงท่าการฟันที่เรียบง่าย ปราณดาบที่พุ่งออกนั้นดูธรรมดายิ่ง แต่ดัชนีที่ดูไร้เทียมทานซึ่งใกล้เข้ามากลับถูกปราณดาบแยกออกเป็นสองส่วนในทันใดและระเบิดหายไปในพริบตาหลงเหลือแต่เพียงละอองแสงที่พร่างพราวอยู่กลางท้องฟ้าและค่อย ๆ ร่วงหล่นลงยังปฐพีคล้ายกับสายฝน!
ฉากนี้นั้นเรียบง่ายไม่ต่างจากภาพของคนผู้หนึ่งใช้มีดคมตัดกระดาษ
“นี่…”
ทุกคนตะลึง
ชายชราชุดดำสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงก่อนจะอุทานออกอย่างลืมตัว “นี่มันพลังอะไรกัน!?”
“มันคือพลังที่สามารถทำลายเจ้าได้อย่างง่ายดายราวกับข้าหักคอไก่ตัวหนึ่ง”
ขณะที่เอ่ยประโยคนี้ ซูอี้ลอยร่างขึ้นไปหาชายชราชุดดำพร้อมกับดาบในมือ
แลเห็นเช่นนี้ชายชราชุดดำพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา จากนั้นเขาก็เหวี่ยงแขนผายมือไปด้านหน้า
ครืน!
ทันใดนั้นโซ่ศักดิ์สิทธิ์ที่ห้อมล้อมด้วยเปลวเพลิงสีดำปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า ค่อย ๆ เลื้อยหล่นลงมายังโลก มันเป็นภาพที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัว
“ถึงเวลาจบเรื่องแล้ว!”
ซูอี้พยักหน้ากับตนเองก่อนจะฟันดาบในมือออกไปยังท้องฟ้า!
ปราณดาบกว้างสิบฉื่อถูกปลดปล่อย ปราณดาบนี้ถูกปกคลุมไปด้วยอักขระลึกลับมากมายอีกทั้งยังเปล่งแสงเป็นประกายเจิดจ้าจนผู้คนแสบตา
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
โซ่เพลิงดำที่ปกคลุมท้องฟ้าและพุ่งเข้าหาซูอี้เมื่อถูกปราณดาบปะทะ พวกมันแตกสลายอย่างง่ายดายในพริบตา เสียงแตกเป็นเสี่ยง ๆ ของพวกมันราวกับเสียงฟ้าร้องสวรรค์ถล่มหลงเหลือไว้แค่เพียงสะเก็ดแสงมากมายที่ร่วงหล่นลงสู่พื้น
ท่ามกลางสะเก็ดประกายแสงที่ร่วงหล่น ซูอี้ลอยร่างกลางอากาศด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ในระยะไกล ชายชราชุดดำดวงตาเบิกกว้างมองลงไปที่ร่างของซูอี้และอุทาน “นี่มันพลังแบบใดกัน…?”
น้ำเสียงของเขาทั้งหวาดเกรงและสงสัย
ซูอี้เก็บดาบและกล่าวว่า “เป็นเพียงเจตจำนงแต่ถูกทำลายด้วยดาบของข้า… สิ่งนี้ถือเป็นเกียรติของเจ้าแล้ว”
“หรือว่าแท้จริงแล้ว…”
สายตาของชายชราชุดดำที่มองซูอี้เปลี่ยนเป็นตกตะลึง เขาเปิดปากจะพูดอะไรบางอย่าง
ทว่าก่อนจะทันได้ออกเสียงร่างมายาของเขาก็ถูกแยกออกเป็นสองส่วนอย่างเงียบงันโดยปราณดาบเมื่อครู่ที่ซูอี้ปลดปล่อย สลายกลายเป็นฝนแสงหลากสีกระจัดกระจาย และหายไป…