บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 566 ผิดหวังอยู่ในใจ
ตอนที่ 566: ผิดหวังอยู่ในใจ
ตอนที่ 566: ผิดหวังอยู่ในใจ
ฟ้าดินต่างเงียบงัน
ผู้ชมทั้งหลายตกตะลึงจนตัวแข็ง ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างจนคล้ายแทบถลนออกจากเบ้า
ตัวตนขอบเขตจักรพรรดินั้นสูงส่งไม่ต่างจากพระเจ้า!
สำหรับผู้ฝึกตนทั้งหมดในโลก ขอบเขตจักรพรรดิคือตัวตนในตำนานของตำนาน เป็นตัวแทนของมรรคาอันไกลโพ้นสูงสุดที่ทุกคนต่างเฝ้าฝันจะไปถึง เป็นพลังที่ไม่มีผู้ใดจะสั่นคลอนได้
ดังนั้นแล้วใครจะจินตนาการถึงว่าซูอี้ ชายหนุ่มขอบเขตรวบรวมดาราจะสามารถสังหารตัวตนขอบเขตจักรพรรดิด้วยดาบเดียวเช่นนั้น?
แม้ว่าสิ่งที่ซูอี้สังหารจะเป็นเพียงเจตจำนงที่จักรพรรดิทิ้งไว้ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดในโลกสามัญจะสามารถต้านทานได้!
แต่ตอนนี้ตัวตนดังกล่าวถูกทำลายโดยดาบของซูอี้!
ผลลัพธ์นี้มันช่างน่ากลัวเกินไป
สิ่งนี้ทำลายความเชื่อและจินตนาการของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเมื่อเห็นฉากนี้ ผู้คนทั้งหลายจึงแอบคิดไปว่าตัวเองอยู่ในความฝันหรือไม่ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสิ่งที่ปรากฏแก่สายตามันเป็นเรื่องจริง!
มันไม่ต่างจากภาพฝัน
หวนเฉ่าโหยวอ้าปากค้าง ดวงตาของเขาจ้องมองตรงไปยังจุดที่ชายชราชุดดำเคยอยู่ ทั้งร่างสั่นเทิ้มราวกับเพิ่งขึ้นมาจากทะเลสาบน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกที่สุด
ความรู้สึกมากมายกระทบเข้ามาสู่จิตใจของเขาราวกับคลื่นซัดถล่มไม่หยุดหย่อน และท้ายที่สุดเมื่อถึงจุดที่จิตใจไม่อาจทานรับไหว เขาจึงได้กระอักเลือดออกมาเต็มปาก
“ไม่!!! มันเป็นไปไม่ได้!! เจตจำนงที่บรรพบุรุษทิ้งไว้จะถูกเอาชนะได้อย่างไร… เป็นไปไม่ได้… เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน…”
หวนเฉ่าโหยวพึมพำสลับกรีดร้องอย่างไม่ต่อเนื่องราวกับคนเสียสติ
ทายาทของตระกูลหวนเผ่ามารผู้นี้แต่เดิมเป็นที่รู้จักว่ามีอารมณ์ที่รุนแรงและบ้าคลั่งที่สุด
แต่ในเวลานี้ดูเหมือนเขาจะบ้าไปแล้วอย่างแท้จริง…
เหล่าผู้ชมที่อยู่ไกล ๆ ค่อย ๆ ฟื้นคืนสติและเมื่อเห็นหวนเฉ่าโหยวที่กลายเป็นคนเสียสติไปเช่นนั้น พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่นร่วมด้วย
เมื่อพิจารณาจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงเข้าใจดีว่าขณะนี้จิตใจของหวนเฉ่าโหยวถูกกระทบอย่างรุนแรงเพียงใด
ที่งานชุมนุมมวลพฤกษาภายใต้สายตาของทุกคน ซูอี้สะบั้นแขนขวาของเขา กล้ามเนื้อและกระดูกทั่วร่างแหลกเป็นเสี่ยง ๆ และท้ายที่สุดสภาพของเขาไม่ต่างอะไรจากสุนัขข้างถนนที่เพิ่งโดนรถม้าเหยียบสักสิบคัน
อีกทั้งในเวลานั้น ซูอี้ยังทำลายแม้กระทั่งดวงวิญญาณของหวนเทียนจ้งผู้ซึ่งเป็นลุงทวดของเขา
มาตอนนี้หวนเฉ่าโหยวได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่เขายังร่วมมือกับเหล่าผู้ร้ายกาจยุคโบราณถึงแปดคนซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นตัวตนที่อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณกันทั้งนั้น การเตรียมการขั้นนี้มันควรยิ่งกว่าเพียงพอ…
แต่ใครจะไปคิดว่า…
ในการต่อสู้ครั้งนี้ พลพรรคของหวนเฉ่าโหยวจะถูกฆ่าตายทีละคนราวกับผักปลา!
และท้ายที่สุด แม้แต่เจตจำนงของตัวตนระดับจักรพรรดิที่เขาอัญเชิญมาก็ยังถูกดาบของซูอี้ทำลายสิ้น
การถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับเห็นหวนเฉ่าโหยวสร้างปราสาทสูงอันสวยงามขึ้นมาด้วยชีวิตทั้งหมดของตนเอง แต่แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งกลับมีสายฟ้าจากสวรรค์ผ่าลงมาทำลายปราสาทนั้นถล่มย่อยยับภายในพริบตา!
สำหรับหวนเฉ่าโหยว เขาไม่สามารถทนต่อการโจมตีหนักหน่วงเช่นนี้ได้อีกต่อไป
ซูอี้ลอยร่างอยู่กลางอากาศ ดวงตาของเขาไม่แยแสไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจหรือสงสาร
นิสัยสันดานของหวนเฉ่าโหยวนั้นรุนแรงและบ้าคลั่งลึกลงไปถึงกระดูก หากปล่อยตัวตนเช่นนี้ทิ้งไว้มันย่อมเป็นปัญหาในภายภาคหน้า เพราะตราบใดที่คนเช่นนี้ไม่ตายไป เมื่อใดที่มีโอกาสมันจะแว้งกัดเขาได้ทุกเมื่ออย่างไม่รีรอ
แน่นอนว่าในความคิดของซูอี้ขณะนี้ไม่มีทางปล่อยหวนเฉ่าโหยวให้รอดพ้น
“ซูอี้… ถ้าข้าไม่ได้เลือกที่จะเป็นศัตรูของเจ้าตั้งแต่แรกเริ่ม ทั้งหมด… ทั้งหมดนี้มันคงไม่เกิดขึ้นใช่หรือไม่?”
หวนเฉ่าโหยวเงยหน้าขึ้นและมองที่ซูอี้ด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง
“ผิด”
ซูอี้ส่ายหัว “ในสายตาของข้า เจ้าไม่เคยมีคุณสมบัติพอจะเป็นศัตรูของข้าตั้งแต่แรกเริ่ม”
หวนเฉ่าโหยวยิ้มอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “ถ้านี่เป็นครั้งแรกที่เราเจอกันและเจ้าพูดเช่นนี้กับข้า แน่นอนว่าข้าย่อมไม่มีทางเชื่อ อีกทั้งยังจะคิดว่าเจ้ากำลังยั่วยุข้า…”
หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจและพูดว่า “ใครกันจะคาดคิดว่าตัวตนเช่นเจ้าที่มีระดับการฝึกฝนเพียงเท่านี้แท้จริงแล้ว… คือเสือในคราบแกะขุดหลุมพลางผู้คน กลืนกินผู้อื่นโดยไม่คายแม้แต่กระดูก สุดท้ายแล้วเจ้ามันคือคนที่สารเลวยิ่งกว่าผู้ใดที่ข้าเคยพบเจอเสียอีก…”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา หลายคนที่รับชมอยู่ต่างหวนนึกถึงความทรงจำที่พวกเขาเคยมีต่อซูอี้
กู่ชางหนิงจำครั้งแรกที่เขาได้พบกับซูอี้ ตอนนั้นเขาพ่ายแพ้ย่อยยับต่อคมดาบของอีกฝ่าย
อวี่เหวินซู่จำได้แม่นยำถึงฉากที่ซูอี้ตัดศีรษะโจวเฟิงจื่อบนฝั่งของแอ่งเกล็ดทองโดยไม่สนใจคำประกาศสงครามของเขา
หลี่หานเติงยังจำได้ว่าตนเองเคยหยิ่งหยองเพียงใดเมื่อคืนก่อนยามเผชิญหน้ากับซูอี้
เหมยเหยียนไป๋ เฟิงจื่อตู โต้วโค่ว และผู้ร้ายกาจยุคโบราณคนอื่น ๆ ที่ถูกซูอี้ปล้นสมบัติต่างก็รู้สึกหดหู่มาก
ใครจะคิดว่าซูอี้ซึ่งมีระดับการฝึกตนต่ำกว่าพวกเขาและภูมิหลังที่ไม่มีอะไรเลยกลับมีความแข็งแกร่งเลิศล้ำเพียงนี้?
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขาคิดว่าหวนเฉ่าโหยวจะทนรับการกระทบกระเทือนทางจิตใจไม่ไหวจนเสียสติไปแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังคงมีสติรู้ตัวเป็นอย่างดี
“สั่งเสียเกินพอแล้ว ถึงเวลาที่เจ้าต้องไป”
ซูอี้เอ่ยขึ้นพร้อมกับเหยียดนิ้วกำลังจะลงมือ
ทว่าหวนเฉ่าโหยวกลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและหัวเราะเสียงดัง “ซูอี้! ข้าเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดชีวิตของข้าเองว่าจะอยู่หรือตาย เจ้าต้องการฆ่าข้าเช่นนั้นหรือ? ไม่มีทาง!”
หลังจากสิ้นเสียงตะโกน ร่างกายของเขาพลันปริแตกอย่างฉับพลัน ก่อนที่เปลวเพลิงสีดำจะลุกโหมคลอกร่างของเขาจนทั่ว
ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าหวนเฉ่าโหยวจะตัดสินใจฆ่าตัวตายอย่างเด็ดขาดในช่วงเวลาสุดท้ายนี้!
เปลวไฟปีศาจลุกโชนรุนแรง เส้นผมสีม่วงของหวนเฉ่าโหยวลุกไหม้ส่งกลิ่นคลื่นเหียน ตัวเขากรีดร้องว่า “รอก่อนเถิดซูอี้! เมื่อใดที่เจ้าออกจากเกาะเซียนพระสุเมรุนี้ แม้ชื่อเสียงของเจ้าจะขจรไกลไปทั่วทุกทิศ แต่เจ้า! ซูอี้… เจ้าจะกลายเป็นศัตรูต่อโลกทั้งหมด!
คำพูดนี้ดังกึกก้องอยู่เป็นเวลานานและร่างของหวนเฉ่าโหยวก็กลายเป็นขี้เถ้าที่ในช่วงเวลาไม่นาน
เมื่อได้เห็นฉากนี้ หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน
ตอนนี้ผู้ร้ายกาจยุคโบราณทั้งเก้าซึ่งอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณรวมถึงหวนเฉ่าโหยว ต่างตายลงที่แท่นจุติเทียนเต๋า!
“นับได้ว่าฉลาดยิ่งกับการเลือกที่จะตายด้วยน้ำมือตนเอง”
ซูอี้พึมพำกับตัวเอง
จากนั้นเขาก็หันไปมองเก๋อเฉียน
เก๋อเฉียนสะดุ้งโหยงเมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของซูอี้
จากนั้นเขาเข้าใจในทันทีและรีบวิ่งไปเริ่มเก็บข้าวของของบรรดาผู้คนที่ซูอี้เพิ่งสังหาร
หลังจากรอจนเก๋อเฉียนเก็บของทั้งหมดเสร็จ ซูอี้จึงเอ่ยขึ้นว่า “ไปหาที่พักผ่อนก่อน หลังจากที่พลังต้องห้ามยุคโบราณสลายหายไป เราค่อยเข้าไปยังภูเขาพระสุเมรุ”
หลังจากพูดจบเขาหันหลังเดินจากไป
สำหรับเขา การต่อสู้ครั้งนี้ค่อนข้างน่าพอใจไม่น้อย
สถานการณ์ที่อันตราย รสชาติของความเจ็บปวดจากบาดแผล ภัยคุกคามที่ร้ายแรง… ทั้งหมดทำให้โลหิตที่ไหลเวียนในร่างของเขาเดือดพล่าน จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ลุกไหม้ ทุกโสตประสาทเต็มไปด้วยความสุข
แต่หลังจากใช้ไพ่ลับแล้ว การต่อสู้ก็ไม่น่าสนใจอีก
เนื่องจากมันไม่ใช่การประชันความแข็งแกร่งในตัวบุคคลอีกต่อไป แต่เป็นการแข่งขันว่าใครมีไพ่เหนือกว่า ซึ่งไร้ความหมายและขาดความน่าตื่นเต้น
แม้ว่าเขาจะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ในท้ายที่สุด เขากลับไม่รู้สึกถึงความสำเร็จแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินคำพูดของซูอี้ เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน และเก๋อเฉียน จึงเร่งรีบติดตามซูอี้ไปด้วยสีหน้าที่คล้ายกับเพิ่งตื่นจากความฝัน
เมื่อเห็นกลุ่มของซูอี้ลับตาไป ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกโดยไม่รู้ตัว ราวกับว่าพวกเขาเพิ่งยกก้อนหินที่กดทับหัวใจของพวกเขาออกไป
ทันใดนั้น สีหน้าของทุกคนเริ่มซับซ้อนขึ้น
“เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้ว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราก็สามารถมีพลังต่อสู้ที่ท้าทายสวรรค์ได้…”
เฉิงผูพึมพำ
เขาเองก็เป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณที่ซึ่งมีพรสวรรค์ท้าทายสวรรค์ อีกทั้งมีความรู้มากล้นที่เกี่ยวกับโลกเมื่อสามหมื่นปีก่อน
อย่างไรก็ตาม จากความรู้ที่มี เขาไม่เคยได้ยินใครที่อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราที่น่ากลัวเท่ากับซูอี้
“นอกจากพลังการต่อสู้อันเหนือล้ำแล้ว ไพ่ลับของเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”
ดวงตาของฉือเจี่ยนซู่สั่นไหวและกล่าวว่า “พลังจากเจตจำนงของจักรพรรดินั้นยิ่งกว่าเพียงพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณขั้นปลาย แต่ทว่าซูอี้ผู้นี้กลับทำลายอีกฝ่ายได้ด้วยดาบเดียว”
แม้ทั้งสองจะเพ่งความสนใจไปยังแง่มุมที่ต่างกัน แต่ทั้งสองต่างรู้ดีอยู่เต็มอกว่าตัวตนเช่นซูอี้คือผู้ที่พวกเขาไม่ควรล่วงเกินด้วยในอนาคต!
“ตอนนี้เจ้ายังกล้ายืนยันอีกหรือไม่ในคำพูดของเจ้าที่เอ่ยว่าหากซูอี้เข้าร่วมกับเรามันจะเกิดปัญหา?”
เจียงหลีมองไปที่เฉินสิง ศิษย์น้องของหลวงจีนเฉินลวี่
สีหน้าของเฉินสิงดูสับสนและเขาก็พูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง
หลวงจีนเฉินลวี่ถอนหายใจเบา ๆ “เจ้าคิดผิด แม้พวกเราจะเชิญสหายเต๋าซูมาเข้าร่วมกับเรา แต่ด้วยอารมณ์และบุคลิกของเขา อาตมาเกรงว่าเขาคงปฏิเสธเราอย่างไม่ไยดี”
ทุกคนเงียบ
ซูอี้เพียงคนเดียวมีความสามารถในการสังหารหวนเฉ่าโหยวและคนอื่น ๆ ได้ทั้งหมด ดังนั้นเหตุใดซูอี้ถึงจำเป็นต้องเข้าร่วมกับพวกเขาด้วย?
“เป็นที่แน่นอนว่าเมื่อใดสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้แพร่กระจายไปสู่โลกภายนอก ทั้งโลกจะต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน และชื่อของซูอี้จะดังก้องจนไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก!”
คำพูดของอวี่เหวินซู่หนักแน่น
“แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งนี้จะนำภัยพิบัติและปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่คาดคิดมาให้เขาด้วย”
เฉินลวี่เอ่ยอย่างเรียบเฉย “ดั่งที่หวนเฉ่าโหยวกล่าว หลังจากนี้แม้ชื่อเสียงของซูอี้จะเป็นที่โจษจันและได้รับการยกย่องจากผู้คนทั่วโลก แต่เขาก็จะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่ากองกำลังจากยุคโบราณมากมายเช่นกัน”
ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
หวนเฉ่าโหยวและผู้ร้ายจากยุคโบราณอีกหลายคนถูกซูอี้สังหาร เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป เหล่ากองกำลังโบราณต้นสังกัดของหวนเฉ่าโหยวและคนอื่น ๆ ย่อมไม่อยู่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน
อีกจุดหนึ่งที่อยู่ห่างออกไป
“ตอนนี้ข้าเพิ่งรู้ตัวว่าเราโชคดีเพียงใดที่เรารอดชีวิตมาได้ในตอนนั้น…”
เหมยเหยียนไป๋เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว
เฟิงจื่อตูและคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
คราแรกพวกเขารู้สึกอับอายและไม่พอใจเมื่อถูกซูอี้ปล้นสมบัติ และพวกเขายังคิดที่จะหาโอกาสที่จะแก้แค้นในอนาคต
แต่ตอนนี้…
การได้เห็นการตายของหวนเฉ่าโหยว และคนอื่น ๆ กลับทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขที่ตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่
สายตาของโต้วโค่วเลื่อนไปมองเฉียนอวิ๋นและกล่าวว่า “ในความคิดของข้า ต่อให้เจ้าเดินเข้าไปคำนับขอให้ซูอี้เป็นบรรพบุรุษของเจ้า ข้าเกรงว่าซูอี้คงปฏิเสธเจ้าโดยไม่คิดซ้ำสองด้วยซ้ำ”
เฉียนอวิ๋น “???”
…
ยามค่ำคืน
ในหุบเขา
ซูอี้นอนอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้หวายพลางร่ำสุราเพียงลำพัง
ในใจของเขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
คราแรกด้วยพลังของเขา ซูอี้จึงไม่เกรงกลัวต่อภัยคุกคามของพลังต้องห้ามยุคโบราณแม้แต่น้อย และยังสามารถเข้าสู่ภูเขาพระสุเมรุได้อย่างง่ายดาย
แต่แล้วการต่อสู้วันนี้มันกลับรุนแรงเกินกว่าที่คาดไว้ ซึ่งทำให้ร่างกายภายนอกของเขามีบาดแผลมากพอสมควร
นอกจากนี้เขายังยืมพลังของดาบเก้าคุมขังเพื่อฆ่าศัตรูเป็นเวลานานจนทำให้พละกำลังของเขานั้นอ่อนแรง จนถึงตอนนี้ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายของเขาอ่อนล้าเป็นอย่างมาก
ในกรณีเช่นนี้ มันจึงไม่สมควรที่เขาจะบุกเข้าไปในภูเขาพระสุเมรุทันที
ที่ข้างกาย เยว่ซือฉานกำลังช่วยทายาสมานแผลให้แก่ซูอี้อย่างระมัดระวัง ใบหน้าที่งดงามของนางเผยให้เห็นทั้งความจดจ่อและสงสารปะปนกันไป
แม้การกระทำนี้จะดูเล็กน้อยสำหรับผู้คนอื่น แต่ในสายตาของนางมันดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก
ไม่ไกลนักเหวินซินจ้าวกำลังช่วยเก๋อเฉียนนับของที่ริบมาได้ในวันนี้
ซูอี้กวาดสายตามองทุกสิ่งก่อนจะยิ้มและเงยหน้ายกสุราขึ้นดื่มอีกรอบ