บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 567 ช่วยเหลือ
ตอนที่ 567: ช่วยเหลือ
ตอนที่ 567: ช่วยเหลือ
สองวันต่อมา
วันที่สิบสองเดือนสิบ ช่วงเช้า
ที่หน้าภูเขาพระสุเมรุ
ซูอี้วางมือไพล่หลังเงยมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเลือดแปลกประหลาด และมีซากดาวที่แตกสลายนับไม่ถ้วนลอยนิ่งอย่างน่าพิศวง
หมอกสีดำซึ่งเป็นพลังต้องห้ามยุคโบราณที่ปกคลุมภูเขาพระสุเมรุนั้นค่อย ๆ บางลงและดูคล้ายว่าอีกไม่นานมันจะหายไปอย่างสิ้นเชิง
“สถานที่แห่งนี้ไม่ง่ายเลยจริง ๆ”
ซูอี้พึมพำกับตนเอง
เขาพระสุเมรุสูงใหญ่และน่าเกรงขามอย่างยิ่ง มันตั้งตระหง่านส่องประกายเป็นสีทองราวกับเสาทองคำที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อค้ำยันฟ้า
แต่เดิมมันคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามยอดสำนักผู้ฝึกปีศาจของโลกเมื่อสามหมื่นปีที่แล้ว
แต่ในช่วงสามหมื่นปีที่ผ่านมา มันถูกปกคลุมไปด้วยพลังต้องห้ามจากยุคโบราณอยู่เสมอ และบนท้องฟ้ายังมีแต่เมฆหมอกสีเลือดและซากของดวงดาวกระจายอยู่ทั่ว
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ตระหนักว่าต้องมีพลังอำนาจมหาศาลบางอย่างสถิตอยู่ในสถานที่แห่งนี้ซึ่งต้านทานพลังต้างห้ามจากยุคโบราณอยู่เป็นแน่!
ไม่เช่นนั้น ภูเขาพระสุเมรุที่สูงตระหง่านนี้คงจะสลายหายไปนานแล้ว
“ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ามีโชคใดซ่อนอยู่ที่นี่”
ข้าง ๆ เขา ดวงตาที่สวยงามของเหวินซินจ้าวเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อาจมีโชคโอกาสซุ่มซ่อน แต่ที่แน่นอนคืออันตรายย่อมมีอยู่ทุกที่”
ซูอี้ยิ้ม “ไปกันเถิด พวกเราเข้าไปดูกัน”
เหตุผลหนึ่งที่เขามาที่เกาะเซียนพระสุเมรุคือเพื่อค้นหาว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในที่แห่งนี้นั้นเกี่ยวข้องกับพลังต้องห้ามยุคโบราณอย่างไร
ซูอี้เดินนำกลุ่มไปที่ประตูทางเข้าภูเขา
เมื่อพวกเขาเดินไปถึงตีนภูเขาพระสุเมรุ พวกเขาพบว่าพลังต้องห้ามยุคโบราณที่อยู่บริเวณประตูภูเขาได้หายไปแล้วและผู้ร้ายกาจยุคโบราณรวมไปถึงเหล่าอัจฉริยะทั้งหลายที่ซึ่งเดิมรออยู่ใกล้บริเวณนี้ได้ล่วงหน้าเข้าไปก่อนแล้ว
ซูอี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้
แม้ตอนนี้จะมีใครคว้าโอกาสได้ไปแล้ว แต่ถ้าหากยังไม่ถึงนาทีสุดท้ายผู้ใดจะรู้ว่าท้ายที่สุดโอกาสนั้นใครจะได้ครอบครองอย่างแท้จริง
เมื่อผ่านเข้าไปภายในประตูภูเขา เส้นทางเบื้องหน้าคือเส้นทางที่ขรุขระและคดเคี้ยว
หากเพ่งมองอย่างละเอียดจะพบว่าทั่วเส้นทางนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดเก่าสีดำที่แห้งแล้วมากมายจนน่าตกใจ
ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไปยังเส้นทางนี้ ซูอี้หยุดชั่วคราว มองดูมันสักครู่แล้วกล่าวว่า “ต่อจากนี้จงเดินตามข้าอย่าให้ห่าง และอย่าได้ทำสิ่งใดหากไม่ได้รับอนุญาต”
เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างรีบพยักหน้า
เก๋อเฉียนอดไม่ได้ที่จะถาม “คุณชายซู เส้นทางนี้มีปัญหาอย่างนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
ซูอี้กล่าวว่า “ประตูขึ้นสู่ภูเขาของยอดสำนักไม่ว่าจะเป็นที่ใดย่อมไม่ธรรมดา เช่นเดียวกับทางขึ้นเขาข้างหน้านี้ที่มีค่ายกลมากมายวางอยู่ ถึงแม้สำหรับข้ามันจะไม่ได้อันตรายอะไรมากมาย แต่ถ้าเจ้าฝืนบุกขึ้นไปตามลำพัง ชะตากรรมของเจ้าจะจบลงด้วยการถูกคุมขังไม่อาจออกไปไหนได้ตลอดกาล”
ซูอี้โบกมือหลังจากพูดจบ
ครืน!
แสงสว่างจ้ากระจายไปทั่ว และทันใดนั้นคลื่นพลังอันปั่นป่วนก็ปรากฏขึ้นบนเส้นทาง มันเป็นแสงสีเงินกระเพื่อมไปมาราวกับระลอกคลื่น
“นี่คือค่ายกลลวงตาซึ่งไม่ได้สร้างความเสียหายแก่ร่างกาย แต่ถ้าหากเจ้าก้าวล่วงเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ มันจะคล้ายกับเจ้าเข้าไปติดอยู่เขาวงกตที่รอบด้านมีแต่กำแพงซึ่งเจ้ามองไม่เห็น ถ้าเจ้าไม่เข้าใจความลึกลับหรือจุดอ่อนของค่ายกลนี้ เจ้าจะไม่มีวันเดินผ่านไปได้ ไม่ว่าเจ้าจะอ้อมเดินไปทิศทางใดมันจะเสมือนคล้ายเจ้าถูกขวางกั้นโดยภูเขาทุกทิศทางเสมอ”
“บางสำนักวางค่ายกลเช่นนี้ไว้หน้าประตูภูเขาสำนักเพื่อเตือนเหล่าคนนอกไม่ให้ล่วงล้ำเข้าไปในภูเขาโดยไม่ได้รับอนุญาตและให้พวกเขาสามารถล่าถอยได้”
จากนั้นซูอี้ก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่เนื่องจากค่ายกลนี้ถูกกัดเซาะโดยพลังต้องห้ามยุคโบราณมาเกือบสามหมื่นปีแล้ว ดังนั้นอำนาจของค่ายกลนี้จึงถูกลดทอนไปมากจึงไม่เป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงใดสำหรับเรา”
หลังจากพูดจบ ซูอี้จึงเดินนำเหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ไปตามเส้นทางบนภูเขา
เมื่อก้าวเหยียบไปบนเส้นทาง ทิวทัศน์เบื้องหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน รอบด้านกลายเป็นพื้นที่ว่างที่มีหมอกหนา และไม่สามารถแยกแยะทิศตะวันออก ตะวันตก เหนือและใต้ได้
เมื่ออยู่ในสถานที่เช่นนี้ เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกตื่นตระหนก
ในที่แบบนี้หากหลงจากกลุ่มพวกเขาคงไม่รู้จะไปทางไหน!
“ไปกันเถิด”
ซูอี้เดินออกไปก่อน
ระหว่างทาง บางครั้งก็หยุด บางครั้งก็เบี่ยงตัว และบางครั้งก็ถอยห่างออกไป วนเลี้ยวไปมา
เหวินซินจ้าว และคนอื่น ๆ งุนงงเป็นอย่างมาก ไม่อาจมองค่ายกลนี้ออกได้เลย
“การมองไม่เห็นสิ่งใดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าคนที่เข้ามาก่อนพวกเราต้องติดอยู่ที่นี่ตลอดไปเลยไม่ใช่หรือ?”
เก๋อเฉียนอดไม่ได้ที่จะถาม
เหวินซินจ้าวกับเยว่ซือฉานตกตะลึงและมองไปที่ซูอี้โดยไม่รู้ตัว
“ค่ายกลนี้ไม่ได้ทรงอำนาจอย่างที่เจ้าคิด มีเส้นทางอยู่สามทางในค่ายกลนี้ นอกจากนี้พลังของค่ายกลขณะนี้ก็อ่อนแอมาก ตราบใดที่เป็นผู้บ่มเพาะขั้นวิถีวิญญาณขึ้นไปหรือมีความเชี่ยวชาญในเต๋าแห่งค่ายกลอักขระ คนผู้นั้นจะสามารถหาเส้นทางเส้นแรกไปต่อได้อย่างง่ายดาย”
ซูอี้กล่าวต่อ “แต่หากเดินตามเส้นทางแรก ถัดไปสิ่งที่จะต้องเจอคือค่ายกลต้องห้ามใหม่อีกหนึ่งชั้น”
“จากการกวาดสายตามองของข้าก่อนเดินเข้ามา ทางขึ้นเขาที่มุ่งสู่เขาพระสุเมรุถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลต้องห้ามไม่น้อยกว่าสิบแปดแห่ง ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะได้รับความเสียหายและพังทลายไปบ้างแล้วก็ตามรวมถึงไม่มีพิษภัยมากนัก ทว่าถ้าหากต้องฝ่าฟันทุกค่ายกลทั้งหมดมันย่อมไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่ายินดี”
“ส่วนเส้นทางที่สองนั้นนำไปสู่กลางขุนเขา แม้จะคดเคี้ยวเล็กน้อย แต่ตราบใดที่เข้าใจในเส้นทาง หากไปถูกทางก็สามารถขึ้นไปถึงครึ่งทางของภูเขาได้โดยไม่เผชิญกับอันตรายใด ๆ”
“อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้ไม่ง่ายที่จะเดินนัก ต่อให้เป็นปรมาจารย์แห่งค่ายกลก็อาจหลงทางได้หากไม่ระวัง”
หลังจากฟังจบ เก๋อเฉียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตะลึงใจ ซูอี้เห็นความลึกลับทั้งหมดนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง!
“ศิษย์พี่ซู เส้นทางที่สามนำไปสู่ที่ใด?”
เหวินซินจ้าวอดไม่ได้ที่จะถาม
“แน่นอนว่ามันย่อมนำไปสู่ด้านนอกภูเขาพระสุเมรุ”
ซูอี้ยิ้ม
เหวินซินจ้าว “…”
นางแสดงสีหน้าอับอายเล็กน้อย นางหลงคิดไปว่าเส้นทางที่สามนั้นเป็นอย่างอื่น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางคิดมากเกินไป…
เวลาผ่านไปทีละนิด
ทั้งกลุ่มยังคงเดินหน้าต่อไป
แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหน้า
“เหมยเหยียนไป๋ เจ้าแน่ใจหรือว่าใช่ทางนี้?”
“บัดซบ! เมื่อครู่นี้มันเสียงอะไรกัน?? แล้วจู่ ๆ โต้วโค่วหายตัวไปไหน? หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ พวกเราทุกคนอาจถึงจุดจบกันหมด!”
“ข้าเอ่ยเตือนไปก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่หรือว่าเราไม่ควรย่างก้าวเข้าสู่ภูเขาพระสุเมรุก่อนจะเข้าสู่วิถีวิญญาณ! หากพวกเจ้าฟังข้า ตอนนี้เราคงไม่ต้องมาติดอยู่ที่นี่!”
เสียงสนทนาดังเซ็งแซ่ ในนั้นมีทั้งน้ำเสียงที่เจือปนไปด้วยอารมณ์โกรธ คำถาม กลัว และมีแม้กระทั่งถอนหายใจอย่างปลงตก
เมื่อได้ยินเสียงเหล่านี้จากระยะไกล เหวินซินจ้าว และคนอื่น ๆ ต่างก็เลิกคิ้ว มันคือเหมยเหยียนไป๋ เฟิงจื่อตู เฉียนอวิ๋น และคนอื่น ๆ!
“ไปดูกันเถิด”
ซูอี้พูดแล้วเดินไปข้างหน้า
สำหรับคนอื่น ๆ การเดินในค่ายกลต้องห้ามที่มีหมอกหนานี้ไม่ต่างอะไรจากพวกเขากลายเป็นคนตาบอดที่ไม่สามารถแยกแยะสิ่งต่าง ๆ และไม่รู้สึกถึงสิ่งใด
แต่สำหรับซูอี้ มันง่ายเหมือนเดินในสวนหลังบ้าน
ในไม่ช้าพวกเขาก็เห็นเหมยเหยียนไป๋และคนอื่น ๆ
กลุ่มของเหมยเหยียนไป๋ยืนเกาะกลุ่มกัน ทุกคนต่างแสดงสีหน้าระมัดระวัง มืดหม่นและหวาดกลัว
“ใคร!?”
เหมยเหยียนไป๋ตะโกนเสียงดังเมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าของซูอี้และคนอื่น ๆ ในหมอก
คนอื่น ๆ ในกลุ่มของเหมยเหยียนไป๋ต่างตั้งท่าพร้อมสู้
ทว่าเมื่อเหมยเหยียนไป๋และคนในกลุ่มของเขาเห็นว่าเป็นซูอี้และพรรคพวกที่ปรากฏขึ้น พวกเขาอดไม่ได้ที่อึ้งค้างไปชั่วขณะ พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับกลุ่มของซูอี้ที่นี่
“ส… สหายเต๋าซู ท่าน… ท่าน… ให้ข้าร่วมทางไปด้วยได้หรือไม่?”
เฉียนอวิ๋นเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นราวกับเจอฟางช่วยชีวิต
เหมยเหยียนไป๋ เฟิงจื่อตู และเนี่ยหลีต่างก็แสดงสีหน้าเปี่ยมด้วยความหวังเช่นกัน
พวกเขาถูกขังที่นี่เป็นเวลานานแล้วและไม่สามารถหาทางออกไปได้เลย จิตใจของพวกเขากำลังจมดิ่งถึงขนาดที่พวกเขาคิดว่าตัวเองจะต้องตายอยู่ที่นี่แน่นอน
ไม่เคยคิดเลย ขณะที่พวกเขากำลังจะสิ้นหวัง ซูอี้กลับปรากฏตัวขึ้น!
ทว่าเมื่อแลเห็นสายตาอ้อนวอนจากใจจริงของคนเหล่านี้ เหวินซินจ้าวกลับรู้สึกแปลกอยู่ในใจ
ก่อนหน้านี้ซูอี้เคยกดขี่พวกเขาอย่างรุนแรง และแม้กระทั่งปล้นสมบัติคนเหล่านี้ไปแล้วด้วยซ้ำ ซึ่งความสัมพันธ์แน่นอนว่าคือศัตรูตัวฉกาจระหว่างกัน
แต่ทว่าตอนนี้เหมยเหยียนไป๋และคนอื่น ๆ กลับขอความช่วยเหลือจากซูอี้ทันทีที่พบหน้า…
นี่มันเกินความคาดหมายของเหวินซินจ้าวอย่างสิ้นเชิง
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยถาม “เมื่อครู่นี้พวกเจ้าพูดว่าหลังจากได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังขึ้น จากนั้นสตรีคนนั้นที่ชื่อโต้วโค่วก็หายตัวไปอย่างนั้นหรือ?”
เหมยเหยียนไป๋และคนอื่น ๆ พยักหน้าซ้ำ ๆ
“ขอเล่าตามตรงต่อสหายเต๋าซู พวกเรามาถึงตรงนี้ไม่น่าจะเกินครึ่งชั่วยามที่แล้ว ทันที่มาถึงที่นี่ เราก็ได้ยินเสียงแปลก ๆ ดังขึ้น”
เหมยเหยียนไป๋กล่าวอย่างรวดเร็ว “ทว่าเสียงนั้นหายไปหลังจากดังขึ้นติดต่อกันไม่เกินสามลมหายใจ แต่จากนั้นเมื่อเรารู้สึกตัวเราก็พบว่าโต้วโค่วหายไปแล้ว…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของแต่ละคนแสดงออกถึงความหวาดกลัวอย่างชัดเจน
การหายตัวไปของโต้วโค่วเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดจนพวกเขาขนหัวลุก
ซูอี้ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด “เสียงแปลก ๆ อย่างนั้นหรือที่พวกเจ้าพูดถึง? หรือว่ายังมีสิ่งมีชีวิตบางชนิดอาศัยอยู่บนเขาพระสุเมรุ?”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของซูอี้ ทุกคนต่างตกตะลึง
เขาพระสุเมรุถูกพลังต้องห้ามยุคโบราณปกคลุมมาเป็นเวลาสามหมื่นปีแล้ว มันจะไปมีสิ่งมีชีวิตชนิดใดที่สามารถอยู่รอดได้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่สุดขั้วเช่นนี้?
ซูอี้เหลือบมองเหมยเหยียนไป๋และผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณคนอื่น ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “พวกเจ้าจะแปลกใจอะไรนักหนา ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าเองก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือหลังจากสามหมื่นปีผ่านมาแล้ว?”
เหมยเหยียนไป๋และผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากันอย่างเขินอาย
“พูดตามตรงสหายเต๋าซู เหตุผลที่ข้าและคนอื่น ๆ รอดจากพลังต้ามห้ามยุคโบราณเป็นเพราะเรา…”
เฟิงจื่อตูอ้าปากจะอธิบาย
ซูอี้เอ่ยขึ้นขัดจังหวะทันที “ข้ารู้ว่าเหตุใดที่พวกเจ้าสามารถเอาชีวิตรอดมาได้จากพลังต้องห้ามยุคโบราณนั้น และรู้ว่ามันแตกต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในภูเขาพระสุเมรุอย่างสิ้นเชิง”
ทว่าหลังจากที่เขาพูดจบ ทันใดนั้นเสียงแปลก ๆ ก็ดังขึ้นในส่วนลึกของหมอก
มันคล้ายเสียงกระซิบแผ่วเบา ดั่งเสียงเพ้อในความฝัน ดังแว่วเป็นระยะ ๆ ไกลบ้างใกล้บ้างอย่างน่าพิศวง
“ไม่นะ! เสียงนั่น! เสียงนั่นดังอีกแล้ว!”
เหมยเหยียนไป๋และสีหน้าคนในกลุ่มของเขาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง สีหน้าของพวกเขาซีดขาว และร่างกายของพวกเขาสั่นอย่างตึงเครียด
เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม จิตใจของพวกเขาตึงเครียดในทันใด
ในขณะเดียวกันนั้น ซูอี้ฟาดฟันในทันที
เคร้ง!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าคำรามขึ้นก่อนจะเสือกแทงไปที่ด้านหลังของเก๋อเฉียนในพริบตา!
หากมองผิวเผินจะดูเหมือนว่ามีแต่หมอกที่อยู่เบื้องหลังเก๋อเฉียน แต่เมื่อดาบแทงออกไปมันกลับมีเสียงเสียบแทงทะลุเข้าไปในเนื้อหนังดังฉึกและตามมาด้วยเสียงร้องอู้อี้
ทันทีหลังจากนั้น เลือดสาดกระเซ็นออกจากหมอกและซูอี้รีบเหยียดมือออกไปเพื่อจะคว้ามันไว้
แต่ทว่าในทันใดนั้นเสียงร้องอู้อี้แปลก ๆ ก็หยุดลงและเลือนหายไป
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ทั้งยังผ่านไปเพียงพริบตา!
เมื่อเก๋อเฉียนได้สติ เขาตกใจมากจนแผ่นหลังของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อและเขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “คุณชายซู เมื่อครู่นี้… เมื่อครู่นี้…”
“เมื่อครู่นี้เจ้าเกือบถูกพาตัวไป”
ซูอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ
“หะ… หา…”
มือและเท้าของเก๋อเฉียนหนาวเย็นฝนทันที แม้กระทั่งหนังศีรษะของเขายังชาหนึบ
คนอื่น ๆ ต่างก็แสดงท่าทางตื่นตระหนกสุดขีดเช่นกัน
ซูอี้เพิกเฉยต่อท่าทางของทุกคน เขามองดูเลือดที่ติดอยู่ที่ปลายดาบ
เลือดเป็นสีทองและใสเหมือนอำพัน
เมื่อเห็นโลหิตลักษณะเช่นนี้ ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแสดงสีหน้าประหลาดใจ