บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 569 ทะยานขึ้นไปจนไม่เห็นฝุ่น
ตอนที่ 569: ทะยานขึ้นไปจนไม่เห็นฝุ่น
ตอนที่ 569: ทะยานขึ้นไปจนไม่เห็นฝุ่น
คู่ต่อสู้ที่ถูกสังหารในดาบเดียว ซูอี้ได้ปัดออกไปราวกับแมลงวัน ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
คนเฝ้าประตูชั้นแรกของขั้นศิลาทดสอบมักจะอ่อนแอที่สุด
ไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
หึ่ง!
คลื่นมหาวิถีแปลกประหลาดปรากฏออกมา
ก่อนร่างของซูอี้จะโผล่ขึ้นในขั้นศิลาทดสอบชั้นที่สอง
โลกแห่งนี้ยังคงกว้างใหญ่ไพศาลและมืดสลัว มีแท่นเต๋าอันโดดเดี่ยวตั้งอยู่ตรงกลาง
คนเฝ้าประตูยังคงเป็นชายสวมชุดเต๋า มีดาบโบราณอยู่บนหลัง และคาดแถบผ้าสีทองรอบเอวเหมือนเช่นเคย
…เพียงแต่กลิ่นอายจากร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
วูบ!
ซูอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลงปีนขึ้นไปบนแท่นเต๋า เขาเอื้อมมือคว้าดาบในอากาศที่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง ก่อนจะฟันออกไป
คนเฝ้าประตูเพิ่งดึงดาบโบราณออกมาร่างกายก็ระเบิดในทันที
“อ่อนแอเกินไป…” ซูอี้ส่ายหัว
เขตแดนแห่งนี้เป็นขอบเขตรวบรวมดาราขั้นต้น แต่เนื่องด้วยภูมิหลังและระดับวิชาดาบของเขา ทำให้คู่ต่อสู้ทั่วไปไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวกเลย
และในเวลาต่อมา ซูอี้ที่เริ่มเบื่อหน่ายก็ได้เบิกขยายเส้นทางแห่งการทำลายล้างนี้ออกไปอย่างไม่รู้จบ
ทุกครั้งที่ฟาดฟัน ต้องสังหารคนเฝ้าประตูด้วยดาบเพียงเล่มเดียว
ผ่อนคลายราวกับนั่งดื่มชาจิบสุรา
และเมื่อมองลงไปด้านล่างของขั้นศิลาทดสอบ…
เยว่ซือฉานและเหวินซินจ้าวเองก็ฝ่าฟันได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยสำหรับทั้งคู่ที่อยู่ในขอบเขตไล่เลี่ยกัน ย่อมสามารถจัดการคนเฝ้าประตูที่เจอในตอนแรกได้ในครั้งเดียวอยู่แล้ว!
ยามที่เยว่ซือฉานต่อสู้ นางทั้งเยือกเย็นทั้งเงียบงัน และไม่ขยับเขยื้อนสักนิด ทุกการเคลื่อนไหวรุนแรงดั่งสายฟ้า การฟันดาบที่ว่องไว เฉียบคม และเรียบง่าย
ส่วนเหวินซินจ้าวจะตรงกันข้ามกัน ยามสตรีงามผู้นี้ต่อสู้ นางจะระเบิดความตั้งใจอันน่าทึ่งออกมา ภาวะดาบราวกับปีศาจนั้นยอดเยี่ยมมาก และความงามของนางก็มาพร้อมกับจิตสังหารถึงชีวิต
สองรูปแบบการต่อสู้แสดงถึงสภาพจิตใจและอารมณ์ที่แตกต่างกัน
หากมองด้วยตาเปล่าจะเห็นว่าความเร็วของพวกนางเกือบถึงขั้นน่าทึ่ง และเห็นได้ชัดว่าหลังจากเริ่มการต่อสู้แล้ว พวกนางจะลอบแข่งกันอยู่เงียบ ๆ
กลับกันเป็นเก๋อเฉียนที่แสดงให้เห็นอย่างเต็มที่ถึงความหมายของการยืนหยัดและมั่นคง ทุกย่างก้าวเป็นไปอย่างระมัดระวัง
ทุกครั้งที่เข้าสู่ขั้นศิลาใหม่ อย่างแรกต้องดูเชิงคู่ต่ออย่างระมัดระวังเสียก่อน จนกว่าจะเข้าใจถึงพลังของอีกฝ่ายจึงค่อยใช้กำลังทั้งหมดทุบคนเฝ้าประตูในหมัดเดียว
นี่คือมหาวิถีของเก๋อเฉียน ซึ่งเหมาะกับสภาพจิตใจและอารมณ์ที่ยืนหยัดและมั่นคง เมื่อเทียบกันแล้วเขาจะไม่พบเหตุไม่คาดฝันหรือความเสี่ยงมากนัก
อย่างที่ซูอี้กล่าวไว้ในตอนแรก… มันไม่นับว่าแย่อะไร
ในขณะที่เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ กำลังฝ่าฟัน พวกเขาเห็นร่างของซูอี้ทะยานขึ้นไปด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง
ชั้นที่สิบ
ชั้นที่ยี่สิบ
ชั้นที่สามสิบ
…ช่วงเวลาสั้น ๆ เก๋อเฉียนก็ถูกทิ้งห่างไปไกล
เมื่อไปถึงขั้นศิลาทดสอบชั้นที่สามสิบห้า ซูอี้ได้แซงหน้าเหวินซินจ้าวและเยว่ซือฉาน มุ่งหน้าขึ้นไปชั้นที่สูงต่อไป
ขั้นศิลาทดสอบทอดยาวขึ้นสู่ยอดภูเขาพระสุเมรุ ซึ่งมีทั้งหมดร้อยแปดขั้น
ตั้งแต่ชั้นที่สี่สิบเก้า ขั้นศิลาทดสอบจะเป็นลุ่มน้ำ
ที่หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุเมื่อนานมาแล้วมีเพียงศิษย์สายในที่ขัดเกลาวิถีของตนอยู่ในระดับสูงสุดเท่านั้นจึงจะสามารถฝ่าฟันต่อไปได้
สิ่งที่ควรทราบคือเดิมทีหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุยังเป็นหนึ่งในสามสำนักผู้ฝึกปีศาจเมื่อสามหมื่นปีที่แล้ว และวิถีปราชญ์กลุ่มเต๋าระดับจักรพรรดิที่มีชื่อเสียงสมดังคำเล่าลือนั้นก็มีศิษย์สายในสำนักทุกคนเป็นผู้มีพรสวรรค์อันหาได้ยาก
เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนในมหาทวีปคังชิงตอนนี้ พวกเขาแข็งแกร่งกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย
บนขั้นศิลาชั้นที่เจ็ดสิบสี่ในตอนนี้
เฉินสิงกำลังพักผ่อน
บุคคลชั้นนำที่เป็นศิษย์รุ่นเยาว์ของวัดมหาจันทราผู้นี้เคยขึ้นไปถึงชั้นที่สี่สิบเก้าในอึดใจเดียว และแสดงให้เห็นถึงวิถีเต๋าอันแกร่งกล้า
แต่ก็เริ่มจากชั้นนี้เช่นกันที่คนเฝ้าประตูเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ทันให้ตั้งตัว
และความเร็วในการฝ่าฟันก็ยิ่งช้าลงด้วย
เมื่อขึ้นไปถึงชั้นที่เจ็ดสิบสี่ของขั้นศิลาทดสอบ เขาก็หมดแรงลงไปมาก ร่างกายและจิตใจต่างอ่อนล้า
โชคดีที่หากผ่านชั้นที่สี่สิบเก้าขึ้นมา ทุกครั้งที่ผ่าฟันขึ้นได้หนึ่งชั้นก็จะมีเวลาหนึ่งเค่อในการฟื้นฟูพลังและพักผ่อน
เฉินสิงในยามนี้กำลังใช้เวลานี้ในการพักฟื้นพละกำลัง
“ไม่คิดเลยว่าข้ากำลังจะตามหลังอยู่…”
ดวงตาของเฉินสิงมองขึ้นไปด้านบน จิตใจหมองคล้ำเล็กน้อย
คนที่อยู่บนขั้นศิลาทดสอบชั้นที่เจ็ดสิบเก้า เบื้องหน้าของเขาคือ เจียงหลีแห่งสำนักดาบเทียนชู
บนขั้นศิลาทดสอบชั้นที่แปดสิบ เบื้องหน้าของเจียงหลีคือ อวี่เหวินซู่
ถัดไปจากนั้นคือ หลี่หานเติงบนชั้นที่แปดสิบเก้า
ผู้ที่ทรงพลังที่สุดคือ เฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ และหลวงจีนเฉินลวี่
เฉิงผูอยู่บนชั้นที่เก้าสิบห้า
ส่วนฉือเจี่ยนซู่และหลวงจีนเฉินลวี่อยู่บนชั้นที่เก้าสิบสี่
พวกเขาทั้งสามทิ้งห่างคนอื่นไปไกล ด้วยภูมิหลังและวิถีเต๋าที่พวกเขาแสดงออกมานั้นเป็นระดับที่สูงที่สุดและโดดเด่นที่สุดสำหรับตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย!
สิ่งนี้จะไม่ทำให้เฉินสิงที่อยู่รั้งท้ายจิตใจไม่หมองมัวได้อย่างไร?
เช่นเดียวกับตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นที่มักจะมองไม่ออกเหมือนกัน แต่เมื่ออยู่บนขั้นศิลาทดสอบ แค่มองปราดเดียวก็ตัดสินได้ว่าใครแข็งแกร่งใครอ่อนแอ!
หืม?
สายตาของเฉินสิงเหลือบมองลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และอดไม่ได้ที่จะตกใจ
เขาเห็นซูอี้ เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉานและคนอื่น ๆ กำลังทะยานขึ้นมาด้านบนด้วย
ตอนนั้นเองที่เฉินสิงแสดงความสนอกสนใจออกมา
ด้วยวิถีเต๋าและความแข็งแกร่งของซูอี้แล้ว จะสามารถขึ้นมาถึงขั้นศิลาทดสอบได้กี่ชั้นในอึดใจเดียวกันนะ?
เขาจำฉากที่ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้นอย่างหวนเฉ่าโหยวฟาดฟันกับซูอี้เมื่อสองวันก่อนได้อยู่เลย จึงอดไม่ได้ที่จะตั้งตารอคอย
ขั้นศิลาทดสอบแห่งนี้เปรียบเสมือนไม้บรรทัดวัดความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนเขตแดนเดียวกัน!
และการใช้โอกาสนี้บางทีอาจรู้ได้ว่า ระดับความแข็งแกร่งของซูอี้ที่ตัวตนอยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นต้นไปถึงระดับใดแล้ว!
สำหรับเหวินซินจ้าวและเยว่ซือฉาน สตรีงามราวเทพธิดาที่ไม่มีใครเทียบได้ ไม่อยู่ในสายตาเฉินสิงสักนิด
ในฐานะชายผู้อุทิศตนเพื่อศาสนาอย่างเคร่งครัดเช่นเฉิงสิงแล้ว สตรีงามไม่มีอะไรมากไปกว่าสวยแต่รูปจูบไม่หอม ไม่ควรแก่การให้ค่าเลยสักนิด
นานมาแล้วในตอนที่เฉินสิงได้ไปสักการะที่วัดมหาจันทราเพื่อเข้าฝึกฝน เขาต้องเผชิญกับภัยหญิงงาม เพื่อดูว่าตัวเขาจะตกสู่บ่วงบาปแห่งราคะหรือไม่
ผลลัพธ์คือ…
เฉินสิงที่เผชิญหน้ากับภัยหญิงงามไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น
สิ่งที่แสดงออกมาอย่างโดดเด่นนี้ทำให้ศิษย์ของวัดมหาจันทราล้วนตกตะลึง แม้แต่ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็ยังรู้สึกทึ่ง เรียกได้ว่าเฉินสิงเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่หายากในรอบหลายพันปี
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีหรือที่เฉินสิงจะสนใจเหวินซินจ้าวและเยว่ซือฉานผู้งดงาม?
เทียบกันแล้วเขาสนใจในตัวซูอี้มากกว่า!
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
ทันใดนั้นรูม่านตาของเฉินสิงก็หดแคบ สีหน้าพลันเปลี่ยนไป
เขาเห็นซูอี้ในชุดสีเขียวพุ่งขึ้นมาในครรลองสายตา ร่างกายเกือบจะไม่หยุดนิ่ง อีกฝ่ายฝ่าคนเฝ้าประตูขึ้นมาที่ละขั้น ทะยานขึ้นมาข้างบนอย่างต่อเนื่อง!
และใกล้จะมาถึงชั้นที่สี่สิบเก้าด้วยความรวดเร็ว!
“เขา… ยังรักษาแรงกายเช่นนี้ได้อยู่สินะ?”
ดวงตาของเฉินสิงเป็นประกาย
ก่อนที่เขาจะได้สติ ก็เห็นร่างของซูอี้พรวดขึ้นไปบนขั้นศิลาชั้นที่ห้าสิบอย่างง่ายดายแล้ว และยังคงรักษาความเร็วก่อนหน้าของตัวเองเอาไว้ได้ด้วย ก่อนทะยานขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เห็นซูอี้ที่เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ เฉินสิงก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง
เขาจำได้ชัดเจนว่าเฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ และศิษย์พี่เฉินลวี่ผู้แข็งแกร่งก่อนหน้านี้นั้น ในตอนที่พวกเขาฝ่าฟันขึ้นมาถึงชั้นที่สี่สิบเก้าของขั้นศิลาทดสอบ ความรวดเร็วก็จะลดลง
แต่ความเร็วของซูอี้คงที่ตั้งแต่ต้นจนจบ รักษาแรงที่ใช้ไว้ได้ แล้วทะยานขึ้นมา!
วืด!
ขณะที่เฉินสิงตกอยู่ในภวังค์ ซูอี้ก็มาถึงขั้นศิลาทดสอบชั้นที่เจ็ดสิบสี่ที่เขาอยู่แล้ว ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป
“นี่มัน…”
เฉินสิงที่มองอยู่ก่อนหน้านี้และอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าถูกมองข้ามไป
ตอนนี้ เป็นคราวที่ซูอี้ที่ทิ้งเขาไว้ด้านหลัง… เฉินสิงทำได้เพียงแหงนคอขึ้นมอง มองเบื้องหลังกว้างของซูอี้ที่ทิ้งไปไม่เห็นฝุ่น และห่างออกไปเรื่อย ๆ
ตามด้วย…
เจียงหลีที่อยู่บนชั้นที่แปดสิบถูกซูอี้แซงหน้า
อวี่เหวินซู่บนชั้นที่แปดสิบสองถูกซูอี้แซงหน้า
ชั้นที่เก้าสิบ
หลี่หานเติงที่เพิ่งมาถึงตัดสินใจหยุดพัก เขาหมดแรงและไปต่อไม่ไหว
ทันใดนั้นเพียงชั่วพริบตา
เขาก็เห็นร่างร่างหนึ่งทะยานผ่านไป พุ่งขึ้นไปยังชั้นที่เก้าสิบเอ็ด!
“ซูอี้?!”
หลี่หานเติงประหลาดใจ “ผู้ชายคนนี้มาเมื่อไรกัน?”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพบว่าซูอี้ที่เพิ่งมาถึงชั้นที่เก้าสิบเอ็ด ได้ปรากฏตัวขึ้นบนชั้นที่เก้าสิบสองแล้ว!
หลังจากนั้น เขาและเฉินสิงก็มองดูร่างของซูอี้ที่ไม่หยุดเดินหน้าอย่างเงียบ ๆ และสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนจากประหลาดใจเป็นตกตะลึง ตกใจ และตกอยู่ในภวังค์
เมื่อมองซูอี้ที่ผ่านเฉินลวี่ ฉือเจี่ยนซู่ และเฉิงผูตามลำดับ เฉิงสิงตกตะลึงโดยสมบูรณ์ และจิตใจอันสงบที่แข็งแกร่งดุจหินผาของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย
ชายผู้นี้… บ้าเกินไปหรือไม่?
สีหน้าของหลี่หานเติงเรียบนิ่งราวกับรูปปั้นดินเหนียว
เขารู้อยู่แล้วว่ายิ่งชั้นของขั้นศิลาทดสอบสูงมากเท่าไร พละกำลังของคนเฝ้าประตูก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะชั้นที่เก้าสิบขึ้นไป ความแข็งแกร่งที่ผู้เข้ารับการทดสอบเผชิญไม่ต่างอะไรไปจากผู้เก่งกล้าซึ่งมีขั้นพลังอยู่ในขอบเขตเดียวกันเลย!
แต่ตอนนี้ซูอี้ดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงความกดดันใด ๆ ตลอดทางสักนิด!
จนกระทั่งร่างของซูอี้ฝ่าฟันไปถึงขั้นศิลาหินชั้นที่ร้อยแปดด้วยความเร็วคงที่
เฉินสิงและหลี่หานเติงเงียบนิ่ง ภายในใจมีพายุไม่สามารถสงบลงอยู่นานสองนาน
“สำหรับข้าแล้ว ขั้นศิลาทดสอบแห่งนี้ทั้งยากทั้งอันตราย และความท้าทายที่ขึ้นไปเผชิญก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่สำหรับเขาแล้วมันไม่ต่างไปจากการเดินในสวนเลย…”
ดวงตาของเฉินสิงหลุบต่ำ
“สามหมื่นปีก่อน ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิที่ขัดเกลาขั้นศิลาทดสอบแห่งนี้ขึ้นมาในหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ คงนึกไม่ถึงว่ายังมีคนขอบเขตรวบรวมดาราที่ทรงพลังอย่างซูอี้อยู่บนโลก…”
หลี่หานเติงรู้สึกผิดหวังอยู่ลึก ๆ
เขาไม่กลัวหากการฝึกฝนแสวงวิถีจะเกิดช่องว่าง เพราะยังสามารถชดเชยได้
แต่ที่น่ากลัวคือ ไม่รู้ว่าช่องว่างนั้นห่างมากเพียงใด!
แล้วจะชดเชยได้อย่างไร?
ไกลเกินเอื้อม เป็นไปไม่ได้เลย!
เหนือขั้นศิลาทดลองชั้นที่ร้อยแปดขึ้นไปคือยอดเขาพระสุเมรุ
ซูอี้ยืนอยู่ตรงนั้น ลมหายใจไม่ขาดห้วง และไม่มีร่องรอยของความเหนื่อยล้า
ขั้นศิลาร้อยแปดชั้น เขาฟันคนเฝ้าประตูร้อยแปดคนด้วยร้อยแปดดาบ
แม้แต่คนเฝ้าประตูที่ทรงพลังที่สุดของชั้นสุดท้ายก็ไม่สามารถหยุดดาบของเขาได้
ความสำเร็จในการต่อสู้เช่นนี้ แม้เป็นหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุเมื่อสามหมื่นปีที่แล้ว มันก็พอที่จะทำให้ผู้คนตื่นตะลึง!
มีร่องรอยความโดดเดี่ยวบนหว่างคิ้วของซูอี้
ขอบเขตรวบรวมดาราขั้นต้นของคนเฝ้าประตูบนขั้นศิลาทดสอบแห่งนี้ ยังอ่อนแอเกินไป
แม้แต่ผู้ที่ทรงพลังที่สุด ก็ยังแค่เทียบเท่ากับศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงที่อยู่ในกลุ่มเต๋าชั้นนำของเก้ามหาแดนดินเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์หายากที่เวลาหนึ่งพันปีจะพบสักคน
น่าเสียดาย สำหรับซูอี้ที่ข้ามผ่านขอบเขตรวบรวมดาราขั้นต้น และรวบรวมดาราดาราปฐมญาณได้เก้าหมื่นดวงแล้ว ฝ่ายตรงข้ามจึงไม่ใช่ศัตรูของดาบเขาเลย!
หืม?
ขณะที่ซูอี้กำลังรำลึกถึงประสบการณ์ในการฝ่าฟันครั้งก่อนของตน ภายในใจเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา จากนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือขึ้น
เลือดสีทองที่ถูกกักขังอยู่นั้นพลันโผล่ออกมาเงียบ ๆ