บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 57 ความผิดพลาดของข้า
ตอนที่ 57 ความผิดพลาดของข้า
ขณะซูอี้เข้ามาในลานบ้าน ชิงหว่านที่อยู่ในชุดสีแดงโลหิตลอยออกมาจากห้องพร้อมกล่าวคำ
“นายท่าน คืนนี้ตอนที่ท่านไม่อยู่ มีคนจำนวนมากซ่อนตัวอยู่นอกบ้าน พวกนั้นถืออาวุธครบมือ ทั้งตัวมีแต่รังสีอำมหิตที่น่ากลัวไม่ใช่น้อย”
ใบหน้าเล็กเรียวงามของนางมีแววความหวาดผวาคงอยู่ ทั้งยังดูกระวนกระวาย เห็นได้ชัดว่ากำลังรู้สึกหวาดกลัว
“พวกมันไปไหนแล้ว?” ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย
“เอ่อ… ข้าก็ไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จู่ ๆ พวกเขาก็ถอนตัวไป” ชิงหว่านแลบลิ้น กล่าวตอบอย่างอารมณ์ดี
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยคำ “ตามข้าไปที่ห้องก่อนแล้วเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียด” พูดจบเขาเดินมุ่งตรงไป
“อา ทราบแล้ว” ชิงหว่านรีบตามเขาไป
ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบ แต่เมื่อซูอี้กลับมาที่บ้านแล้ว นางราวกับพบที่พึ่ง ทั้งยังรู้สึกสบายใจ
แม้การเผชิญหน้ากับซูอี้จะยังคงทำให้นางอึดอัดอยู่เล็กน้อย แต่อย่างน้อย ๆ ตอนนี้นางก็ไม่ได้กลัวเขาเหมือนเฉกเช่นในวันแรก ๆ
แสงตะเกียงสว่างขึ้นในห้อง ขจัดความมืดออกไป และให้ความอบอุ่น
ชิงหว่านยืนกระมิดกระเมี้ยนในที่ว่างไม่ไกลจากซูอี้ บนเท้าสองข้างที่ขาวราวกับหิมะ นิ้วเท้าที่ใสเรียวยาวเรียงชิดกันเป็นระยะ
“เหตุใดเจ้าดูประหม่า?”
พบเห็นนางในสภาพนี้ ซูอี้จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ชิงหว่านส่ายศีรษะกล่าวตอบ “นายท่าน หว่านเอ๋อร์หาได้ประหม่าไม่…”
“เจ้ากำลังโกหก”
ซูอี้นั่งบนเก้าอี้ ก่อนจะละสายตาจากเท้าขาวดุจหยก และมองใบหน้างามของนาง ก่อนจะกล่าวว่า
“เวลาเจ้าประหม่า นิ้วเท้าของเจ้าจะชอบขยับ ขนตาของเจ้าจะสั่นเล็กน้อย หูของเจ้าจะเปลี่ยนเป็นสีแดง มือและสิบนิ้วของเจ้าจะเรียงติดกัน และถูชายเสื้อของตัวเองแบบไม่รู้ตัว”
ชิงหว่านตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อและร้อนผ่าว มีความรู้สึกราวกับถูกมองผ่านความลับทั้งในและนอกกาย ไม่มีอะไรที่อาจเก็บซ่อน
นางรู้สึกประหม่ายิ่งกว่าเดิม จนใบหูขาวใสกลายเป็นสีแดงอยู่ใต้ปลายผมนั้น
“ขลาดเขลา เขินอาย และประหม่าแบบนี้… อู๋รั่วชิวไปหาวิญญาณสาวน้อยคนนี้มาจากไหนกัน?”
ซูอี้อดขมวดคิ้วไม่ได้
แต่หลังจากไม่อาจเดาหาเหตุผลได้ เขาจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา “บอกเรื่องของพวกที่ซ่อนตัวมาให้ข้าฟัง”
ชิงหว่านถอนหายใจอย่างโล่งอก นางครุ่นคิด “ขณะนั้นหว่านเอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่ในต้นแคฝรั่ง จึงพอได้ยินที่พวกนั้นคุยกันด้วย”
เสียงของนางนุ่มนวล อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้
หลังรับฟัง ซูอี้เลิกคิ้ว ก่อนใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบา สายตาจ้องแสงเทียนด้วยอาการครุ่นคิด
ตามที่นางกล่าวมา เห็นชัดว่าคนที่แอบซ่อนอยู่นั้น เป็นคนจากตระกูลหลี่!
ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านั้นที่มาถูกนำโดยหลี่โม่อวิ๋น แผนของอีกฝ่ายคือยามเมื่อเขากลับจากงานประลองประตูมังกรมาที่นี่ เมื่อนั้นคือเวลาสังหาร
แต่แล้ว ก่อนที่เขาจะกลับมาถึงไม่นาน เหตุการณ์กลับพลิกผันยิ่งยวด
คนรับใช้เฒ่าชราผู้หนึ่งเร่งร้อนมา และกล่าวบอกกลุ่มผู้ซ่อนว่ามีการเปลี่ยนแผนการ ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป
ประเด็นที่ทำให้ซูอี้งุนงงที่สุดคือตนกับหลี่โม่อวิ๋นหาได้เคยมีเรื่องข้องใจหรือเป็นศัตรูต่อกันมาก่อน แล้วเหตุใดอีกฝ่ายจึงต้องหาทางจัดการตัวเขา?
“หรือจะเกี่ยวข้องกับเหวินหลิงเจา?”
ซูอี้นึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในงานเลี้ยงวันเกิดของนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวิน
ครั้งนั้นหลี่โม่อวิ๋นพูดชัดเจน โดยหวังให้ตระกูลเหวินยุติการแต่งงานระหว่างเขาและเหวินหลิงเจา
“น่าจะเป็นเช่นนั้น หวงเฉียนจวินเคยเล่าว่า หลี่โม่อวิ๋นหลงรักเหวินหลิงเจามาตั้งแต่ยังเยาว์ ทั้งยังพูดกล่าวหลายครั้ง ว่าในชีวิตนี้จะไม่แต่งงานกับผู้ใดเว้นเป็นเหวินหลิงเจา”
“สรุปได้ว่า มันตั้งใจดับชีวิตข้า เพื่อให้ตัวมันได้มีโอกาสเป็นแน่แท้”
เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูอี้ก็อดถอนหายใจไม่ได้
ภรรยาของตนเองผู้นี้ ช่างนำปัญหาหลากหลายมาสู่ตน
ตอนแรกก็เป็นเว่ยเจิงหยาง จากนั้นก็เป็นหลี่โม่อวิ๋น
แล้วยิ่งตอนนี้นางร่ำเรียนฝึกฝนอยู่ที่ตำหนักเทียนหยวน แถมยังเป็นศิษย์ยอดยุทธ์ นางคงจะยิ่งดึงดูดฝูงผึ้งฝูงแมลงนับไม่ถ้วนให้เข้ามาเกาะติด
“นายท่าน ท่าน…ท่านคิดทำสิ่งใด?” ชิงหว่านถามอย่างใคร่รู้
ซูอี้ตอบตามปกติ “ต่อให้ข้าสังหารพวกมันตายหมดสิ้น ก็คงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด หากจะแก้ปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุ หลังจากนี้ ข้าตั้งใจที่จะยุติสถานะแต่งงาน มีเพียงวิธีนี้ที่สามารถลงมือหนึ่งครั้งแล้วยุติเรื่องทั้งหมดได้”
ชิงหว่านกล่าวอย่างเรียบเฉย “นายท่าน ท่านจะหย่ากับภรรยาท่านงั้นหรือ?”
“เหตุใดจึงไม่? ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าเลือดเย็นงั้นหรือ?” ซูอี้ถามกลับ
“บ่าวมิกล้า” ชิงหว่านรีบส่ายศีรษะ
ซูอี้เอนตัวลงเก้าอี้ด้วยความเกียจคร้าน ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะก่อนจะเอ่ยคำ “ช่างเถอะ วันนี้เป็นวันเกิดของข้า อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องราวน่าขัดหูเลย”
เขายกเหยือกสุราบนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะดื่มจากปากเหยือกโดยตรง
ชิงหว่านพูดอย่างอึกอัก “นายท่าน วันนี้ไม่มีผู้ใดฉลองวันเกิดให้ท่านเลยหรือ?”
ซูอี้ส่ายหน้า “ข้าไม่เคยชอบเรื่องเช่นนั้น”
ชิงหว่านดูมีความกล้าขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออก “ถ้าอย่างนั้น… หว่านเอ๋อร์ขอทราบได้หรือไม่ ว่าวันเกิดครั้งนี้ท่านอายุเท่าใด?”
ซูอี้ตอบตามปกติ “รวมแล้วคงหนึ่งแสนแปดพันสิบเจ็ดปี แต่ถ้านับแค่ชีวิตนี้ เจ้าถือว่าข้าอายุแค่สิบเจ็ดก็ได้”
ชิงหว่านงุนงง และสับสนเล็กน้อย
แต่นางก็ไม่ได้ถามเพิ่มเติม แต่เลือกเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรวบรวมความกล้าและกล่าวออก “นายท่าน หว่านเอ๋อร์… หว่านเอ๋อร์ขอร้องเพลงให้ท่านได้หรือไม่?”
ซูอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ตามใจเจ้า”
ใต้แสงไฟนั้น หว่านเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก จัดกระโปรงสีเลือดของตัวเองให้เรียบร้อยอย่างเบามือ ริมฝีปากชมพูเอื้อนออกอย่างนุ่มนวล ก่อนเสียงร้องอันไพเราะจะดังขึ้นในห้อง
“อายุของนายท่าน เปรียบดังความยั่งยืนจันทรา ประหนึ่งตะวันฉายแสง ดุจขุนเขาหนานอันยิ่งใหญ่ไร้พ่าย เป็นดังต้นสนตระหง่านงามงดยามเติบโต…”
เสียงร้องทุ้มต่ำ มีสัมผัสจังหวะราวกับตาน้ำที่ผุดไหลอยู่ในหุบเขาเงียบสงบ
ซูอี้ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ไม่ช้ารอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงมุมของริมฝีปาก
มันคือเพลงอวยพรวันเกิดแบบโบราณ เห็นชัดถึงความใส่ใจของหญิงสาว
เขาดื่มสุรา พลางรับฟังเพลง และนั่งเอื่อยเฉื่อยไปด้วย
ภายนอกหน้าต่าง กลางคืนมืดมิด ดวงดาวพร่างพราย
ในค่ำคืนเช่นนี้ นอกจากเสียงร้องที่ไพเราะงดงามของชิงหว่านแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
…
ในคืนเดียวกัน
ตระกูลหลี่
หลี่โม่อวิ๋นกำด้ามดาบแน่น ใบหน้าหล่อเหลาแต่เดิมนั้นกลายเป็นบิดเบี้ยวและหมองหม่น
เขาควบคุมความโกรธและความไม่พอใจอย่างหนัก กัดฟันจนแทบแตกออกเป็นเสี่ยง
คืนนี้เป็นช่วงเวลาดีที่สุดในการสังหาร เขาได้จัดแจงทุกอย่างไว้เสร็จสรรพแล้ว ซึ่งถ้าวันนี้แผนการลุล่วงไปได้ตามที่คิดหมาย เขาจะออกจากเมืองทันที และไปยังตำหนักเทียนหยวนเพื่อตามหาเหวินหลิงเจา
เขายังทำแม้กระทั่งเตรียมของขวัญอย่างดีให้กับเหวินหลิงเจาไว้แล้ว
แต่ผู้ใดกันนึกคิด ว่าแผนการทั้งหมดจะพังทลายในนาทีสุดท้าย และสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง!
ข้างกายเขา คนรับใช้เฒ่าชรากระซิบเบา “นายน้อย นายท่านกล่าวบอก ท่านควรจะรีบออกจากเมืองไปในคืนนี้ และหากไม่มีคำสั่ง ท่านจะต้องไม่กลับมายังเมืองกว่างหลิงในอนาคตอันใกล้”
หลี่โม่อวิ๋นไม่อาจควบคุมความโกรธ กระทั่งคำรามเสียงต่ำ “ต่อให้เศษเดนมนุษย์นั่นฟื้นคืนการบ่มเพาะ เอาชนะโม่เทียนหลิงแล้วอย่างไร? เพราะอะไรบิดาข้าจึงขับไล่ไสส่งตัวข้าไปให้พ้นเช่นนี้???”
ในใจเขาเกิดรู้สึกเจ็บปวดรุนแรง
เรื่องที่เกิดยังงานประตูมังกรในค่ำคืนนี้ เขาทราบทั้งหมดแล้ว ซึ่งมันยังเป็นเหตุให้แผนการทั้งหมดของเขาถูกยกเลิก
คนรับใช้เฒ่าชราอธิบายด้วยเสียงเบา “นายน้อย เรื่องที่นายท่านห่วงไม่ใช่เรื่องของซูอี้ ฟู่ซาน หวงอวิ๋นชง เนี่ยเป่ยหู่หรือผู้อื่น แต่นายท่านกังวลเรื่องที่ท่านจะทำอะไรผิดพลาดเพราะโทสะต่างหาก”
หยุดไปครู่หนึ่ง เขากล่าวคำต่อ “สำหรับแผนการสังหารซูอี้ ท่านคงต้องรอต่อไปอีกสักเล็กน้อย นายท่านกล่าวบอกว่ายังมีความลับบางประการของซูอี้ที่ยังไม่ทราบ ความลับนี้สำคัญมากไม่เช่นนั้นเจ้าเมืองฟู่ซานและผู้อื่นคงไม่ให้ความสำคัญกับซูอี้ขนาดนั้น ก่อนที่เราจะรู้ความลับนี้เราจะยังเคลื่อนไหวไม่ได้”
“หากไม่สืบหาความลับนี้รู้แจ้ง มันอาจนำภัยที่มองไม่เห็นมาสู่ตระกูลหลี่ของเราอย่างไม่คาดฝัน”
ร่างของหลี่โม่อวิ๋นแข็งทื่อไปครู่หนึ่ง ลมหายใจค่อยสูดเข้าลึกและกล่าวคำ “ข้าเข้าใจแล้ว ไปบอกท่านพ่อด้วย ข้าจะกลับไปที่เมืองหลวงของเขตปกครองอวิ๋นเหอ!”
สิ้นคำ เขาหันหลังเดินจากไป
“พวกเจ้าไปตามคุ้มกันนายน้อย อย่าชักช้าเป็นอันขาด และต้องไปถึงจุดหมายโดยเร็วที่สุด เข้าใจหรือไม่?”
คนรับใช้เฒ่าชราติดตาม และออกคำสั่งผู้คุ้มกันที่คอยอยู่ด้านนอก
“ขอรับ!” กลุ่มผู้คุ้มกันขานรับเสียงดัง
พบเห็นเช่นนี้ หลี่โม่อวิ๋นแอบถอนหายใจ เพราะทราบว่าบิดากำลังห่วงเรื่องตนเอง ห่วงว่าเขาจะทำอะไรลับหลัง และลอบกลับมาเข้าเมืองเพื่อจัดการซูอี้
หลังจากเขาขี่ม้าออกมานอกเมืองกว่างหลิง เขาหันกลับมองประตูเมืองสูงด้วยสายตาที่อาฆาต
“ซูอี้ เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”
ท่ามกลางความมืดมิด เขาและกลุ่มผู้คุ้มกันควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว
…
ตำหนักเทียนหยวน
ด้านหน้าตำหนักที่อยู่บนยอดเขาเขียวขจีนั้นมีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติอยู่แห่งหนึ่ง
กลางคืนมืดมิด และดวงดาวกระจัดกระจายเต็มผืนฟ้า
ร่างงามสองร่างกำลังแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน เผยให้เห็นเพียงต้นคอขาวราวหิมะและใบหน้าที่งดงาม
เหวินหลิงเสวี่ยนั่งเหยียดขาเรียวขาวดั่งหยกหิมะอย่างสบายกายใต้น้ำ เท้าเรียวยาวแกว่งเล่นในน้ำอุ่นเชื่องช้า ใบหน้าสดใสแสดงถึงความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย
“ท่านพี่ จดหมายที่พี่เขยส่งมาให้ท่านนี้มันเขียนอะไรไว้กันแน่?”
เหวินหลิงเสวี่ยยกข้อมือขึ้นเช็ดหยดน้ำบนหน้าผาก ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงดังชัดเจน
ด้านข้างนั้น เหวินหลิงเจามวยผมไว้สูง ผิวราวกับหยกน้ำแข็ง ใบหน้าเยือกเย็นมีความงามราวกับฝันในสายหมอก
“พูดถึงเขาเพื่ออะไร?”
นางขมวดคิ้ว แม้จะอยู่ข้างน้องสาว แต่ทั้งสีหน้า รูปลักษณ์ และอารมณ์ของนางยังเย็นชา ดูโดดเดี่ยวประหนึ่งยอดเขาน้ำแข็งที่ไม่มีใครสามารถปีนถึง
หลังจากได้ยินคำพูดของน้องสาว เหวินหลิงเจาอดนึกถึงจดหมายที่น้องสาวนางมอบให้เมื่อไม่กี่วันก่อนไม่ได้
ในนั้นมีเพียงหนึ่งประโยค
‘หวังว่าเจ้าจะสามารถยุติการแต่งงานระหว่างเจ้ากับข้าได้โดยเร็วที่สุด เพื่อความสุขของเราทั้งสอง’
ตอนที่นางเห็นครั้งแรก นางตะลึงไปครู่หนึ่ง และไม่ทราบว่าซูอี้พูดออกมาจากใจจริง หรือแค่เขียนขึ้นมาเพื่อประชดตนเอง
อันที่จริง ที่ผ่านมานางเองก็ผลักดันตัวเองให้ฝึกฝนหนักหนากว่าคนทั่วไปหลายเท่า เพราะนางต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นให้มากที่สุดเพื่อให้นางสามารถควบคุมชะตาของตัวเองได้อย่างแท้จริง ซึ่งนางจะได้ไม่ถูกผูกมัดด้วยงานแต่งครั้งนี้อีก!
แต่นางหาได้คาดคิดไม่ว่า ซูอี้ที่นางเมินเฉยและปฏิบัติราวคนแปลกหน้ามาตลอดนั้น จะเดาความคิดนางออกได้เช่นกัน
แต่เหตุใดประโยคท้ายของจดหมายถึงเขียนมาเช่นนั้น
สิ่งใดคือความสุขของเราทั้งสอง?
นี่มันคล้ายกับการประชดประชัน!
ดังนั้นช่วงนี้เหวินหลิงเจาจึงเอาแต่นึกถึงเรื่องจดหมาย และมีความอึดอัดที่ไม่อาจพูดได้อยู่ในใจ
ยามเมื่อสงบใจลง เหวินหลิงเจามองไปที่น้องสาวและกล่าวคำ “ข้าบอกท่านพ่อกับท่านแม่แล้วว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องกลับเมืองกว่างหลิงไปพร้อมกับพวกเขาในตอนนี้ เจ้าสามารถอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝนได้”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง นางเกิดครุ่นคิด “หลังจากที่ได้เป็นศิษย์ยอดยุทธ์อย่างเป็นทางการแล้ว ข้าจะคิดหาทางให้เจ้าเข้าตำหนักเทียนหยวน ด้วยวิธีนี้พวกเราพี่น้องจะได้อยู่ด้วยกันอีกนาน และข้าก็จะดูแลเจ้าตลอดเวลาได้”
ในส่วนท้ายนั้น น้ำเสียงของนางแฝงด้วยความอบอุ่นซึ่งเกิดขึ้นได้ยาก
“ท่านพี่ ข้า… ขอปฏิเสธได้หรือไม่?”
อีกฝั่งหนึ่ง เหวินหลิงเสวี่ยกะพริบตาใส และกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าซึม
นางไม่อยากอาศัยอยู่แบบนี้
“ไม่ได้”
เหวินหลิงเจามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน “ในตอนนั้น ข้าโชคร้ายที่ถูกบังคับให้แต่งงานกับชายแปลกหน้าที่ไม่ได้รู้จักกันแม้แต่น้อย หลิงเสวี่ย ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าซ้ำรอยความผิดพลาดของข้าอีก!”
ในน้ำเสียงเย็นชา มันแฝงร่องรอยแห่งความขมขื่นและความเกลียดชัง