บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 570 หยวนหมอเทียนราชันย์ปีศาจพระสุเมรุ
ตอนที่ 570: หยวนหมอเทียนราชันย์ปีศาจพระสุเมรุ
ตอนที่ 570: หยวนหมอเทียนราชันย์ปีศาจพระสุเมรุ
บนยอดเขาพระสุเมรุ
จากตรงนี้จะเห็นหมอกสีเลือดที่ลอยอยู่ใต้ท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน รวมถึงเศษซากดวงดารานับไม่ถ้วนที่ล่องลอยอยู่ในหมอกเงียบ ๆ ด้วย
เดิมทีมันเป็นสถานที่สำคัญของหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ ซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างอย่างพระราชวัง จวน สนามประลองอันงดงามตระการตาอีกมากมาย
ทว่าในตอนนี้พวกมันได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปหมดแล้ว!
เมื่อมองไปก็จะเห็นกำแพงที่พังทลาย เศษหินเศษอิฐกระจัดกระจายกองเป็นพะเนินแสดงถึงความรกร้าง
ซูอี้สัมผัสได้ถึงลมปราณของเลือดสีทองในฝ่ามือ ก่อนจะมองเข้าไปในส่วนลึกของซากปรักหักพัง
เขามุ่งหน้าทันที
ในส่วนลึกของซากปรักหักพังมีแท่นบูชาที่ทรุดตัวอยู่
ด้านล่างของแท่นบูชามีปากทางเข้าถ้ำ และมีบันไดหินอันคดเคี้ยวลงไปข้างใต้ มองไม่เห็นปลายทางเลยสักนิด
เมื่อซูอี้เข้าใกล้ปากทาง ฉับพลันก็รู้สึกถึงลมปราณเย็นเยือกปะทะใบหน้า แล้วเขาก็หยุดชะงัก
ช่างเป็นปราณหยินวิญญาณเหมันต์ที่น่าอัศจรรย์จริง ๆ!
เป็นไปได้หรือไม่ว่าลึกลงไปในถ้ำแห่งนี้ยังมีชีพจรวิญญาณหยินซ่อนอยู่?
ในขณะที่คิด จิตสัมผัสของซูอี้ก็พุ่งไปตามส่วนลึกของเส้นทาง
สิบจั้ง
ร้อยจั้ง
พันจั้ง
…ในตอนที่จิตสัมผัสสำรวจลึกลงไปจนถึงสามพันจั้งก็ถึงขีดจำกัดของซูอี้แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถลงไปยังก้นถ้ำได้อยู่ดี
กลับกันในตอนที่จิตสัมผัสกำลังดำดิ่ง กลับสัมผัสได้ถึงปราณหยินในถ้ำแห่งนี้ว่าแข็งแกร่งนัก ราวกับในอากาศมีหมอกสีฟ้าล่องลอยอยู่
วืด!
ซูอี้หยุดใช้จิตสัมผัส ขมวดเรียวคิ้วเล็กน้อย
สถานที่แห่งนี้ไม่ธรรมดายิ่ง!
เขามองไปยังแท่นบูชาที่ทรุดตัวอยู่ข้างถ้ำ
แท่นบูชาเดิมมีความสูงเก้าจั้งแต่ตอนนี้ถูกฟันออกเป็นหลายส่วน พังทลายอยู่บนซากปรักหักพัง
หากมองใกล้ ๆ พื้นผิวของมันถูกแกะสลักเป็นลวดลายวิญญาณปีศาจที่คล้ายคลึงกับของจริง มีโฮ่ว*[1] ที่กลืนกินตะวันและจันทรา เท้าเหยียบบนภาที่พร่าวพราวไปด้วยหมู่ดาว มีนกสีชาดที่กระพือปีกและบินโฉบ มีตัวกินมดแบกภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไว้บนหลัง
เสาแต่ละต้นแสดงบรรยากาศดุดัน ราวกับกำลังบอกเล่าถึงพลังอันน่าสะพรึงของสัตว์ร้ายเหล่านั้นเมื่อยามรุ่งโรจน์
ด้านบนของแท่นบูชาสลักคนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมเต๋ายืนเพียงลำพัง
ร่างนี้สวมชุดเต๋า มีดาบโบราณอยู่บนหลัง และคาดแถบผ้าสีทองรอบเอว นั่งขัดสมาธิบนเมฆมงคล
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซูอี้ก็จำได้ทันทีว่าหลังจากที่ฝ่าฟันขั้นศิลาทดสอบก่อนหน้านี้ขึ้นมา ภาพของคนเฝ้าประตูที่พบนั้นเหมือนกับรูปนี้ทุกประการ
ทว่าการปรากฏตัวของคนเฝ้าประตูในยามนั้นพร่าเลือน จึงทำให้มองไม่ชัด
ทว่ายามนี้ เขากลับเห็นมันอย่างชัดเจน!
อีกฝ่ายมีใบหน้าแบบวานร!
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือคนผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นปีศาจวานร
เมื่อเห็นมันซูอี้ก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ในตอนที่มาเกาะเซียนพระสุเมรุ เขาเคยได้ยินเวิงจิ่วพูดว่ายอดฝีมือที่เปิดสำนักแห่งนี้ขึ้น มีนามว่า หยวนหมอเทียน เป็นราชันย์ปีศาจพระสุเมรุและยังเป็นปีศาจขอบเขตจักรพรรดิในตำนานด้วย
หยวนหมอเทียนเป็นวานรเก้าทวาร ที่เกิดมาพร้อมกับความฉลาดหลักแหลมและร่างกายที่มีปราณเต๋าปฐมสวรรค์ เขาฝึกฝนอยู่ในสามสำนักอย่างสำนักพุทธ สำนักมหาอสูร และสำนักขงจื่อ
ใช้เวลาเพียงแปดร้อยปีก็ได้รวบรวมเคล็ดพลังมหาวิถีของสามสำนักใหญ่ให้สอดคล้องกับเส้นทางเต๋าของตนได้ และรู้แจ้งในขอบเขตจักรพรรดิ ตั้งแต่นั้นมาก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลก
ต่อมาหยวนหมอเทียนก็รวบรวมปีศาจนับหมื่น ยึดเกาะเซียนพระสุเมรุและสร้างวิถีปราชญ์กลุ่มเต๋าของตัวเองบนภูเขาพระสุเมรุ นั่นก็คือหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุซึ่งหนึ่งในสามสำนักผู้ฝึกปีศาจในสายตาคนรุ่นหลังนั่นเอง
ข่าวลือว่าหยวนหมอเทียนเคยมีโอกาสได้ขัดเกลาดาบเต๋าที่มีชื่อว่า ‘ขจีบริสุทธิ์’ แล้วแบกไว้บนหลังตลอดเวลา ว่ากันว่ามันทรงพลังดั่งรุ้งที่สามารถผ่าผืนฟ้าได้
จึงได้ชื่อว่า ‘ขจีบริสุทธิ์’!
หยวนหมอเทียน คือราชันย์ปีศาจรุ่นแรกที่ห้อย ‘ดาบขจีบริสุทธิ์’ เล่มนี้ และเมื่อนานมาแล้วเขาก็เป็นถึงอันดับหนึ่งในวิถีดาบ เป็นนักดาบขอบเขตจักรพรรดิผู้มากไปด้วยชื่อเสียง!
‘คัมภีร์ดาบเก้าโคจรแห่งพระสุเมรุ’ ที่เขาสร้างขึ้นก็เป็นคัมภีร์วิชาดาบที่แท้จริงซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก
“น่าจะชายผู้นี้ไม่ผิดแน่”
ซูอี้จ้องไปที่ร่างในชุดเต๋าที่อยู่บนลวดลายของเสา และแน่ใจว่านี่คือหยวนหมอเทียนราชันย์ปีศาจพระสุเมรุ ผู้ก่อตั้งหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุหนึ่งในสามสำนักปีศาจ!
“เป็นปีศาจปฐมสวรรค์ ทั้งยังสืบทอดวิถีเต๋า วิถีปีศาจ และวิถีขงจื่อ รวมถึงเดินอยู่บนเส้นทางวิชาดาบ ช่างเป็นชายที่น่าสนใจเสียจริง”
ซูอี้กล่าวเงียบ ๆ
สำนักเต๋าแต่ละแห่งล้วนมีมรดกสูงสุดเป็นของตัวเอง
สำนักที่อยู่แนวหน้าอย่างพุทธ มาร เต๋า ขงจื่อ ปีศาจ และภูตผีต่างก็มีการสืบทอดและเส้นทางการฝึกฝนอันยาวนานเป็นของตนเอง รวมถึงมีอิทธิพลอย่างล้ำลึกในโลกวิชาดาบด้วย
หยวนหมอเทียนในตอนนั้นสามารถผสานทั้งสามวิถีเข้ากับวิถีปีศาจ และในที่สุดก็รวมเข้าเป็นวิชาดาบของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าใครต่างก็จินตนาการได้ว่าสติปัญญาและความกล้าหาญของเขาช่างวิเศษนัก
หากอยู่ในเก้ามหาแดนดิน ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในขอบเขตจักรพรรดิ
ในเวลาเดียวกันซูอี้ก็ยังเห็นภาพบนเสาที่จารึกไว้บนแท่นบูชา ว่าหยวนหมอเทียนทะเยอทะยานมาก
เขาสลักตนเองไว้สูงล้ำ เหนือยิ่งกว่านกสีชาด โฮ่ว หรือแม้แต่ตัวกินมดนั่น! ยังไม่นับรวมถึงลูกศิษย์ลูกหา และปีศาจภายใต้การควบคุมอีกนับหมื่นตน!
“น่าเสียดายนัก แล้วความทะเยอทะยานที่แสนยิ่งใหญ่นั่นเล่า? การจองจำแห่งยุคมืดทำให้หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุทลายหายไปกับแม่น้ำแห่งกาลเวลา แม้กระทั่งที่แห่งนี้ก็ยังกลายเป็นซากปรักหักพัง จวบจนตอนนี้… หยวนหมอเทียนเอ๋ย นามของเจ้าถูกผู้คนบนโลกนี้จดจำได้ไม่มากแล้ว…”
ซูอี้ส่ายหัว
วันเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
การจองจำแห่งยุคมืดที่กินเวลานานถึงสามหมื่นปี ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกสิ่งในอดีตสูญหายไป!!
ซูอี้ละสายตาไปยังปากทางเข้าถ้ำอีกครั้ง เขาเงียบไปครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ตัดสินใจรออีกสักพักแล้วค่อยเข้าไป
ช่วงเวลาที่ไหลผ่านไปนั้น
บนชั้นที่ร้อยแปดของขั้นศิลาทดสอบ
ร่างของเฉิงผูพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เขามองไปรอบ ๆ สองมือเท้าเอวแล้วมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “ในที่สุด นายท่านผู้นี้ก็เอาชนะมาได้แล้ว รู้สึกดีอย่างยิ่ง! เป็นรสชาติที่แสนวิเศษไปเลย!”
พูดจบก็ทรุดตัวลงกับพื้น หอบหายใจหนัก หน้าซีดเล็กน้อย
ก่อนต่อสู้กับคนเฝ้าประตูชั้นที่ร้อยแปด แม้ว่าเขาจะสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ แต่ก็กินแรงไปมาก ทันที่ที่พักฟื้นได้ กล้ามเนื้อและกระดูกพลันแสดงอาการเจ็บจนทนแทบไม่ไหว
“รู้สึกดีมากและวิเศษมากขนาดนั้นเลยหรือ?”
ทันใดนั้นเสียงที่ไม่แยแสก็ดังขึ้นจากที่ไกล ๆ
ร่างกายของเฉิงผูแข็งทื่อ เขาหันขวับทันที
ก่อนจะเห็นร่างผอมสูงออกมาจากซากปรักหักพัง อีกฝ่ายใส่ชุดสีเขียวราวหยก โดดเด่นท่ามกลางผู้คน
“ซูอี้!!?”
เฉิงผูลุกขึ้นทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้างและใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน “เจ้า… เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร”
“ประมาณครึ่งเค่อก่อน”
ซูอี้พูดอย่างไม่ใส่ใจ
เฉิงผูตกตะลึงเล็กน้อย นี่หมายความว่าซูอี้เป็นคนแรกที่ผ่านชั้นที่ร้อยแปดของขั้นศิลาทดลอง และยังมาก่อนตั้งครึ่งเค่อด้วย?
เมื่อคิดเช่นนี้ ความทะนงตน ความตื่นเต้น และความปีติยินดีก็หายวับไปในทันใด ร่างกายไร้ชีวิตชีวา
ใช่แล้ว ก็มันสิ้นหวังน่ะสิ!
เฉิงผูลูบจมูกปอย ๆ และพูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “ทำให้เจ้าหัวเราะเสียแล้ว”
“ข้าไม่มีเวลามาฟังเรื่องตลกของเจ้าหรอก”
ซูอี้ว่าต่อ “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยอย่างหนึ่ง”
“ข้าหรือ?”
เฉิงผูตกตะลึง อยากจะถามสักประโยคว่า ‘พวกเรา… สนิทกันขนาดนั้นเลยหรือ?’
ก่อนหน้านี้อย่าเรียกว่ามิตรภาพเลย แม้กระทั่งพูดคุยกันยังไม่มี เข้าใจหรือไม่เล่า?
แต่บนริมฝีปากของเฉิงผูกลับมีรอยยิ้มแห่งความสุข “ศิษย์พี่ซูพูดเช่นนี้ มันทำข้ารู้สึกถึงกังวลนัก แน่นอนว่าหากมีสิ่งใดที่ข้าสามารถช่วยท่านได้ ข้าจะมีความสุขมาก”
แม้จะพูดเช่นนี้แต่ในใจเขาก็ยังมีความสุขอยู่ดี
ดูไว้เสียเถิด ผู้ชายอย่างซูอี้กำลังขอความช่วยเหลือจากเขาอยู่!
ซูอี้กล่าว “เช่นนั้นก็ง่ายมาก ในตอนที่กำลังรอข้าเข้าไปยังสถานที่อันตราย ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูแลสหายที่มากับข้าด้วย”
เฉิงผูตกใจ แววตาแปลกไปเล็กน้อย “พวกแม่นางเหวินซินจ้าวใช่หรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้า
เฉิงผูสงสัย “ข้ายินดีที่ได้ทำ แต่ว่า… ศิษย์พี่ซู ท่าน… ไม่กังวลเลยหรือ?”
ความรู้สึกนี้มันแปลกมาก
พวกเขาไม่มีมิตรภาพใด ๆ ต่อกัน แต่ซูอี้กลับขอให้เขาช่วยดูแลคนของตน เขาจึงอดสงสัยไม่ได้
“เจ้าลำบากใจกับพวกเขาหรือ?” ซูอี้ถาม
เฉิงผูส่ายหัว “ไร้ความคับข้องใจ ไร้ความเกลียดชัง ไม่อย่างแน่นอน”
ซูอี้กล่าวต่อ “เช่นนั้นข้าถึงได้ขอความช่วยเหลือจากเจ้าอย่างไรเล่า แน่นอนข้าจะไม่ให้เจ้าช่วยเฉย ๆ รอจนข้ากลับมา จะตอบแทนเจ้าแน่นอน”
เฉิงผูปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “เรื่องเล็กน้อยศิษย์พี่ซู อย่าสุภาพต่อกันเลย”
ซูอี้จ้องมองอย่างล้ำลึก “เมื่อถึงเวลา เจ้าค่อยพิจารณาว่าจะปฏิเสธหรือไม่”
หลังจากนั้นเขาก็หันหลังเดินไปยังส่วนลึกของซากปรักหักพัง “อีกหนึ่งสิ่ง ข้าขอแนะนำเจ้าและคนอื่น ๆ ว่าอย่าเข้าใกล้ถ้ำแห่งนี้ สิ่งอันตรายในนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถต่อกรด้วยได้”
“หากไม่เชื่อ มันจะเป็นอันตรายต่อชีวิตพวกเจ้า”
เสียงนั้นยังคงดังอยู่ แต่ซูอี้เดินเข้าถ้ำที่ลึกลงไปในซากปรักหักพังแล้ว
เฉิงผูตกตะลึง จิตใจเต็มไปด้วยความสงสัยจึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปใกล้
ทันทีที่เข้ามาใกล้ปากทางเข้าถ้ำข้างใต้ ความเย็นยะเยือกก็ปะทะใบหน้า ทำให้เฉิงผูร่างกายแข็งทื่อ อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน
“นี่มันนรกขุมใดกัน?”
สีหน้าเฉิงผูดูไม่แน่ไม่นอนนัก เขานึกถึงคำพูดของซูอี้และในที่สุดก็อดทนต่อความอยากรู้อยากเห็นของตนได้
เขาเชื่อคำพูดของซูอี้ จะต้องมีอันตรายที่คาดเดาไม่ได้ลึกลงไปในถ้ำเแห่งนี้เป็นแน่!
ไม่อย่างนั้นซูอี้คงไม่ตั้งใจที่จะรอพบเขาที่มาถึงที่แห่งนี้ และขอร้องให้ช่วยดูแลเหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ แน่!
“พักเอาแรงระหว่างรอคนอื่น ๆ แล้วกัน ไม่ว่าพวกเขาจะฟังคำของข้าหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ข้าต้องทำคือดูแลความปลอดภัยของพวกเหวินซินจ้าวให้ได้”
เฉิงผูสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หยุดคิดเรื่องอื่น แล้วออกไปจากที่แห่งนี้
เขาพบกับที่ลับ ๆ แห่งหนึ่ง ก่อนทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิเงียบ ๆ
“ไม่มีใครเลยหรือ นี่กำลังจะบอกว่าเฉิงผูพลาดไปในขั้นศิลาทดสอบชั้นสุดท้ายหรือไร?”
เสียงพึมพำดังขึ้นมาแต่ไกล “ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าข้าฉือเจี่ยนซู่เป็นอันดับหนึ่งในการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่หรือ?”
“ฮ่า ดั่งคำติดปากที่เฉิงผูชอบพูด รู้สึกดีอย่างยิ่ง! เป็นรสชาติที่แสนวิเศษไปเลย!”
เหนือขั้นศิลาชั้นที่ร้อยแปด มีฉือเจี่ยนซู่สตรีงามในเครื่องแบบทหาร ตัดผมสั้นถึงหู ร่างกายเต็มไปความดุดันกำลังยืดร่างกายไล่ความเมื่อยล้าด้วยรอยยิ้มปรีดาและภาคภูมิใจบนใบหน้า
เมื่อเห็นฉากนี้ก็ทำมุมปากเฉิงผูกระตุก เขาเกือบจะหัวเราะออกมา หญิงสาวผู้นี้จะดีใจเกินไปหรือไม่
ใช่แล้ว เมื่อสักครู่ที่ซูอี้เจอเขา ก็เหมือนกับตัวเขาที่เจอฉือเจี่ยนซู่ในตอนนี้เลย และรู้สึกว่าอีกฝ่าย… น่าขันมาก?
พอคิดเช่นนี้ได้ เฉิงผูก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป
ช่วยไม่ได้ การกระทำของเขาและฉือเจี่ยนซู่ในตอนนี้น่าขันเสียจริง…
[1] โฮ่ว หรือ真犼 เป็นสัตว์ในตำนานของจีน ว่ากันว่ามีลักษณะคล้ายสุนัขผสมมังกร