บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 572 หากเจ้ากล้าข้ามเส้นนี้ ศีรษะจะถูกบั่น
ตอนที่ 572: หากเจ้ากล้าข้ามเส้นนี้ ศีรษะจะถูกบั่น
ตอนที่ 572: หากเจ้ากล้าข้ามเส้นนี้ ศีรษะจะถูกบั่น
ครืน!
ปราณหยินวิญญาณเหมันต์สีฟ้าน้ำแข็งบิดม้วนเยี่ยงกระแสน้ำ
ร่างของซูอี้เคลื่อนไหวรวดเร็วไปยังสุดก้นถ้ำราวมัจฉาแหวกวารี
คลื่นน้ำกระเพื่อมเป็นวงปรากฏขึ้นบนผิวทั่วกาย และเมื่อเขาเคลื่อนร่างผ่านปราณหยินวิญญาณเหมันต์ เขาก็ไม่ได้รับผลใด ๆ จากมันเลย
ยิ่งลงไปลึก ปราณหยินก็ยิ่งเข้มข้นหนาแน่น พลังจากจิตสัมผัสเองก็ถูกขัดขวาง อย่างมากที่สุดที่สัมผัสได้ก็เป็นเพียงระยะทางในรัศมีสิบจั้งเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ซูอี้จึงใช้เคล็ดวิชา ‘เนตรเปลวเพลงสีทอง’ ดวงตาของเขาเรืองแสงสีทอง ลวดลายลึกลับเกี่ยวกระหวัดพิสดารเป็นประกาย
สิ่งนี้ทำให้เขาสามารถมองเห็นพื้นที่ระยะร้อยจั้งได้ ยามเกิดอุบัติภัย เขาจะได้ไหวตัวไม่สายไป
สามพันจั้ง
ห้าพันจั้ง
เมื่อมาถึงพื้นที่ใต้พิภพแปดพันจั้ง ซูอี้ก็ขมวดคิ้ว
ปราณหยินวิญญาณเหมันต์รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับกระแสน้ำหนาหนักอันหนาวยะเยือก ยิ่งลงไปลึก แรงดันยิ่งทวีคูณ
การที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะขยับกายแทบเป็นไปไม่ได้เลย
หากฝืนทน พวกเขาจะถูกปราณหยินวิญญาณเหมันต์ปกคลุมร่างและหนาวจนแข็งตาย!
“กระทั่งชีพจรฟ้าดินยังยากสร้างปรากฏการณ์เช่นนี้ หรือปราณหยินวิญญาณเหมันต์จะมารวมกันเพราะวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ที่ซุกซ่อนอยู่อย่างนั้นหรือ?”
ดวงตาซูอี้วูบไหว
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์คือสมบัติที่ถือกำเนิดนับแต่ก่อกำเนิดฟ้าดิน พวกมันสามารถพบพานแต่ไม่อาจค้นหา และความล้ำค่าของมันมากพอจะทำให้ตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิน้ำลายหก!
ยิ่งกว่านั้น ซูอี้ยังสงสัยมากว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ซึ่งถูกฝังอยู่ในภูเขาพระสุเมรุจะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับการจองจำแห่งยุคมืด
“หากเป็นเช่นนั้น อันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ก็ย่อมเหนือธรรมดา”
ขณะกำลังครุ่นคิด ซูอี้ก็ยังคงโรยร่างดิ่งลงไป
เมื่อถึงระดับเก้าพันจั้ง ดวงตาของซูอี้ก็ฉายประกายวาบ และความเร็วในการเหินของเขาก็รวดเร็วขึ้น
ไม่กี่อึดใจถัดมา ซูอี้ก็ทะยานออกจากมวลปราณหยินวิญญาณเหมันต์ราวปลากระโดดเหนือผิวน้ำ ร่างของเขาพลิ้วลงสู่พื้น
ภาพตรงหน้าเขาเปลี่ยนแปรไปฉับพลัน
นี่คือโลกใต้พิภพ กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา
สิ่งที่น่าตกใจคือโลกแห่งนี้เต็มไปด้วยหลุมฝังศพแน่นขนัด และที่หน้าหลุมศพแต่ละแห่งต่างมีป้ายหลุมศพศิลา
ไอหมอกโลหิตลอยอ้อยอิ่งในอากาศ ปกคลุมหมู่หลุมศพ เพิ่มบรรยากาศชั่วร้ายให้กับสถานที่
ไม่ว่าใครที่ได้เห็นสถานที่นี้ เกรงว่าคงเข้าใจผิดเป็นแน่ว่าตนได้หลงเข้าสู่สุสานใต้พิภพ
“เหตุใดจึงมีป้ายหลุมศพมากมายเช่นนี้อยู่ใต้ภูเขาพระสุเมรุกัน?”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย และเห็นว่าไกลออกไปในหมู่หลุมศพอันหนาตา มีประตูสีดำบานหนึ่งเชื่อมต่อระหว่างผืนนภาและผืนพิภพราวประตูแห่งโลกา กว้างใหญ่ไร้ใดเทียบ
ราวกับเป็นรัตติกาลที่แผ่คลุมทั่วโลก ทำให้ผู้คนใจหายวาบ
เพราะระยะห่างไกลเกินไป ซูอี้จึงมองไม่เห็นว่าเกิดอันใดขึ้น และไม่อาจยืนยันต้นกำเนิดของประตูสีดำอันคล้ายกับคูเมืองนี้ได้
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็จิกปลายนิ้วของตน โลหิตสีทองสายหนึ่งผุดออกมา จากนั้นโลหิตสีทองก็สั่นไหวเล็กน้อยราวกับสัมผัสบางสิ่งได้
“ดูเหมือนว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์จะซุกซ่อนอยู่ในที่อันห่างไกลมาก”
ซูอี้เก็บโลหิตทองคำไปและสรุปเช่นนั้น
เขาไม่ได้รีบร้อนลงมือ จากนั้นก็เดินไปยังหลุมศพที่ใกล้ที่สุด ดวงตาทอดมองลงบนป้ายหลุมศพเบื้องหน้า
อักขระจารึกบนป้ายหลุมศพเป็นภาษาปีศาจโบราณ ลายมือบนป้ายเขียนหวัด ๆ อย่างเห็นได้ชัดเจนว่าเร่งรีบจารึก
“ศิษย์ในสำนักหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุรุ่นที่เก้า สุสานแห่งวังซูเหมย” ซูอี้อ่านออกเสียง
ไร้สิ่งใดควรจดจำ
เขาหลับตาลง และก้าวมาเบื้องหน้า สายตามองป้ายสุสานหน้าหลุมศพอีกหลุม
“ศิษย์ในสำนักหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุรุ่นที่เก้า สุสานแห่งเจี่ยนหมิงชง” ลายมือบนป้ายยังคงหวัด เห็นได้ชัดว่ามาจากคนเดียวกัน
ซูอี้เดินหน้าต่อ ป้ายหลุมศพแทบทุกหลุมที่เขาเห็นระหว่างทางแทบเหมือนกันหมด มีเพียงชื่อและฐานะของแต่ละป้ายเท่านั้นที่แตกต่างกัน
ทว่าซูอี้ก็มีเมฆหมอกแห่งความเคลือบแคลงเกิดขึ้นในใจ
ที่แห่งนี้มีสุสานอย่างน้อยที่สุดก็หลายพัน ทว่าผู้อยู่ในหลุมเหล่านั้นแทบทั้งหมดเป็นศิษย์รุ่นที่เจ็ดถึงเก้า
นอกเหนือจากนั้น ลายมือที่จารึกบนป้ายหลุมศพต่างมาจากคน ๆ เดียวกัน
มันให้ความรู้สึกเชิงว่าผู้ที่ถูกฝังที่นี่ต่างประสบภัยพิบัติบางอย่างและตกตายตามกัน จากนั้นผู้เหลือรอดจึงฝังพวกเขาไว้ที่นี่ด้วยกัน ตั้งป้ายหลุมศพเพื่อพวกเขาแค่ละคน!
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเมื่อการจองจำแห่งยุคมืดปรากฏขึ้นเมื่อสามหมื่นปีก่อน จะเกิดภัยพิบัติอันใดขึ้นที่นี่ ดังนั้นศิษย์หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุจึงหนีไม่ทันและตายลง?”
ซูอี้ครุ่นคิด
ทันใดนั้น เสียงการต่อสู้ก็แว่วมาจากไกล ๆ
ม่านตาของซูอี้หดตัวเล็กน้อย เผยให้เห็นสีหน้าแปลกประหลาด มีผู้มาถึงก่อนเขาหรือ?
เขาไม่มัวคิดมากและใช้วิชาหลบหนีทะยานเวหาทะยานไกลออกไป
หลังทะยานผ่านหลุมศพอันแน่นขนัดไปเบื้องหน้า เขาก็เผชิญกับโลกอันมืดมนหดหู่ เศษซากศพลอยดั่งดวงดาราหนาแน่น เคว้งคว้างบนนภากาศอย่างเงียบงัน
หมอกโลหิตหนาโรยตัวลงจากเบื้องสูงเยี่ยงน้ำตก เป็นสีแดงฉาน
เป็นภาพอันน่าขนลุก
ผู้คนอาจนึกถึงหมอกสีเลือดอันปกคลุมนภาเหนือยอดเขาพระสุเมรุ และซากศพดุจดารานับไม่ถ้วนซึ่งยังคงถูกแขวนห้อย
ทว่าซูอี้กลับมองว่าภาพตรงหน้าแตกต่างออกไป!
จำนวนและขนาดของซากศพดาราล่องลอยเหนือโลกใต้พิภพนี้มากยิ่งกว่าที่เขาได้เห็น ณ โลกภายนอกเสียอีก!!
และหมอกโลหิตเหล่านั้นมีปราณมรณะเน่าเหม็นเจืออยู่ แม้จะไม่เป็นอันตราย ทว่าหากปล่อยให้แทรกซึมเข้าสู่ร่างได้ มันจะกัดกร่อนพลังชีพและแปดเปื้อนวิญญาณ…
ครึ่งชั่วยามผันผ่าน
ในที่สุด ซูอี้ก็ได้เห็นว่าประตูสีดำทมิฬซึ่งเชื่อมนภาและแดนดินไกลออกไป ที่แท้แล้วคือประตูเชื่อมมิติ สร้างขึ้นจากพลังมิติอันลึกลับและลึกล้ำ!
ณ ก้นบึ้งของประตูสีดำ มีบานประตูสำริดสูงเก้าจั้งตั้งอยู่
ประตูสำริดนี้ปิดสนิท ฝังอยู่ด้านในประตูมิติ สลักอักขระอาคมลึกลับนับไม่ถ้วน
“พรมแดนมิตินี้ถูกใช้เพื่อแยกตัวจากโลกภายนอก สร้างเป็นประตูกั้นเขตแดน การจัดวางเช่นนี้ทำให้แม้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ ทว่าหากไม่เข้าใจเคล็ดวิชาปลดผนึกพลัง คนผู้นั้นก็จะทำได้เพียงหยุดลงที่นี่”
ซูอี้ครุ่นคิด
เขาเลื่อนสายตาไปยังอีกสถานที่ไม่ห่างจากประตูสำริดทันที
มีสนามประลองขนาดหลายพันจั้งตั้งอยู่
ยามนี้ ศึกอันดุเดือดบังเกิดขึ้นในสนามประลอง
ชายชราชุดขาวสวมหมวกทรงสูงผู้หนึ่งกำลังผนึกกำลังร่วมกับชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีเลือด ต่อสู้อย่างดุเดือดกับดาบวิญญาณเล่มหนึ่ง
นี่คือศึกอันแสนอันตรายและหาได้ยากยิ่ง
ซูอี้มองปราดแรกก็เห็นได้ว่าชายชราชุดขาวและชายวัยกลางคนชุดแดงต่างเป็นมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ
ชายชราชุดขาวควบคุมดาบวิญญาณสีหิมะพิสุทธิ์ วิถีดาบของเขาสูงส่งยิ่ง แม้จะต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มบุคคลในขอบเขตสยายวิญญาณก็ยังถือไพ่เหนือกว่าได้
ส่วนชายวัยกลางคนในชุดสีเลือดถือง้าวสั้นสีดำในมือแต่ละข้าง อำนาจร้ายกาจของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าชายชราชุดขาว
จากการตัดสินของซูอี้ ด้วยความแข็งแกร่งของมหาปราชญ์สวรรค์ทั้งสอง พวกเขาก็พอที่จะรับมือหวนเฉ่าโหยว ผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณผู้ซึ่งเพิ่งเลื่อนขอบเขตได้!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจิตดั้งเดิมทั้งสองมีที่มาที่ไปมากมาย
ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูอี้สนใจได้จริง ๆ ก็คือคู่ต่อสู้ของทั้งสอง
มันคือดาบวิญญาณขึ้นสนิมกระดำกระด่างเล่มหนึ่ง ยาวสามฉื่อสองชุ่น ใบดาบทั้งเล่มเป็นสีน้ำเงินครามเลื่อมพราย
ดาบเล่มนี้คมกริบราวอสนีบาต แข็งแกร่งเยี่ยมยอด เพียงปาดเบา ๆ ก็สร้างลำแสงดาบเจิดจ้าพร่างพรายราวเกล็ดน้ำแข็งหิมะสีฟ้าอ่อนโปรยปราย เย็นและสว่างไสว กำเนิดแสงสว่างแก่จักรวาล
แม้จะต้องต่อสู้กับสองจิตดั้งเดิมในขอบเขตสยายวิญญาณระดับสมบูรณ์แบบก็ยังไม่แพ้พ่าย!
ทว่าซูอี้สังเกตเห็นว่าที่ใบดาบมีรอยร้าวมากมาย มีสนิมเกาะกระดำกระด่างและสีของคราบเลือดเกรอะกรังลบไม่ออก ซึ่งทำให้สนิมสีทองแดงบนใบดาบปรากฏเฉดสีชาดจาง ๆ
เมื่อมองจากไกล ๆ ดาบเล่มนี้ดูโบราณอย่างยิ่งและให้ความรู้สึกถึงเวลาที่ผันผ่าน ใบดาบสีน้ำเงินครามมีสนิมเกาะแซมแดง แม้จะมีรอยร้าว ทว่าพลังของมันยังคงร้ายกาจจนชวนให้ผู้คนตัวสั่น
“ดาบนี้… ไม่เลว!”
ซูอี้อดแปลกใจไม่ได้
ในฐานะนักดาบ เขาจะไม่เห็นได้เช่นไรว่าดาบนี้น่าอัศจรรย์ใจเพียงไร?
กล่าวได้ว่านี่คือดาบโบราณระดับสูงสุดที่เขาได้พบพานนับแต่เข้าสู่ต้าเซี่ย
ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหลอมดาบ วิธีขัดเกลา หรือจิตวิญญาณเฉพาะตัวที่แผ่ออกมาจากใบดาบล้วนแล้วแต่น่าทึ่งไม่ธรรมดา
สิ่งเดียวที่น่าเสียดายนั้นคือดาบเล่มนี้มีตำหนิ ตัวดาบเสียหายอย่างหนัก หาไม่ อำนาจของมันจะเลิศล้ำยิ่งกว่าปัจจุบัน
เคร้ง!
ทันใดนั้น เสียงดาบกู่ร้องก็ดังสะท้าน
แทบจะในคราเดียวกัน ปราณดาบสีเงินก็ปรากฏขึ้น ตวัดฟันใส่ซูอี้
ซูอี้ยืนนิ่ง แววตาเยือกเย็น
ตู้ม!
ปราณดาบสีเงินนี้ฟาดลงตรงหน้าเขาสามฉื่อ ทำพื้นร้าวเป็นทางยาว และปราณดาบที่แหลกสลายเป็นจุณกระจายไปทุกหนแห่ง ส่งผลให้อาภรณ์สีเขียวของซูอี้ส่งเสียงหวีดแหลม
เมื่อฝุ่นควันจางหาย สุรเสียงเย็นชาแข็งกร้าวก็ดังขึ้น เฉียบคมราวคมมีด
“หากเจ้ากล้าข้ามเส้นนี้ ศีรษะจะถูกบั่น”
ซูอี้เงยหน้าขึ้น พบชายชุดดำผู้หนึ่งยืนอยู่ในเงามืดนอกสนามประลองพันจั้ง
เขาร่างผอมสูง ผมหนายาวสยายยุ่งเหยิงดั่งกอหญ้า ใบหน้าดูราวไร้โลหิต บรรยากาศคล้ายคนขี้โรค
จิงหลิงเจิน!
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณแห่งสำนักผลาญตะวัน ผู้มีบุคลิกเฉยเมยเก็บตัว
แม้เขาจะไม่เป็นที่รู้จักในต้าเซี่ย ทว่าในตัวตนยุคโบราณ เขาค่อนข้างไร้ปรานี
ทันทีที่มายังเกาะเซียนพระสุเมรุ ซูอี้ก็ได้พบกับอีกฝ่าย และทราบจากเวิงจิ่ว ว่าแม้จิงหลิงเจิน เยี่ยนจิงอวิ๋น และโม่ซิงเจ๋อจะไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมมวลพฤกษา หากแต่ทั้งสามต่างก็มีวิถีเต๋าและความสามารถสูงส่งกว่าใคร!
ยามซูอี้มองมา จิงหลิงเจินนั้นเฉยชาอย่างมาก ทั้งยังให้ความรู้สึกกดดันราวเป็นคมมีด
ไร้การปิดบังจิตมุ่งร้าย!
ซูอี้ไม่ได้มีโทสะ สีหน้าของเขาเฉยเมยไม่ต่างจากก่อน
เขาเห็นได้ว่าจิงหลิงเจิน บุคคลระดับสูงสุดในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณได้เหยียบย่างสู่วิถีวิญญาณแล้ว บางทีอาจเพราะเหตุนี้ กิริยาของอีกฝ่ายจึงแข็งแกร่งดุดัน ทั้งยังก้าวร้าว
จู่ ๆ เสียงหัวเราะอีกเสียงก็ดังกังวาน “ไม่คาดว่านอกจากข้าและพี่จิง สหายเต๋าซูยังมาถึงที่นี่เป็นผู้แรก”
ไกลออกไป ณ อีกฝั่งของสนามประลองอันโอฬาร ร่างหนึ่งเดินออกมาปรากฏกาย
ชายผู้นี้มีผิวสีดำแดง คิ้วกระจัดกระจายและเส้นผมสยายยาว
เขาสวมชุดคลุมสีดำ แบกกล่องดาบไว้บนหลัง ดวงตากระจ่างเยี่ยงดวงดาว เขายกมือขึ้นทักทาย เผยบรรยากาศดุดันฉูดฉาด
เยี่ยนจิงอวิ๋น!
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณแห่งสำนักวิถีสุญญะ นายเหนือผู้ได้รับการยอมรับจากสำนักวิถีแห่งใต้หล้า
ในด้านภูมิหลัง ประวัติและฝีมือ คนผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าหวนเฉ่าโหยว เฉิงผู และบุคคลชั้นยอดในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเลย และเป็นที่รู้จักในนาม ‘ดาบคลั่ง’!