บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 573 จิ้งหรีดไม่รู้ใบไม้ผลิหรือโรย
ตอนที่ 573: จิ้งหรีดไม่รู้ใบไม้ผลิหรือโรย
ตอนที่ 573: จิ้งหรีดไม่รู้ใบไม้ผลิหรือโรย
แม้นซูอี้จะไม่เคยใส่ใจเกี่ยวกับผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณหรือผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันเหล่านั้น แต่ความจำของเขาก็ไม่เลว
เขาย่อมจำเยี่ยนจิงอวิ๋นได้
และเขาก็ยังคงจำยามพบกันคราแรกที่ภูเขาเทียนหมางได้ เยี่ยนจิงอวิ๋นเป็นคนทักเขาก่อน และเรียกตนเองว่า ‘นักดาบผู้หนึ่ง’
ครั้งหนึ่ง เยี่ยนจิงอวิ๋นกระทั่งเสนออย่างสนอกสนใจว่าต้องการหาโอกาสเรียนรู้วิถีดาบจากเขาบ้าง
แน่นอนว่าซูอี้ในยามนั้นตอบปฏิเสธ บอกไปตรง ๆ ว่าเยี่ยนจิงอวิ๋นไม่มีคุณสมบัติ
ยามนั้น สีหน้าของเยี่ยนจิงอวิ๋นย่ำแย่เล็กน้อยตามคาด ทว่าไม่ได้พูดอันใด
และเมื่อครานี้ได้พานพบเยี่ยนจิงอวิ๋นอีกครั้ง และอีกฝ่ายก็ได้เหยียบย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเฉกเช่นจิงหลิงเจินแล้ว!
“ในโลกนี้ มีสิ่งต่าง ๆ มากมายเหลือเกินที่ไม่อาจนึกถึงได้”
ซูอี้รำพึง
เยี่ยนจิงอวิ๋นอดหัวเราะไม่ได้ เขากล่าวว่า “สหายเต๋าซูยังคงเย่อหยิ่งมั่นใจเช่นเคย”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยแววตาเจือความขี้เล่น “ข้าไม่ทราบว่าวันนี้สหายเต๋าซูคิดว่าเยี่ยนผู้นี้มีคุณสมบัติเข้ารับคำชี้แนะวิถีดาบจากเจ้าหรือยัง?”
คำพูดติดตลกนั้นเต็มไปด้วยความขำขัน
ทัศนคตินี้คล้ายคลึงกับหลี่หานเติงแต่เดิมมาก หลังจากเขาเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณและได้พานพบซูอี้ เขาก็ดูจะมีความรู้สึกเหมือนก้มลงมองผู้อื่นจากที่สูง
ก่อนหน้านี้ จิงหลิงเจินกล้าฟาดฟันส่งปราณดาบไปตรงหน้าซูอี้สามฉื่อและข่มขู่เขา เกรงว่าคงเป็นทัศนคติแบบเดียวกัน
เห็นได้ชัดว่าในใจพวกเขา ด้วยการฝึกฝนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เมื่อเผชิญหน้ากับบุคคลในวิถีต้นกำเนิดเช่นซูอี้ ความห่างชั้นจะยิ่งใหญ่ราวสวรรค์และมนุษย์!
ซูอี้มองเยี่ยนจิงอวิ๋นอย่างจริงจัง พลางกล่าวว่า “เกิดเป็นมนุษย์อย่าได้งมงายเกินไป ในวิถีดาบก็เช่นกัน”
เยี่ยนจิงอวิ๋น “…”
เขาย่อมตีความคำพูดของซูอี้ได้
คำดูแคลนซึ่งแสดงอยู่ในคำพูดลดคุณค่าทำให้เยี่ยนจิงอวิ๋นผงะ ชายผู้นี้ไม่รู้จริง ๆ หรือว่าความต่างระหว่างวิถีวิญญาณและวิถีต้นกำเนิดห่างกันเพียงไร?
เยี่ยนจิงอวิ๋นส่ายหน้าทันที เขาหัวเราะและกล่าวว่า “จิ้งหรีดไม่รู้ใบไม้ผลิหรือโรย และกบก็พูดคุยกับสวรรค์ไม่ได้ การใช้สำบัดสำนวนเช่นนี้คงไม่อาจหลีกเลี่ยง”
คนใจกว้างเช่นเขาไม่คิดนำเรื่องของซูอี้มาหนักใจตน
ต่อมา เยี่ยนจิงอวิ๋นก็ชี้ไปทางศึกบนสนามประลอง พลางกล่าวว่า “สหายเต๋าซูก็เห็นแล้ว เจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง โอกาสนี้ถูกข้าและพี่จิงจับจองแล้ว เราไม่มีความขุ่นข้องเคืองแค้นใด ๆ ต่อกัน และข้าไม่อยากให้เจ้าทำเรื่องโง่ ๆ”
พูดจบ เขาก็หันมองรอยดาบบนพื้นตรงหน้าซูอี้สามฉื่อ และกล่าวช้า ๆ “ดังนั้น ข้าขอแนะนำให้เจ้าฟังคำพูดพี่จิงและไม่ข้ามเส้นนี้ หาไม่…”
ก่อนทันพูดจบ เขาก็เห็นซูอี้พยักหน้า กล่าวว่า “ได้ ข้าจะให้พวกเจ้าทุกคนลองก่อน”
เยี่ยนจิงอวิ๋นสะดุ้ง ราวไม่เคยคิดว่าด้วยนิสัยถือดีของซูอี้ อีกฝ่ายจะยินยอมเต็มใจผ่อนปรนให้ผู้อื่นด้วย
เขาเอ่ยปากชื่นชมอย่างปลาบปลื้มทันที “สหายเต๋าซูเป็นคนฉลาดจริงแท้!”
ขณะเดียวกัน จิงหลิงเจินนั้นเงียบขรึม เฝ้ามองอย่างเฉยเมย ไม่พูดแม้สักคำ
เมื่อเห็นซูอี้ยอมถอย จิงหลิงเจินก็อดแสดงแววตารังเกียจแฝงเร้นออกมาไม่ได้ จึงหันศีรษะกลับไปมองศึกที่สนามประลองแทน
“สหายเต๋าซูมาถึงที่นี่ก่อนผู้อื่น หากคิดแล้ว เจ้าคงมีสมบัติลับที่สามารถหลบการจองจำแห่งยุคมืดได้ด้วยหรือ?”
เยี่ยนจิงอวิ๋นโพล่งถามขึ้น
ซูอี้ตอบอย่างเฉยเมย “การจองจำแห่งยุคมืดที่ปกคลุมภูเขาพระสุเมรุสลายไปแล้ว”
เยี่ยนจิงอวิ๋นม่านตาหดตัว พลางกล่าวอย่างประหลาดใจ “หากเป็นเช่นนั้น ไฉนเจ้าจึงมาที่นี่ผู้เดียวเล่า?”
ซูอี้กล่าว “ที่แห่งนี้อันตรายเกินไป การที่พวกเขาเลือกหยุดฝีเท้าคือการตัดสินใจอันชาญฉลาดที่สุด”
เยี่ยนจิงอวิ๋นยิ้มเยาะ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าไม่กลัวตายหรือไร สหายเต๋าซู?”
ซูอี้ถามกลับ “เจ้ามาถึงแต่ยามใด?”
เยี่ยนจิงอวิ๋นดูราวกับคาดไว้แล้วว่าจะถูกถามเช่นนี้ เขายิ้มและตอบกลับ “เหมือนพี่จิง ในวันที่ห้าหลังมาเยือนเกาะเซียนพระสุเมรุ ข้าก็ย่างเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ในเช้าตรู่วันที่เจ็ด พี่จิงและข้าร่วมมือกันทะลวงเข้ามาในภูเขาพระสุเมรุนี้ และผ่านมาได้ห้าวันจนยามนี้”
ซูอี้พยักหน้า พลางกล่าว “เช่นนี้เอง ดูเหมือนในยามที่เจ้ามายังภูเขาพระสุเมรุ เจ้าคงได้เผชิญหน้ากันบนเขาพระสุเมรุมาก่อนแล้ว เข้าใจสถานการณ์ จึงเตรียมตัวพร้อมสรรพก่อนลงมือ”
เยี่ยนจิงอวิ๋นยิ้มโดยไม่พูดจา
ซูอี้มองศึกบนสนามประลองห่างออกไป กล่าวว่า “น่าเสียดายที่แม้ว่าเจ้าจะมาไวเพียงไร ก็ไร้ผลอยู่ดี”
รอยยิ้มของเยี่ยนจิงอวิ๋นเลือนหาย จา่กนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความเช่นไร สหายเต๋าซู?”
ซูอี้กล่าว “ดาบเล่มนั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าปราบได้”
เพิ่งสิ้นเสียง…
สงครามที่สนามประลองพลันเปลี่ยนกระแส
เคร้ง!
ดาบวิญญาณสีครามขึ้นสนิมโปรยพิรุณปราณดาบพรรณราย กดดันร่างของทั้งชายชราชุดขาวและชายอาภรณ์โลหิตให้เซถอยหลัง
ท้ายที่สุด เขาตื่นตะลึงเสียจนปลิวออกนอกสนามประลอง เกือบหล่นลงกระแทกพื้น สภาพดูไม่จืดยิ่ง
“แย่ชะมัด! พลาดอีกแล้ว…” สีหน้าของชายชราชุดขาวหม่นหมอง ทั้งตกใจและโกรธเคือง
ชายชุดแดงกัดฟันกรอด แม้นจะไม่พูดอันใด แต่สีหน้าก็มืดทะมึนสุดขีด
ในสนามประลอง ดาบวิญญาณสีครามหมุนไปรอบ ๆ และปาดเป็นเส้นตรงกลางอากาศ เงียบกริบและไม่ไล่ตามออกไป
มันให้ความรู้สึกราวดาบนี้กำลังพิทักษ์สนามประลอง ไม่อนุญาตให้คนนอกบุกรุก
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ไม่ได้พูดอันใด ทว่าสีหน้าของเยี่ยนจิงอวิ๋นย่ำแย่ลงเล็กน้อย
“อาจารย์อาจู่ ท่านไม่เป็นไรหรือไม่?”
เยี่ยนจิงอวิ๋นก้าวออกไปหาชายชราชุดขาว
“ไม่เป็นไร”
ชายชราชุดขาวส่ายหัวด้วยสีหน้าระคนจนใจ “ดาบขจีบริสุทธิ์เล่มนี้คือดาบของราชันย์ปีศาจพระสุเมรุหยวนหมอเทียน แม้จะเสียหายหนัก แต่จิตวิญญาณและพลังของมันยังคงแข็งแกร่ง”
ดาบขจีบริสุทธิ์…
ซูอี้แสดงสีหน้าแปลกใจนิด ๆ ปรากฏว่าดาบขึ้นสนิมด่างดำนี้คือดาบขจีบริสุทธิ์ซึ่งกล่าวกันว่า ‘ดั่งรุ้งที่สามารถผ่าผืนฟ้า’!
มิน่าเล่า แม้เสียหายเพียงนี้ ทว่าก็ยังเกินคาดเดา
รูปลักษณ์ วัตถุดิบและพลังของดาบที่ราชันย์ปีศาจพระสุเมรุตีขึ้นเองย่อมเทียบกับดาบวิญญาณทั่วไปไม่ได้
“ดาบเล่มนี้ใกล้หมดพลังแล้ว หากไม่สามารถใช้พลังที่ประตูจองจำทำจากสำริดบานนี้หนุนเสริม มันจะเป็นคู่ต่อสู้เราได้เช่นไร?” ชายชุดแดงแค่นเสียงเย็นชา
ทันใดนั้น เขาก็หันมามองซูอี้ จากนั้นกล่าวคำออก “ชายผู้นี้เป็นใคร?”
จิงหลิงเจินกล่าวอย่างเฉยเมย “ผู้ไม่เกี่ยวข้อง”
ชายอาภรณ์โลหิตขมวดคิ้วกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ไยจึงไม่ฆ่าเล่า?”
จิตดั้งเดิมในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นสมบูรณ์ตนนี้ช่างกระหายเลือดโดยแท้!
จิงหลิงเจินกล่าว “ก็แค่ปลาซิวปลาสร้อย ไม่ส่งผลต่อการกระทำของเราหรอก”
“ผิดแล้ว สหายเต๋าซูไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อย”
เยี่ยนจิงอวิ๋นกล่าวเสียงดัง “ในระดับวิถีต้นกำเนิดทุกวันนี้ อำนาจต่อสู้ของสหายเต๋าซูไร้เทียมทานในโลกหล้า แม้จะแข็งแกร่งเช่นหวนเฉ่าโหยวยังหาใช่คู่ต่อกรเขาไม่”
ทั้งชายชราชุดขาวและชายอาภรณ์โลหิตต่างอดชะงักไม่ได้
พวกเขาทั้งหมดรู้ดีว่าหวนเฉ่าโหยว ทายาทตระกูลหวนเผ่ามารแข็งแกร่งเพียงไร ทว่าหากชายหนุ่มที่อยู่ห่างออกไปผู้นั้นสามารถเอาชนะหวนเฉ่าโหยวได้จริง เขาจะเป็นคนธรรมดาได้เช่นไร?
“ยิ่งกว่านั้น จักรพรรดิเซี่ยในปัจจุบันยังให้ค่าสหายเต๋าซูยิ่งนัก ไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อยามสหายเต๋าซูก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เขาจะกลายเป็นตัวตนเหนือธรรมดาเป็นแน่!”
เยี่ยนจิงอวิ๋นเอ่ยชมเขาอย่างใจกว้าง
เขากล่าวพลางยิ้มให้ซูอี้ที่ห่างออกไปด้วยแววตาสื่อความนัย “แน่นอน มันจะเป็นเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อสหายเต๋าซูมีโอกาสรอดออกจากที่นี่ก่อน”
ซูอี้ดูเฉยเมย เมินคำพูดซ่อนเข็มในฝ้าย กล่าวว่า “ยังอยากลองต่อหรือไม่?”
ทุกคนต่างตกใจ
เยี่ยนจิงอวิ๋นขมวดคิ้วถาม “สหายเต๋าซูหมายความเช่นไร?”
ซูอี้กล่าวสบาย ๆ “ก่อนหน้านี้ข้ามอบโอกาสให้เจ้าลองสยบดาบนี้ ทว่าเห็นกันชัด ๆ ว่าทำไม่ได้ ยามนี้คือตาข้าลงมือแล้ว”
ทันทีที่คำเหล่านี้ถูกเอื้อนเอ่ย เยี่ยนจิงอวิ๋นก็แทบไม่เชื่อหู ถามขึ้นว่า “ตาเจ้า… สยบดาบขจีบริสุทธิ์หรือ!?”
จิงหลิงเจินกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าบอกว่า หากเจ้ากล้าข้ามเส้นนี้ หัวของเจ้าจะถูกบั่น!”
ชายชราชุดขาวเสสรวล “ช่างเถิด ให้เขาลองดู”
ซูอี้เมินคำพูดเหล่านี้ และเดินตรงดิ่งเข้ามาใกล้สนามประลอง
ชิ้ง!
จิงหลิงเจินชักดาบ ร่างเปี่ยมปราณพลุ่งพล่าน เย็นเยือกเสียดกระดูก พร้อมโจมตีทุกขณะ
“ปล่อยเขาไป” ชายวัยกลางคนชุดแดงกล่าวพลางมองซูอี้ราวมองคนใกล้ตาย
ห้าวันที่ผ่านมา พวกเขาได้ใช้ไพ่ตายเกลี้ยงหีบ และจนยามนี้ก็ยังไม่อาจสยบดาบขจีบริสุทธิ์ได้
ยามนี้ บุคคลในขอบเขตรวบรวมดาราคิดลองสยบดาบที่แกร่งเกินเอื้อม สิ่งนี้ต่างอันใดกับฆ่าตัวตาย?
จิงหลิงเจินเก็บดาบไปเงียบ ๆ สะกดกลั้นจิตสังหารในใจ ถูกของอีกฝ่าย บุคคลซึ่งเขาทิ้งไว้เบื้องหลังแสนนาน หากคิดอยากหาที่ตาย ก็ปล่อยให้สมหวังไป!
เมื่อเห็นร่างของซูอี้เดินเข้ามาใกล้สนามประลอง เยี่ยนจิงอวิ๋นก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “สหายเต๋าซู อย่าโทษเยี่ยนผู้นี้ว่าไม่เตือนเลย ยามข้าร่วมมือกับพี่จิงก่อนหน้านี้ เรายังห่างไกลจากการเป็นคู่มือของดาบขจีบริสุทธิ์ มีเพียงผู้อาวุโสทั้งสองของเราที่สามารถยืนหยัดต่อดาบนี้แบบกินกันไม่ลงได้ ยามนี้เจ้าเพิ่งอยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา ยังมีหนทางรอดชีวิต หากไม่ฟังคำเตือนนี้…”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ “เกรงว่าโลกนี้คงเสียบุคคลชั้นยอดไปอีกหนึ่ง…”
มันดูคล้ายคำเตือนสติ ทว่าที่จริงมันคือการล้อเลียน
ณ หน้าสนามประลอง ซูอี้กระทืบเท้า หันหลังให้ผู้คน แล้วกล่าวว่า “พลังของดาบนี้แข็งแกร่งสุดยอดจริงแท้ ทว่าน่าเสียดายที่มันไม่อาจส่งเจ้าไปตายได้ ดังนั้นจึงเอาแต่ขวางเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า”
สีหน้าของทุกคนล้วนมืดคล้ำ
“ซูอี้ เจ้าหมายความเช่นไร?”
สีหน้าของเยี่ยนจิงอวิ๋นมืดทะมึนเล็กน้อย
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “แม้ข้าจะพูดแล้ว เจ้าก็ไม่เข้าใจ”
เสียงยังไม่ทันสิ้น เขาก็เหยียบย่างสู่สนามประลอง
เคร้ง!
ยามนี้ ดาบวิญญาณขจีบริสุทธิ์ซึ่งยังลอยค้างอยู่ไกล ๆ ก็ทอแสงพร่างพราย เปล่งปราณดาบเย็นเยือกเยี่ยงหิมะและน้ำแข็ง แผ่กะจายทั่วนภา
เยี่ยนจิงอวิ๋น จิงหลิงเจิน ชายชราชุดขาวและชายวัยกลางคนชุดแดงต่างเมินความคิดเห็นของเขาและจับจ้องที่ดาบขจีบริสุทธิ์
ชิ้ง!
ดาบขจีบริสุทธิ์ดูราวสายรุ้งเจิดจรัส ปราณดาบครามขจีเกือบกลืนสนามประลองแห่งนี้ไปเสียมิด
เมื่อเห็นเช่นนี้ เยี่ยนจิงอวิ๋นและคณะต่างตกใจ พวกเขาอดเห็นจินตภาพนองเลือดของซูอี้ที่ถูกดาบบั่นคอคาที่ขึ้นมาในหัวไม่ได้
พวกเขาตระหนักรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของดาบเล่มนี้แล้ว แม้ว่าจะเป็นตัวตนผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบก็ยังไม่อาจต่อกรกับมันได้ อย่าว่าแต่ผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราเพียงผู้เดียวเลย?
ในขณะเดียวกัน สีหน้าของซูอี้ก็ไม่ไหวหวั่น มือขวาของเขายกขึ้น ริมฝีปากกระซิบ
“เจ้าดาบน้อย ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว เลือกเองเถิด”