บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 575 อย่างไรก็ต้องตาย ไยเล่าต้องมากความ
ตอนที่ 575: อย่างไรก็ต้องตาย ไยเล่าต้องมากความ
ตอนที่ 575: อย่างไรก็ต้องตาย ไยเล่าต้องมากความ
จิงหลิงเจินตาย กล่าวได้ว่าเพราะเลินเล่อ
เพราะประมาทจนถูกกดข่ม ไม่อาจผงาดสู่ฟ้าไกลได้อีก
ช้าเกินกว่าจะเสียดาย
เมื่อเห็นหัวของเขากลิ้งบนพื้น เยี่ยนจิงอวิ๋นก็อดระลึกถึงวาจาซึ่งจิงหลิงเจินพูดข่มขู่ซูอี้ไม่ได้
“หากเจ้ากล้าข้ามเส้นนี้ ศีรษะจะถูกบั่น!”
ยามนี้ คำพูดดังกล่าวเป็นราวคำประชดคำโต ย้อนคืนสู่ตัวจิงหลิงเจินเอง…
“ไอ้ลูกหมา!!” เมื่อจินหลิงเจินตาย ชายอาภรณ์แดงก็เดือดดาล สะบัดแขนเสื้อฟาดฝ่ามือแหวกอากาศใส่ซูอี้
ตู้ม!
รอยประทับฝ่ามือดูราวควบแน่นจากโลหิต ชายในอาภรณ์แดงเผยความโหดเหี้ยมร้ายแรง
ทว่าซูอี้ไม่ได้หลบหลีก เขาเพียงฟาดดาบสวนกลับไป
เคร้ง!
ดาบขจีบริสุทธิ์ครวญครืนดั่งคลื่น ใบดาบขึ้นสนิมทอประกายขาวสว่างเช่นหิมะโปรย ทั้งดุดันและสว่างไสว แสงอันเย็นเฉียบฉายผ่านสมุทรและขุนเขา
สงครามบังเกิด
บุคลิกของซูอี้แปรเปลี่ยนตามสถานการณ์ เขาเย่อหยิ่งไร้ข้อจำกัด วิถีการไร้คู่เปรียบ เถรตรงราวเซียนดาบ
ตู้ม!
โลกาปั่นป่วน ปราณดาบสะเทือนเคลื่อนผ่าน โลหิตทะลักไหล
สิ่งที่ทำให้เยี่ยนจิงอวิ๋นและชายชราชุดขาวประหลาดใจก็คือ เมื่อซูอี้และชายสวมอาภรณ์สีเลือดห้ำหั่นดุเดือด กลับไม่มีผู้ใดเพลี่ยงพล้ำกว่า!
“พลังต่อสู้ของชายผู้นี้อัศจรรย์ถึงเพียงนี้เลยหรือ?” ชายชราชุดขาวประหลาดใจจนไม่อาจสงบจิต
ชายสวมอาภรณ์สีเลือดมีนามว่าหมิงเจิน สัตว์ประหลาดเฒ่าในขอบเขตสยายวิญญาณ แม้จะไร้ร่าง ทว่าเพียงรูปลักษณ์จิตดั้งเดิมในขอบเขตสยายวิญญาณก็พอที่จะบดขยี้ผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ทุกผู้ทั่วหล้า
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งในวิถีต้นกำเนิดกลับสูสียากตัดสินผลแพ้ชนะกับหมิงเจิน ชายชราชุดขาวจะไม่ประหลาดใจได้เช่นไร?
“ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ไปได้…”
สีหน้าของเยี่ยนจิงอวิ๋นโลเล
แต่เดิม เมื่อจิงหลิงเจินสิ้นใจ หัวใจของเขาก็สะท้านไหวรุนแรง
ทว่ายามนี้ เมื่อเห็นซูอี้สามารถต่อสู้ทัดเทียมกับจิตดั้งเดิมเช่นหมิงเจิน นี่ทำให้หัวใจของเยี่ยนจิงอวิ๋นรู้สึกหนาวเหน็บอย่างห้ามไม่ได้
เหตุผลนั้นช่างง่ายดาย นั่นคือแม้เขาจะทุ่มสุดตัว เขาก็ยังไม่อาจเทียบชั้นกับหมิงเจินได้!
การเปรียบเทียบเช่นนี้ทำให้เยี่ยนจิงอวิ๋นไม่กระจ่างใจว่าหากตนเผชิญหน้าซูอี้ เขาจะมีโอกาสชนะมากกว่าแพ้เยี่ยงจิงหลิงเจินหรือไม่?
“ลงมือด้วยกันเถิด เราต้องไม่ให้เขาหนีกลับไปยังสนามประลองนั่น!”
จู่ ๆ เสียงของชายชราชุดขาวก็ก้องขึ้นในโสตของเยี่ยนจิงอวิ๋น
เยี่ยนจิงอวิ๋นพยักหน้า ความคิดไขว้เขวในใจสูญสิ้น
เคร้ง!
กล่องใส่ดาบเบื้องหลังเขาระเบิดเปิดออก ดาบโบราณสานสนเล่มหนึ่งปลิดปลิว รูปลักษณ์โบราณซอมซ่อ มีอักขระขนาดเล็กสองตัวจารึกอยู่ที่ด้ามว่า ‘ซ่อนสุญญะ’
การเคลื่อนไหวของเยี่ยนจิงอวิ๋นแปรเปลี่ยนเมื่อมีดาบในมือ ปราณดาบทะยานเวหา ฝ่าเท้าเหยียบพื้นถลาร่างขึ้นสังหารซูอี้
วูบ!
เงาดาบทับซ้อนดูราวกับแปรเปลี่ยนเป็นห้วงสุญญะดำมืด ปกคลุมด้วยบรรยากาศเลวร้ายอันหนาวเหน็บ
ต้องกล่าวว่าเยี่ยนจิงอวิ๋นนั้นสมกับเป็นบุคคลระดับสูงสุดในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณ วิถีดาบของเขาสูงเยี่ยงเทพยดาจำแลง
แทบจะในยามเดียวกัน ชายชราชุดขาวเองก็โจมตี
“ฮ่า!”
เขาส่งเสียงกึกก้อง แขนเสื้อสะบัดพลิ้ว สั่งการดาบวิญญาณคมกริบให้ฟาดฟันใส่ซูอี้
เทียบกับเยี่ยนจิงอวิ๋น อำนาจวิถีดาบของชายชราชุดขาวยิ่งน่าตกตะลึง ด้วยเพียงหนึ่งวาดดาบ เขาได้แสดงพลังถล่มขุนเขาทลายสมุทร
ยามนี้ ชายผู้สวมอาภรณ์สีเลือดนามหมิงเจินเองก็เรียกใช้สมบัติของตน ถือง้าวสั้นสีดำคู่ไว้ในมือทั้งสองข้าง แผ่บรรยากาศชั่วร้าย และลงมือโจมตีสุดแรง
ตู้ม!
โลกอลหม่าน แสงสว่างยุ่งเหยิงปั่นป่วน
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ตกสู่สถานการณ์อันตราย
แม้ว่าครานี้เขาจะมีคู่ต่อสู้เพียงสาม แต่กลับร้ายกาจยิ่งกว่าศึกที่ปะทะหวนเฉ่าโหยวและผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทั้งเก้าเสียอีก
เหตุผลนั้นก็เพราะทั้งชายชราชุดขาวและหมิงเจินต่างเป็นจิตดั้งเดิมในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ พลังของพวกเขาเกินจินตนาการ เหนือล้ำกว่าจะเทียบกับคนเช่นเยี่ยนจิงอวิ๋นซึ่งเพิ่งเหยียบย่างสู่วิถีวิญญาณ
ในการประมือคราก่อนกับหมิงเจิน ซูอี้รู้ว่าตัวเขาในยามนี้ยากจะกวาดคนเช่นล้างหมิงเจินได้
และยามนี้ เมื่อมีชายชราชุดขาวและเยี่ยนจิงอวิ๋นผู้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหมิงเจินเพิ่มขึ้นมา เขาก็นับได้ว่าตกที่นั่งลำบาก
“น่าเสียดายที่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย หาไม่ เราคงใช้ศึกเป็นหินลับดาบได้…”
ซูอี้ถอนหายใจ
ครานี้ เขามายังโลกใต้พิภพด้วยแผนอื่น และย่อมไม่ต้องการทุ่มความสนใจไปกับสงครามฆ่าฟันเช่นนี้
เพราะถึงอย่างไร หากสิ้นเปลืองพลังสูงไป มันย่อมส่งผลต่อการกระทำถัดไปอย่างไม่อาจเลี่ยง
“เร็วเข้า เขาฝืนไว้ได้ไม่นานหรอก!”
หมิงเจินตะโกน จิตสังหารเดือดปุด
“ฆ่า!” ชายชราชุดขาวมีสีหน้าถมึงทึง
แม้ว่าเยี่ยนจิงอวิ๋นจะไม่ได้มีบทบาทใหญ่โต ทว่าเขาคอยขวางระหว่างซูอี้และสนามประลองที่ห่างออกไป เห็นได้ชัดว่าเขากำลังกีดกันไม่ให้ซูอี้กลับสู่สนามประลอง
เห็นเช่นนี้ มุมปากของซูอี้ก็ยกขึ้นเล็กน้อย “อย่าตื่นไป ข้าจะส่งเจ้าไปตามทางให้”
เสียงยังไม่ทันสิ้น บรรยากาศมืดหม่นลี้ลับก็ปรากฏขึ้นบนดาบขจีบริสุทธิ์ในมือ ซึ่งทำให้ตัวดาบสั่นเทิ้ม ส่งเสียงครวญอย่างตื่นเต้น
ชิ้ง!
ดาบวิญญาณของชายชราชุดขาวฟาดฟันเข้าใกล้ สว่างไสวดั่งหิมะ แน่นหนาเยี่ยงค่ายกลศึก อำนาจที่สั่งสมแข็งแกร่งบดขยี้ ร้ายกาจกดดันยิ่ง
“ตายซะ!”
แววตาของซูอี้ฉายประกายเย็นเยียบ ดาบขจีบริสุทธิ์อันสั่นเทิ้มอยู่นานฟันขึ้นฟ้า ส่งปราณดาบสู่นภา
ปราณดาบสามฉื่อ ไร้ความคลุมเครือ
ทว่าเมื่อฟาดฟันออกไป มันดูราวไร้เทียมทาน ทำลายปราณดาบจากชายชราชุดขาวได้อย่างง่ายดาย
ชิ้ง!
ดาบวิญญาณของชายชราชุดขาวถูกฉีกกระชากระเบิดสิ้นในพริบตา
การเปลี่ยนแปลงเฉียบพลันนี้ทำให้สีหน้าของชายชราชุดขาวเปลี่ยนแปลงมหันต์ เขารีบมุดหลบลงเบื้องใต้ เสียงตะโกนหลุดจากริมฝีปาก “บ้าจริง เป็นเช่นนี้ได้เยี่ยงไร…”
ก่อนจะทันพูดจบ ปราณดาบสามฉื่อก็สะบั้นหัวของเขาลง
ชายชราชุดขาวดับสิ้น คำสุดท้ายถูกพ่นออกมาเสียงดัง “สิ้น!”
จิตดั้งเดิมของเขาดูเหมือนถูกผลาญเผา หอบพิรุณอักขระสีทองคำผุดขึ้นมาห่าใหญ่ มันควบแน่นกันเป็นชั้นป้องกันสิบแปดทบบนอากาศ
ศาสตร์เทวะขับพิรุณทอง!
สุดยอดเคล็ดวิชาอันสืบทอดกันมาในสำนักวิถีสุญญะ พลังป้องกันของมันน่าทึ่ง และกระทั่งถูกใช้โดยมหาปราชญ์สวรรค์ในวิถีวิญญาณมากมายเพื่อต้านรับหายนะ
ทว่าดาบของซูอี้ได้ใช้เสี้ยวลมปราณจากดาบเก้าคุมขังไปแล้ว พลังเช่นนี้จะถูกวิชาป้องกันต้านรับไว้ได้เช่นไร?
ทันใดนั้น…
ตู้ม!
เมื่อปราณดาบสามฉื่อฟันลง ชั้นป้องกันสีทองสิบแปดทบก็ขาดวิ่นแทบเหมือนกระดาษเปียก
เกิดรอยร้าวขึ้นที่หว่างคิ้วของชายชราชุดขาว ลามลงไปยังดั้งจมูก ริมฝีปาก กราม คอ อก… ยาวลงไป
“ไม่เคยคิดเลยว่าข้าซงฉือจะตายในมือผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา…” ชายชราชุดขาวทอดถอนใจเบา ๆ
ฉับ!
เสียงทอดถอนใจยังไม่สลายหาย จิตดั้งเดิมของชายชราชุดขาวก็ถูกแยกเป็นสองส่วน เปลี่ยนเป็นพิรุณแห่งแสงโปรยปราย
หนึ่งดาบนี้สังหารจิตดั้งเดิมซึ่งอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ!
ฉากประหารอันดุดันเฉียบขาดนี้ทำให้หมิงเจินและเยี่ยนจิงอวิ๋นตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี สูดหายใจเฮือกอย่างเหน็บหนาว
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เร็วเกินไป!
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าซูอี้ผู้ตกเป็นเบี้ยล่างจะพลิกขึ้นมาสังหารชายชราชุดขาวราบคาบด้วยดาบเดียว!
เรื่องนี้ทำให้ทั้งสองตะลึงค้าง นี่… เป็นอำนาจวิถีดาบร้ายอาจเพียงใดที่ทำถึงขั้นนี้ได้?
ชายในขอบเขตรวบรวมดวงดาวมีพลังเช่นนี้ได้เช่นไร?
สำหรับซูอี้ การสังหารชายชราชุดขาวนั้นง่ายดายพอ ๆ กับปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า เขาไม่ได้หยุดมือ และหันไปมองหมิงเจิน
“ตาย!” เสียงอันเบาเยี่ยงขนนกยังคงไม่ขาดช่วง ซูอี้ก็ออกดาบอีกครั้ง
ฉัวะ!
ยังคงเป็นการออกดาบอย่างเรียบง่าย
ทว่าหมิงเจินดูจะสัมผัสบางอย่างผิดปกติได้ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดต้านมัน แต่หันหลังวิ่งจากไป
หากจิงหลิงเจินตาย นั่นก็เพราะเขาเลินเล่อ ดังนั้นหมิงเจินจึงไม่ได้กลัวซูอี้เพราะเหตุนี้
ทว่าการตายของชายชราชุดขาวที่เกิดตามมาทำให้หมิงเจินตระหนักโดยสมบูรณ์ว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี แล้วเขาจะกล้าอยู่ต่อหรือไร?
“เจ้าหนีได้หรือ?”
ดวงตาของซูอี้ดูแคลน
ฟิ้ว!
ดาบสีครามเล่มน้อยพุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของเขา หายเข้าสู่อากาศธาตุ
ดาบน้อยสังหารเทพ!
หมิงเจินผู้กำลังหลบหนีพลันตกใจกลัว เขากรีดร้องลั่น สะบัดง้าวสั้นในมือกวาดผ่านนภาอย่างดุดัน
ตู้ม!
ห่างจากหัวหมิงเจินหนึ่งฉื่อ ดาบน้อยสังหารเทพพุ่งทะยานแหวกมิติ หายไปในอากาศธาตุ
ทว่าก่อนที่หมิงเจินจะทันได้ถอนหายใจโล่งอก คมดาบก็แทงเข้ามาเฉียบพลัน!
กลิ่นอายมรณะพวยพุ่งปะทะหน้ารวดเร็วรุนแรงแทบบ้าคลั่ง พลังทุกหยาดหยดถูกรีดเร้นไปรวมกันที่คู่ง้าวสั้นสีดำ ยกขึ้นขวางตรงหน้าตน
ฉับ! ฉับ!
คู่ง้าวสั้นซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอาวุธวิเศษ ยามนี้ไม่อาจทนทานเยี่ยงกระดาษลัง มันถูกดาบแทงได้ง่ายดาย
จากนั้น คมดาบก็พุ่งทะลุคอของหมิงเจิน
บิดอย่างเฉียบขาด
ตู้ม!
จิตดั้งเดิมของหมิงเจินถูกบดขยี้กลายเป็นหยาดหยดพิรุณแสง พร่างพรมทั่วแดน
และแล้วจิตดั้งเดิมซึ่งอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบตนที่สองก็ดับสูญ!
ยามนั้น เยี่ยนจิงอวิ๋นผู้พุ่งมาจากไกล ๆ พลันชะงักค้างกลางอากาศ ไม่กล้าขยับมาใกล้
สีหน้าของเขาซีดขาวไร้โลหิต ดวงตาเบิกกว้างเปี่ยมความตกใจไม่อยากเชื่อ หนาวเหน็บเยี่ยงตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง!
“น่าเสียดายจริงแท้”
เมื่อเห็นจิตดั้งเดิมของหมิงเจินแหลกสลาย ซูอี้ก็รู้สึกเสียดายนิดหน่อย
ไม่ว่าจะเป็นหมิงเจินหรือชายชราชุดขาว พวกเขาต่างนับได้ว่าเป็นหินลับดาบชั้นเยี่ยม ในกรณีต่อสู้ตัวต่อตัว พวกเขาเพียงพอที่จะสร้างศึกอันสนุกสนานและอันตราย
ทว่าไร้หนทาง ยามนี้เขาต้องการสงวนพลังและมีแผนอื่น ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงสังหาร กำจัดทิ้งให้ไว
จากนั้น ซูอี้ก็หันไปมองเยี่ยนจิงอวิ๋นที่อยู่เบื้องหลังในระยะไกลออกไป
ร่างของเยี่ยนจิงอวิ๋นแข็งทื่อเมื่อถูกสายตาของซูอี้จับจ้อง จากนั้นมุมปากของเขาก็กระตุก จากนั้นจึงถอนหายใจ “หากข้ายอมรับความพ่ายแพ้ในยามนี้… จะสายไปหรือไม่?”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่นและเศร้าหมอง
ก่อนหน้านี้ ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณสมญาดาบคลั่งผู้นี้เคยมีท่าทีถือตัวสูงส่ง มองซูอี้ราวไม่คิดข้องแวะ ทุกวาจากล่าวล้อเลียนดูถูก มั่นอกมั่นใจและกดอีกฝ่ายต่ำกว่าตน
ทว่ายามนี้ เขาตกใจกลัวเสียจนใจสั่นคิดอันใดไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกจากเหตุก่อนหน้าซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาอย่างมหาศาล
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “นี่หาใช่การประลองที่ชี้วัดเพียงแพ้ชนะ ข้าให้โอกาสเจ้าตัดสินตนเองได้”
เยี่ยนจิงอวิ๋นตะลึง สีหน้าที่แต่เดิมสะกดกลั้นไว้ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นมืดหม่น
ครู่ต่อมา เขาก็สูดหายใจลึก ๆ ราวปลงตก คิ้วที่ขมวดแน่นคลายตัว สีหน้าหนักแน่น “ในฐานะนักดาบ ข้ายอม…”
ก่อนจะทันพูดจบ ซูอี้ก็ฟันดาบลงใส่เขาแล้ว
ฉับ!
หัวของเยี่ยนจิงอวิ๋นร่วงสู่พื้น โลหิตสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อน
ยามเมื่อความตายใกล้บรรจบ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอึ้งและไม่เต็มใจ เขาเชื่อไม่ลง ซูอี้ไม่กระทั่งจะมอบโอกาสให้เขาพูด กลับถูกฆ่าทันที…
“สุดท้ายอย่างไรก็ต้องตาย ไยเล่าต้องมากความ?”
ซูอี้ส่ายหน้าอยู่ครู่หนึ่ง