บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 577 นกกระจอกสีเทา
ตอนที่ 577: นกกระจอกสีเทา
ตอนที่ 577: นกกระจอกสีเทา
หลุมศพนี้ไม่ได้ใหญ่ ไร้วัชพืชเติบโต และตั้งอยู่เดียวดาย
ซูอี้เพียงมองมัน และจากนั้นสายตาก็ทอดลงที่ซากศพซึ่งนั่งอยู่หน้าหลุม
คนผู้นี้สวมชุดคลุมนักพรต ผูกแถบผ้าทองที่เอวและศีรษะวานร ร่างทั้งร่างสิ้นแรงปกคลุมด้วยฝุ่นผง
เคร้ง!
ดาบขจีบริสุทธิ์ในมือซูอี้ส่งเสียงครวญราวร่ำไห้ใจสลาย
ซูอี้หรี่ตา หัวใจของเขาสั่นไหวน้อย ๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซากศพนี้เป็นของราชันย์ปีศาจพระสุเมรุหยวนหมอเทียน ผู้ก่อตั้งหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุซึ่งครั้งหนึ่งเคยโด่งดังทั่วหล้า!
เพียงแค่ว่า บุคคลเช่นนี้ไฉนเลยจึงสิ้นใจที่นี่?
ซูอี้มองซากศพของหยวนหมอเทียนอีกครั้ง ไร้บาดแผลบนร่าง เนื่องจากสิ้นใจไปแสนนาน ร่างของเขาจึงซูบแข็งราวศิลา
หือ?
จู่ ๆ ซูอี้ก็สังเกตถึงบางสิ่ง และด้วยการโบกแขนเสื้อ เศษฝุ่นผงบนพื้นตรงหน้าซากศพก็ถูกปัดเป่า เผยให้เห็นข้อความบรรทัดหนึ่ง
‘ลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาวมีอันตรายใหญ่ยิ่ง!’
ข้อความนี้ถูกเขียนด้วยอักษรปีศาจโบราณ เขียนอย่างหวัดฉวัดเฉวียนยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นข้อความที่เร่งเขียนก่อนสิ้นใจ
เมื่อเห็นประโยคนี้ ซูอี้ก็อดเลิกคิ้วไม่ได้
ราชันย์ผู้ฝึกฝนวิถีพุทธ วิถีเต๋า และวิถีขงจื่อในตัวตนผู้เดียวปกครองโลกหล้า จะมีสิ่งใดที่ทำให้เขาต้องทิ้งข้อความสุดท้ายเช่นนี้ไว้ก่อนสิ้นใจ?
ลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาวมีอันตรายใหญ่ยิ่ง หรือจะเป็นว่าการสิ้นสูญของราชันย์ปีศาจพระสุเมรุหยวนหมอเทียนจะมีบางสิ่งเกี่ยวพันกับอันตรายใหญ่ยิ่งในจักรวาลพร่างดาวที่ว่า?
ซูอี้จมในภวังค์ครุ่นคิด
ในสายตาราชันย์แห่งเก้ามหาแดนดิน จักรวาลพร่างดาวนั้นถูกถือว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามมานับแต่บรรพกาล แทบไม่มีผู้ใดซึ่งออกเดินทางลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาวรอดชีวิตกลับมาสักคน
ในอดีตชาติ ครั้งหนึ่งซูอี้ก็เคยกล่าวได้ว่าเป็นที่เคารพ ดาบของเขาสยบเก้ามหาแดนดิน ทั้งยังรวบรวมความลับและเบาะแสมากมายเกี่ยวกับจักรวาลพร่างดาวไว้ด้วย
ในหมู่ความลับและเบาะแสเหล่านี้ มีสิ่งหนึ่งที่ระบุไว้โดยถ้วนทั่ว…
ลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาวมีพื้นที่ต้องห้าม เปี่ยมด้วยมหาหายนะมากมาย!
ส่วนเรื่องที่เป็นหายนะใดนั้น มีเสียงเล่าลือมากมาย และส่วนใหญ่เป็นเพียงการคาดเดา
เพราะถึงอย่างไร นับย้อนไปตั้งแต่สมัยโบราณ แทบไม่มียอดฝีมือผู้ใดมีคุณสมบัติพอจะข้ามผ่านจักรวาลพร่างดาวและรอดกลับมาเลย ใครเล่าจะรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ลึกในนั้น?
ในยามแรก เพื่อแสวงหาหนทางอันสูงขึ้นกว่าเก่า ซูอี้มีสองทางเลือก หนึ่งคือเข้าไปลึกในจักรวาลพร่างดาวเพื่อสำรวจพื้นที่ต้องห้ามซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก
สองคือหาหนทางเวียนวัฏสงสารซึ่งมีเพียงในตำนาน
สุดท้าย ซูอี้ก็เลือกทางที่สอง
ไม่ใช่เพราะเขาไม่กล้าเข้าไปลึกในจักรวาลพร่างดาวแต่อย่างใด แต่เมื่อเขามองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่เขาเดิน เขาก็พบว่าก้าวก่อน ๆ ของเขามีข้อผิดพลาดมากมาย
หากเขาเวียนวัฏสงสารและฝึกฝนเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านี้ มันคงพอที่จะทำให้เขาก้าวข้ามตนเองยามอยู่ในจุดสูงสุดแห่งเส้นทางได้ ในยามนั้น เขาอาจจะสามารถทะลวงขอบเขตจักรพรรดิและก้าวสู่เส้นทางที่สูงขึ้นได้
เพราะตัวเลือกในอดีตชาตินี้เองที่ทำให้ซูอี้ได้ฝึกฝนมหาวิถีของตนใหม่ในชาตินี้
ทว่าซูอี้ไม่คาดเลยว่าการตายของราชันย์ปีศาจพระสุเมรุจะมีความเป็นไปได้สูงว่าส่วนเกี่ยวพันกับอำนาจร้ายกาจลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว
ครู่ถัดมา
ซูอี้มองสุสานเบื้องหลังซากศพ และคาดว่านี่คงเป็นสุสานซึ่งราชันย์ปีศาจพระสุเมรุสร้างไว้ให้ตนเอง
บางที ก่อนเขาสิ้นใจ เขาคงคาดไว้ถึงอำนาจร้ายกาจลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาวอยู่แล้ว และเขาคงตายแน่ ดังนั้นจึงเตรียมสุสานให้ตนล่วงหน้าหรือ?
ซูอี้ส่ายหน้า เลิกคิดถึงมัน
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจว่าราชันย์ปีศาจพระสุเมรุตายอย่างไร
เขามาที่นี่เพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับการจองจำแห่งยุคมืดและค้นหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ต่างหาก
ซูอี้ทะยานไปเบื้องหน้าต่อ
ระหว่างทาง พลังของการจองจำแห่งยุคมืดก็สยายปกคลุมไปทั่วราวม่านหมอก
หากเป็นผู้อื่น คงไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบย่างเหนือมันแน่
ทว่าสำหรับซูอี้ พลังเช่นนี้ไม่อาจคุกคามเขาได้เลย
คราก่อน เมื่อเขาสังหารผู้คนที่ถูกจองจำในสี่สิ่งต้องห้าม เช่นราชาจี้เหยียนเหลย และปีศาจเฒ่าสือกู่ ซูอี้ก็ค้นพบว่าพลังของดาบเก้าคุมขังสามารถกำจัดพลังของการจองจำแห่งยุคมืดได้
ยามนี้ เขาไม่จำเป็นต้องชิงลงมือใด ๆ เลย เขาก็แค่สื่อสารกับกลิ่นอายของดาบเก้าคุมขังด้วยจิตสัมผัสเท่านั้น และที่ใดที่เขาผ่าน หมอกพลังของการจองจำแห่งยุคมืดก็จะสลายหาย!
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
ซูอี้หยุดลงกะทันหัน
เส้นทางเบื้องหน้าขาดช่วง พื้นที่เบื้องหน้ามีเพียงสุญญะมืดดำไร้ขอบเขต
ไกลออกไป บรรพพฤกษ์โครงดาราหยั่งรากสู่สุญญะ กิ่งก้านของมันแผ่ไกลไร้สิ้นสุด ไม่อาจเห็นจุดเริ่มจุดจบได้ด้วยสายตา
“ดูเหมือนว่าสถานที่ในประตูจองจำนี้จะเป็นแผ่นดินที่ลอยอยู่ท่ามกลางสุญญะไร้ขอบเขต ไม่ใช่โลกที่แท้จริง…”
ในที่สุดซูอี้ก็เข้าใจ
รอบข้างผืนดินนี้คือสุญญะกว้างไกล
และบรรพพฤกษ์โครงดาราก็ไม่ใช่ของผืนดินนี้ แต่หยั่งรากสู่สุญญะไร้ขอบเขต
เพียงแค่ว่ามันใหญ่โตเกินไป ในยามแรกผู้คนจึงเข้าใจผิดว่ามันหยั่งรากลงบนแดนดินนี้
“ซู… สหายเต๋าซู!?” จู่ ๆ เสียงอันอ่อนระโหยโรยแรงก็ดังแว่วมาไกล ๆ
ซูอี้มองขึ้นไปและเห็นร่างหนึ่งคู้ตัวอยู่บนบรรพพฤกษ์ บนกิ่งก้านดั่งขุนเขาซึ่งใกล้ผืนดินที่สุด
นางคือสตรีผู้ทรงเสน่ห์ในชุดกระโปรงสีม่วง ผิวขาวเยี่ยงหิมะ ผอมบางสะโอดสะอง
นางคือโต้วโค่ว!
ทว่าใบหน้าของหญิงสาวนั้นซีดขาว นางคู้ตัวกลม ใบหน้างดงามเต็มไปด้วยความประหม่าลังเล
เมื่อนางเห็นซูอี้ หญิงสาวก็ดีใจเนื้อเต้น คู่เนตรรื้นน้ำเปี่ยมปรีดาราวกับคนใกล้จมน้ำคว้าฟางช่วยชีวิตได้
“เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่?”
ซูอี้แปลกใจ
ชายหนุ่มยังคงจำได้ว่าหลังจากเข้ามายังภูเขาพระสุเมรุ เขาก็ได้พบพวกเหมยเหยียนไป๋ที่พูดถึงการได้ยินเสียงพึมพำประหลาด และโต้วโค่วก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ
จนกระทั่งกาลต่อมา ซูอี้เองก็ได้ยินเสียงประหลาดนั่น แทงดาบออกไป และทำลายอำนาจลึกลับที่โจมตีเก๋อเฉียนในม่านหมอก
สายเลือดสีทองในมือของเขาก็ได้มาจากอำนาจลึกลับนั่น
ยามนั้น ซูอี้คาดว่าสายเลือดสีทองนี้มาจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์!
กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นโต้วโค่วผู้หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา หรืออำนาจลึกลับที่โจมตีเก๋อเฉียนต่างเกี่ยวพันกับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์นี้!
ทว่าซูอี้ไม่เคยคาดคิดว่าโต้วโค่วจะมาปรากฏตัวบนบรรพพฤกษ์โครงดารานี้!
“ข… ข้าไม่รู้ว่ามาที่นี่ได้เยี่ยงไร…”
โต้วโค่วแสดงสีหน้าลังเลระคนหวาดกลัว “ข้าจำได้เพียงว่าก่อนหน้านี้ ข้าบุกเข้ามาในภูเขาพระสุเมรุพร้อมพวกเหมยเหยียนไป๋ และเดินอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ข้าก็วูบหมดสติไป พอตื่นขึ้นมา ข้าก็อยู่ในสถานที่รกร้างนี่แล้ว”
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวตื่นกลัว เสียงของนางตะกุกตะกักอย่างหวาดหวั่น
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงถามว่า “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?”
โต้วโค่วส่ายหน้ากล่าว “เปล่า”
ซูอี้ถามอีกครั้ง “เจ้าพบอันใดยามถูกขังที่นี่บ้าง?”
โต้วโค่วส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่มี”
กล่าวถึงตรงนี้ นางก็มองซูอี้อย่างน่าสงสารและกล่าวว่า “สหายเต๋าซู เจ้า… เจ้าช่วยข้าไปจากที่นี่ได้หรือไม่? ขอเถิด ข้า… ข้าไม่อยากถูกขังอยู่ที่นี่…”
เสียงของนางกล้า ๆ กลัว ๆ และใบหน้าทรงเสน่ห์อันซีดเซียวก็เปี่ยมความหวัง
“อย่าขัดขืน”
ซูอี้คว้ามือไปบนอากาศ
หวืด!
ร่างของโต้วโค่วถูกคว้าและร่อนลงตรงหน้าซูอี้อย่างมั่นคง
“ขอบคุณสหายเต๋าซู!”
โต้วโค่วดูตื่นเต้นมากและโค้งคำนับให้
ทว่ายามนี้เอง จู่ ๆ ซูอี้ก็คว้าคอขาวระหงของโต้วโค่วด้วยหนึ่งมือ ยกนางขึ้นสู่ฟ้า
ขณะเดียวกัน มือซ้ายของเขาก็คว้ามือขวาของโต้วโค่วบิดไปเบื้องหลังอย่างแรง
โต้วโค่วโอดครวญอย่างเจ็บปวด ปิ่นผมเงินเพรียวบางและแหลมคมร่วงจากในมือขวา
“อยากลอบโจมตีข้าหรือ? เจ้ายังอ่อนหัดนัก”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ แววตาล้ำลึกจ้องมองโต้วโค่ว
ยามนี้ รอยยิ้มพิกลปรากฏขึ้นบนใบหน้าทรงเสน่ห์ของโต้วโค่ว และนางก็กล่าวว่า “จริงหรือ?”
เสียงนั้นแหบและแหลม
ดวงตาคู่นั้นของโต้วโค่วปรากฏแววแสงสีน้ำเงินแปลกตา จ้องมองมายังซูอี้
ตู้ม!
ห้วงความนึกคิดซูอี้ปั่นป่วนสั่นคลอนราวถูกสายฟ้าฟาด
ทว่าในพริบตาต่อมา กลิ่นอายของดาบเก้าคุมขังก็ปกคลุมไปทั่ว การเคลื่อนไหวของห้วงความนึกคิดถูกหยุด
ซูอี้ครุ่นคิด “ก่อนหน้านี้เจ้าใช้เคล็ดวิชาจิตวิญญาณเช่นนี้เพื่อแทรกแซงจิตวิญญาณของแม่นางโต้วโค่วหรือ? พลังเช่นนี้ไม่เลวเลย หากเป็นผู้ฝึกตนใด ๆ ใต้ขอบเขตจักรพรรดิคงสิ้นท่าแก่อุบายของเจ้าแล้วเป็นแน่”
“แต่เจ้า… ไฉนจึงไม่เป็นอันใด!?”
โต้วโค่วประหลาดใจ เสียงแหบแหลมของนางเผยความไม่เชื่อ
“แน่นอน ข้าต่างจากผู้อื่นนี่”
ซูอี้กล่าว ดาบน้อยสีครามพุ่งออกมาจากหว่างคิ้ว ทะลวงเข้าไปในห้วงความนึกคิดของโต้วโค่วโดยพลัน
วูบ!
แสงสีเทาประหลาดพุ่งออกมาจากเหนือกระหม่อมของโต้วโค่ว ก่อร่างเป็นวิหกขนาดพอดีมือ สีเทาขนพองฟู ดูแทบไม่ต่างกับนกกระจอกในโลกหล้า
มีเพียงดวงตาสีทองซีดเท่านั้นซึ่งดูแตกต่างเล็กน้อย
“ฮ่า ๆๆ อยากโจมตีข้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้รึ? ไม่มีทางเสียหรอก!”
นกกระจอกสีเทาทะยานผ่านสุญญะ ร่อนลงบนกิ่งไม้ของบรรพพฤกษ์โครงดาราห่างออกไป ความเร็วของมันสูงเสียจนแทบเรียกได้ว่าเคลื่อนย้ายพริบตา
เมื่อเทียบกับกิ่งก้านพฤกษาอันยิ่งใหญ่เยี่ยงขุนเขา ร่างของนกกระจอกสีเทาก็ยิ่งเล็กจ้อย
ทว่ามันในยามนี้ช่างภาคภูมิ กระพือพัดปีกมองซูอี้ด้วยสายตาเยาะเย้ยพลางส่งเสียงหัวเราะแหลมไม่น่าอภิรมณ์ราวเป็นอีกา
ซูอี้เมินนกกระจอกสีเทา
เขาเหลือบมองโต้วโค่ว จากนั้นจึงแบกนางไว้เบื้องหลัง
สตรีผู้นี้หมดสติไปแล้ว แต่ไม่เป็นไร ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างนุ่มนิ่มของหญิงสาวเลื่อนหลุดมือ ซูอี้จึงทำได้เพียงคล้องมือของเขาไว้รอบต้นขาของนางเพื่อพยุงสะโพกนางไว้ ไม่ให้ส่งผลใด ๆ กับการกระทำของเขา
ไกลออกไปบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง เสียงหัวเราะของนกกระจอกสีเทาหยุดลงกะทันหัน
เพราะมันค้นพบว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของซูอี้นั้นไม่ใช่เพื่อทำร้ายมันเลย แต่เพื่อช่วยหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งถูกมันเข้าสิง…
ไม่ต้องสงสัยเลย ซูอี้ทำสำเร็จ
ก่อนหน้านี้มันช่างแสนภูมิใจ ซึ่งน่าอายยิ่งนัก…
ยามนี้ ซูอี้มองนกกระจอกสีเทาพลางกล่าวอย่างไม่แยแส “บอกข้ามา เหตุใดเจ้าจึงลอบโจมตีข้าก่อนหน้านี้?”
นกกระจอกสีเทายิ้มเยาะ พลางจัดเส้นขนสีเทาของมันด้วยจะงอยปากนกแล้วก็กล่าวคำอย่างดูแคลน “ไฉนข้าต้องตอบ? เจ้าก็แค่ปลาซิวปลาสร้อยในขอบเขตรวบรวมดารา เหมือนเช่นมดปลวก เจ้ามีคุณสมบัติอันใดให้ข้าผู้ยิ่งใหญ่มาตอบคำถามเจ้าด้วย?”
ยามเมื่อเขาเห็นมอง มันก็อ้าจะงอยปากแค่นเสียงอย่างดุร้าย เผยความเย่อหยิ่งทะนงตัว
ซูอี้เลิกคิ้ว เจ้านกกระจอกน้อยนี่… ช่างน่านัก!