บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 58 ลมดีย่อมเป็นแรงหนุน ส่งไปเหนือเมฆ
ตอนที่ 58 ลมดีย่อมเป็นแรงหนุน ส่งไปเหนือเมฆ
วันที่สามเดือนสอง
ช่วงบ่ายวันถัดมาหลังการประลองประตูมังกรสิ้นสุด
หลังจากที่ซูอี้ฝึกในป่าหม่อนด้านนอกเมืองเสร็จแล้ว และเพิ่งกลับมาถึงสำนักแพทย์ซิ่งหวง เขาได้พบกับเจ้าเมืองฟู่ซานและทหารคุ้มกันรอคอยอยู่ที่นั่น
“คุณชายซู”
ฟู่ซานทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม ประสานมือและกล่าวว่า “ที่ข้ามานี้ ประการแรกก็เพื่อขอบคุณสำหรับการกระทำอันดีงามของท่านในงานประลองเมื่อคืนนี้ และประการที่สองก็เพื่อมอบของขวัญ”
เอ่ยคำจบ เขาโบกมือครั้งหนึ่ง
สามทหารคุ้มกันก้าวมาด้านหน้า แต่ละคนถือกล่องหยกอยู่ในมือ และประเคนให้ด้วยความเคารพ
ฟู่ซานอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือรางวัลสำหรับอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร มีทองหนึ่งร้อยชั่ง ไข่มุกสิบกล่อง สมุนไพรวิญญาณสามชนิด และเคล็ดวิชาลับ”
หลังหยุดครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “แต่ข้าต้องขออภัยที่ถือวิสาสะเปลี่ยนทองและไข่มุกให้เป็นตั๋วเงิน เพราะคิดว่าคุณชายซูคงจะสะดวกในการพกพาพวกมันมากกว่าหากอยู่ในรูปแบบนี้”
เขาชี้ไปที่กล่องหยกอันแรก “ด้านในกล่องนั้น มีตั๋วเงินอยู่สิบแปดฉบับ แต่ละฉบับมีค่าหนึ่งหมื่นตำลึง”
“ในกล่องหยกใบที่สอง มีสมุนไพรวิญญาณสามชนิด ได้แก่โป่งรากสนใบหยก โสมหยกโลหิต และหญ้าเยือกแข็งแถบเขียว”
“ในกล่องหยกใบที่สาม มีคัมภีร์วิชาลับชั้นเลิศขั้นร่วงหล่น ‘ฝ่ามือบุปผาล่องเมฆา’ บรรจุอยู่”
หลังรับฟัง ซูอี้เปิดกล่องหยกใบที่สาม และนำเล่มคัมภีร์ออกมา
หลังเปิดมองผ่าน ๆ เขาอดไม่ได้จนกล่าวคำ “เคล็ดวิชานี้เหมาะสำหรับการฝึกของสตรีอย่างเห็นได้ชัด”
ฟู่ซานกล่าวด้วยรอยยิ้มแห้ง “รางวัลเหล่านี้ถูกมอบมาโดยลี่เจี้ยนอวี่ผู้เป็นเจ้าเมืองลั่วอวิ๋น การกระทำนี้ของเขาช่างไร้ยางอายนัก หากคุณชายซูไม่พอใจ ประเดี๋ยวข้าจะมอบตำราอีกเล่มหนึ่งให้ภายหลัง”
เห็นแน่ชัด ว่าฟู่ซานทราบรายละเอียดตำรานี้กระจ่างแล้ว
ซูอี้โบกมืออย่างไม่แยแสและกล่าวคำ “ไม่จำเป็น เท่านี้ก็พอแล้ว”
จากมุมมองของเขาแล้ว มีหรือจะใส่ใจเคล็ดวิชาต่ำเตี้ยเช่นนี้
“พวกเจ้า นำสิ่งของเหล่านี้เข้าไปไว้ในห้องของคุณชายซูเสีย”
ฟู่ซานออกคำสั่ง ก่อนกลุ่มทหารคุ้มกันจะปฏิบัติตามโดยทันที
จากนั้นเขาก็กล่าวเชิญซูอี้ด้วยรอยยิ้ม “คุณชายซู บัดนี้เกาะไผ่วิญญาณกลายเป็นของเมืองกว่างหลิงแล้ว และอยู่ภายใต้การควบคุมของข้าเป็นการชั่วคราว ข้ามาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพราะต้องการเชิญท่านไปร่วมรับชมเกาะ”
หัวใจของซูอี้เต้นแรง เพราะทราบว่าเกาะไผ่วิญญาณเป็นสถานที่ซึ่งพลังวิญญาณมารวมตัวกัน และมี ‘ไผ่วิญญาณหยกขจี’ เป็นสมบัติล้ำค่า
“จะไปเมื่อใด?” ซูอี้ถาม
ฟู่ซานหัวเราะรับและกล่าวตอบ “ข้าเตรียมรถม้าไว้พร้อมแล้ว หากคุณชายซูพร้อม พวกเราสามารถไปได้เลยทันที”
สิ้นคำ อีกฝ่ายเดินนำไป
หนึ่งก้านธูปล่วงเลย
ทหารคุ้มกันกลุ่มหนึ่งจากจวนเจ้าเมืองขี่ม้าศึก นำคุ้มกันรถม้าที่มีซูอี้และฟู่ซานนั่งอยู่ไปที่ริมแม่น้ำต้าฉาง ซึ่งห่างจากเมืองกว่างหลิงราวสามสิบลี้
ริมฝั่งแม่น้ำแถบนี้อยู่ติดกับพื้นที่ภูเขาเมฆาคราม มีต้นไม้เก่าแก่เขียวชอุ่มอยู่ทั่ว
เมื่อลงจากรถม้า ซูอี้และฟู่ซานก็ขึ้นเรือข้ามฟากที่เตรียมไว้แล้ว และมุ่งไปยังใจกลางแม่น้ำ
ที่ตรงนั้นมีเกาะเล็กแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่กลางน้ำราวกับปะการัง ห่างไปประมาณสามสิบจั้ง
บนเกาะเล็กปรากฏก้อนหินยักษ์ประหลาด พร้อมป่าไผ่ที่กินระยะพื้นที่สามจั้งอันเขียวขจี ส่วนที่อื่นนั้นว่างเปล่า ไม่มีหญ้าแม้เพียงต้น
“หืม? มีผู้อื่นขึ้นเกาะไผ่วิญญาณนำหน้าได้เช่นไร?”
จากที่ไกลห่าง ฟู่ซานเห็นเรือลำหนึ่งจอดเทียบข้างเกาะไผ่วิญญาณ และทางป่าไผ่ของเกาะนั้น พบเห็นว่ามีสองร่างที่เลือนราง
ใบหน้าของฟู่ซานเกิดบึ้งตึง
คนรับใช้ข้างกายรีบอธิบายด้วยเสียงต่ำทันที “รายงานนายท่าน สองคนนั้นคงจะมาจากเมืองลั่วอวิ๋นที่อยู่อีกฟากหนึ่ง!”
“ตาเฒ่าลี่เจี้ยนอวี่ มันกล้าปล่อยคนให้มาเหยียบเกาะไผ่วิญญาณ มันคิดจริงหรือว่าฟู่ซานผู้นี้จะไม่กล้าสังหาร?”
ดวงตาของฟู่ซานฉายแววสังหาร
ในไม่ช้า เรือข้ามฟากจึงเทียบที่หน้าเกาะไผ่วิญญาณ
ในตอนนี้ ฟู่ซานพบเห็นรูปลักษณ์ของพวกเขาทั้งสองอย่างชัดเจน คิ้วของเขาขมวดเป็นปม พร้อมเผยท่าทีประหลาดใจ
เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งและชายชราอีกคนหนึ่ง
ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมพร้อมเข็มขัดหยก ใบหน้าดังหยกประดับรัดเกล้า ดูสง่างาม
ทางด้านชายชราสวมหมวกกลมสีดำขนาดเล็กและผ้าคลุม รูปลักษณ์ใช้ได้ เขาโค้งคำนับเล็กน้อย และยืนอยู่เงียบงันตรงที่ที่ชายหนุ่มยืนอยู่
“ขอบเขตรวบรวมลมปราณ”
ในขณะเดียวกัน ซูอี้เหลือบมองไปที่ชายหนุ่ม ก่อนจะมองยังชายชราหมวกดำ เขาทราบระดับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายได้ทันทีโดยสังเกตเพียงแค่กลิ่นอายของอีกฝ่าย
วิถียุทธ์มีสี่ลำดับขอบเขต หนึ่งโคจรโลหิต สองรวบรวมลมปราณ สามหลอมกำเนิด สี่ไร้แพร่งพราย
มีเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบเท่านั้น จึงจะสามารถ ‘แปรสภาพลมปราณ’ ทำให้สามารถลอยตัวเหนือน้ำ เดินเหินบนผิวน้ำได้
ขณะที่บนพื้นดินนั้น ยังสามารถกระโดดแนวดิ่งได้ถึงสิบจั้ง หายใจเข้าออกราวกับฟ้าคำราม ปลดปล่อยลมปราณได้โดยแท้จริง
ในขั้นนี้ ระยะห่างจากขอบเขตหลอมกำเนิด ก็เหลือเพียงเส้นกั้นบางเฉียบ!
และผู้บ่มเพาะที่อยู่ในระดับนี้ ย่อมนับได้ว่าอยู่ในจุดสูงสุดของเมืองกว่างหลิงด้วยเช่นกัน
ประหนึ่งฟู่ซานผู้เป็นเจ้าเมืองที่การบ่มเพาะสำเร็จถึงขั้นปลายของขอบเขตรวบรวมลมปราณแล้ว แต่ยังด้อยกว่าชายชราสวมหมวกดำเพียงหนึ่งขั้น
แต่ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ในสายตาของเขา ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ ไม่ควรค่าให้ความสนใจใด ๆ ทั้งสิ้น
จากนั้นเขาจึงมองไปที่เกาะไผ่วิญญาณโดยเงียบงัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าเงียบเชียบ ใต้เกาะแห่งนี้มีเส้นชีพจรแม่น้ำต้าฉางเชื่อมผ่าน และไม่ไกลห่างคือภูเขาเมฆาคราม มันเป็นที่ซึ่งภูเขาและแม่น้ำมาบรรจบกัน หรือพูดอีกอย่างก็คือเกาะแห่งนี้คือสถานที่ที่เปรียบได้ดั่งกับแกนกลางที่ฟ้าและดินมาบรรจบกัน
นี่คือแดนประทานพรที่พลังวิญญาณมารวมกันอย่างแท้จริง ดีเสียยิ่งกว่าป่าหม่อนที่เขาหาเจอในตอนแรก อีกทั้งยังมีสิ่งบ่งชัดว่าวัสดุวิญญาณอย่างไผ่วิญญาณหยกขจีใกล้ถือกำเนิดแล้ว
แต่ในขณะเดียวกันนี้
ชายหนุ่มเข็มขัดหยกและชายชราหมวกดำสังเกตได้ถึงความเคลื่อนไหวที่นี่ และมองมาพร้อมกัน
“นั่นท่านเจ้าเมืองฟู่ซานงั้นหรือ?” ชายหนุ่มเข็มขัดหยกถามพร้อมหัวเราะเสียงดัง
เขาอายุเพียงสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี ทว่าท่าทางนั้นดูมีภูมิฐานอย่างยิ่ง
แม้แต่ฟู่ซานที่เป็นถึงเจ้าเมือง ยังกลายเป็นดูธรรมดา
“เป็นข้าเอง ขอถามอะไรทั้งสองคงได้กระมัง?”
ฟู่ซานคือผู้มีประสบการณ์มากมาย เขาจึงเห็นถึงความไม่ธรรมดาจากทั้งสองคนแม้มองเพียงแค่ชั่วครู่ พลันลอบส่งสัญญาณให้กลุ่มทหารคุ้มกันข้างกายประจำอยู่บนเรือข้ามฟากไม่ต้องลงไปยังเกาะ
และจากนั้นพร้อมกันกับซูอี้ เขาลงเหยียบเกาะไผ่วิญญาณ
“ข้าชื่อจางเยวี่ยนซิง มาจากตระกูลจางแห่งมหานครอวิ๋นเหอของเขตปกครองอวิ๋นเหอ”
ชายหนุ่มเข็มขัดหยกยิ้มและประสานมือคารวะ “เจ้าเมืองฟู่ ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินบิดากล่าวขาน ในบรรดาสิบเก้าเมืองแห่งเขตปกครองอวิ๋นเหอ มีผู้เยี่ยมยุทธ์ไม่กี่คนเท่านั้นที่ควรค่าแก่การยกย่อง และเจ้าเมืองฟู่คือหนึ่งในนั้น ขณะนี้ข้าได้เห็นแล้วว่าท่านไม่ธรรมดาสมคำร่ำลือ”
มหานครอวิ๋นเหอ ตระกูลจาง!
รูม่านตาของฟู่ซานหรี่ลงเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมขึ้นมากก่อนจะกล่าวคำ “ขอทราบชื่อบิดาของคุณชายได้หรือไม่?”
ชายชราสวมหมวกดำผู้อยู่ข้างชายหนุ่มตอบแทนอย่างภาคภูมิ “นายแห่งข้าคือผู้นำตระกูลจางคนปัจจุบัน!”
ใจของฟู่ซานสะท้าน การแสดงออกของเขายิ่งเคร่งเครียด ถ้อยคำกล่าวออก “เป็นเช่นนี้นี่เอง คำชมเชยจากผู้ยิ่งใหญ่เช่นบิดาท่าน ฟู่ผู้นี้ลอยล่องแล้ว”
จางเยวี่ยนซิงยิ้มเล็กน้อย ราวกับทราบว่าฟู่ซานจะตอบสนองเช่นนี้อยู่ก่อน ถ้อยคำกล่าวตอบ “เจ้าเมืองฟู่คงไม่กล่าวโทษที่ข้ามาโดยไร้การรับเชิญกระมัง?”
ฟู่ซานส่ายศีรษะตอบคำ “มิกล้า”
จางเยวี่ยนซิงพยักหน้า จากนั้นจึงหันมองยังซูอี้ที่อยู่ด้านข้างฟู่ซาน คิ้วของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม ถ้อยคำกล่าวออก
“เมื่อคืนนี้ ข้าก็อยู่ที่งานประลองประตูมังกรเช่นกัน ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างคุณชายซูกับโม่เทียนหลิงแล้ว กล่าวคือยอดเยี่ยมนัก ทำเอาข้านึกทึ่ง”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เขาจึงยิ้มและกล่าวออก “อย่างไรแล้ว ข้าก็เคยได้ยินเรื่องบางประการของคุณชายซูในตอนนั้นด้วย ได้ทราบมาว่าสถานการณ์ในตระกูลเหวินของคุณชายซูตอนนี้… ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก หากท่านต้องการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ข้าสามารถให้ความช่วยเหลือได้”
ฟู่ซานอดยิ้มกริ่มในใจไม่ได้ แม้คุณชายตระกูลจางจากมหานครอวิ๋นเหอผู้นี้ จะเป็นชนชั้นสูงและไม่ธรรมดาโดยแท้จริง แต่ทว่าซูอี้ที่อยู่ข้างกายเขานั้น แม้แต่เจ้าผู้ครองเขตปกครองหลิงเหยายังต้องเรียกว่า ‘ท่าน’ ด้วยความนอบน้อม!
มีหรือคุณชายซูจะต้องการให้นายน้อยที่ยังไม่มีอำนาจอิทธิพลแท้จริงเข้าช่วย?
ซูอี้เปรยตามอง ประหนึ่งพบเรื่องขำขันต่อชายหนุ่มผู้มั่นใจในตนเองล้นพ้น สีหน้านั้นเรียบเฉยกล่าวคำตอบ “เคยได้ทราบถ้อยคำ ผู้ใดทำดีโดยไร้เหตุ ผู้นั้นย่อมเจตนาร้ายหรือไม่?”
แววตาของชายชราในหมวกสีดำแสดงความเย็นชาทันที ถ้อยคำเอ่ยขึ้น “เจ้าหนุ่ม ขอระวังปากและวาจา บางครั้งโชคร้ายนั้นมาจากปากเจ้า!”
จางเยวี่ยนซิงยิ้มและโบกมือ ก่อนจะกล่าวอย่างไม่ถือสา “ผู้เฒ่าสงอย่าได้มีโทสะไป คุณชายซูเป็นคนปากเร็วใจถึง ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าประทับใจนัก”
หลังหยุดพูดไปครู่หนึ่ง เขากล่าวต่อซูอี้ “คุณชายซูอย่าได้กังวลจนเกินเหตุ เหตุที่ข้าอยากช่วยก็เพราะประทับใจในความสามารถและความสำเร็จทางการบ่มเพาะของท่าน บุรุษที่เก่งกล้าเช่นท่านหากต้องติดอยู่ในเมืองกว่างหลิงเล็กจ้อยแห่งนี้ มันคงไม่ต่างอะไรกับมุกที่โดนฝุ่นจับอย่างไม่ต้องสงสัย!”
แววตาซูอี้แปรเปลี่ยน เขาไม่เคยได้ยินผู้อื่นพูดกล่าวกับตนเช่นนี้นานมากแล้ว
พบเห็นซูอี้ไม่พูดกล่าว จางเยวี่ยนซิงนึกคิดว่าอีกฝ่ายลังเล เขายิ้มด้วยคิดว่าตนเองรู้เท่าทัน ก่อนจะเอ่ยคำขึ้นต่อ
“คุณชายซูวางใจ หากยินดีไปกับข้า ข้าพร้อมจะสนับสนุนให้ท่านฉายแสงที่มหานครอวิ๋นเหอ ถึงตอนนั้นท่านจะมีชื่อเสียงโด่งดัง!”
ซูอี้เกิดประหลาดใจ “เจ้ากำลังหมายความถึง… จะให้ข้าติดตามเจ้าในฐานะผู้ติดตาม?”
ชายชราสวมหมวกดำฮึมฮัมใส่อย่างเย็นชา “ทั่วทั้งเขตปกครองอวิ๋นเหอ มีคนหนุ่มสาวมากมายพร้อมตามรับใช้นายน้อยของข้า แต่มีน้อยคนจะเป็นที่ประทับใจของนายน้อย!”
คล้ายนึกคิดว่าซูอี้ไม่เข้าใจความหมายถ้อยคำ ชายชราหมวกดำจึงเอ่ยคำเสริม
“แม้ขณะนี้ในเมืองกว่างหลิงตัวเจ้าจะโด่งดังเพราะชนะเลิศในงานประลองประตูมังกร แต่ที่มหานครอวิ๋นเหอ มีหนุ่มสาวมากมายที่เทียบเท่าหรือสูงส่งกว่าเจ้า!”
ท้ายที่สุด มุมปากของชายชราเชิดขึ้นเล็กน้อย ถ้อยคำตบท้ายกล่าวออก “เวลานี้คงได้ทราบแล้วกระมัง ว่าการที่นายน้อยประทับใจในตัวเจ้า ถือเป็นวาสนาอันมากล้นเพียงใด?”
ขณะนี้เอง ฟู่ซานพยายามเก็บอาการสุดฤทธิ์ หากไม่ใช่เพราะตัวตนของอีกฝ่าย เขาคงหัวเราะออกไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ฟู่ซานทราบดี ไม่ว่าจะเป็นจางเยวี่ยนซิงหรือผู้เฒ่าสง คนทั้งคู่นี้หาได้ทราบเรื่องราวเบื้องหลังของคุณชายซูผู้นี้ไม่
หากไม่แล้ว ก็คงไม่กล้า ‘ชี้แนะ’ คุณชายซูด้วยท่าทีอหังการเช่นนี้
ซูอี้รู้สึกพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวคำใด
เหมือนอีกฝ่ายจะมีเจตนาดี… กระมัง?
“ท่านยังมีเวลาให้ครุ่นคิด ข้าจะเดินทางออกจากเมืองกว่างหลิงในอีกสามวัน ก่อนถึงเวลานั้น ค่อยกล่าวบอกการตัดสินใจให้เจ้าเมืองฟู่ทราบได้”
จางเยวี่ยนซิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ดูสง่างาม ทว่าแฝงความเหยียดหยามด้วยเป็นผู้แข็งแกร่งกว่า
จากนั้นเขาจึงหันมองไปที่ฟู่ซานอีกครั้งพร้อมเอ่ยคำ “ถึงคุณภาพไผ่วิญญาณหยกขจีที่นี่จะธรรมดามาก กระนั้นก็ยังหายาก ข้าคิดลงทุนซื้อมันสักสองลำ ไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองฟู่พอจะมีน้ำใจหรือไม่?”
ฟู่ซานกล่าวอย่างร่าเริง “สองต้นใดที่คุณชายจางชอบ ข้าพร้อมมอบให้คุณชาย!”
จางเยวี่ยนซิงส่ายหน้าและกล่าวตอบ “ท่านเจ้าเมืองฟู่ ทุกคนในเขตปกครองอวิ๋นเหอต่างทราบดี ว่าจางเยวี่ยนซิงผู้นี้เกลียดการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อเอาผลประโยชน์”
“ผู้เฒ่าสง เมื่อกลับไปที่เมืองแล้วช่วยนำหินวิญญาณมาหนึ่งร้อยก้อน นำส่งไปที่จวนท่านเจ้าเมืองด้วย”
ชายชราสวมหมวกดำข้างกายพยักหน้า
ไม่ช้าจางเยวี่ยนซิงจึงนำเอาไผ่วิญญาณหยกขจีสองลำมาด้วยตัวเอง ก่อนนั่งเรือจากไปพร้อมกับผู้เฒ่าสง
ก่อนที่จะจากไป ชายหนุ่มผู้สูงส่งจากตระกูลจางแห่งมหานครอวิ๋นเหอผู้นี้ ยังไม่ลืมกล่าวเตือนซูอี้
“ลมดีย่อมเป็นแรงหนุน และข้าจางเยวี่ยนซิงผู้นี้ สามารถส่งท่านให้ไปเหนือเมฆได้!”