บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 580 ขอและให้
ตอนที่ 580: ขอและให้
ตอนที่ 580: ขอและให้
ซูอี้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ พลันนึกอะไรขึ้นได้ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นมา “ข้าสามารถรับปากเจ้าในเรื่องนี้ได้ แต่เจ้าจะต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง”
นกกระจอกสีเทาเบิกตากว้าง มอบโอกาสโชคลาภของโลกกว้างให้กับเจ้าเช่นนี้แล้ว ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณไม่ว่า ยัง… ยังจะกล้าตั้งเงื่อนไขอีก?
นกกระจอกสีเทาโกรธจนอยากจะด่าออกมา คน ๆ นี้กิเลศหนาบังตา จะโลภเกินไปแล้ว!
ทว่าอาคังกลับกล่าวเบา ๆ “เชิญสหายเต๋ากล่าวมาได้”
“มอบเลือดของเจ้าให้ข้า ไม่ต้องมาก สามหยดก็พอแล้ว” ซูอี้กล่าว
นกกระจอกสีเทาเปลี่ยนสีในทันใด ไม่อาจทนได้อีกต่อไป แผดเสียงร้อง “เจ้าหนุ่ม จะเกินไปแล้ว!”
อาคังนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ดวงตาสดใสเป็นประกายประดุจดวงดาวส่อแววประหลาดขึ้นมา ก่อนจะกล่าวคำออก “ที่แท้ สหายเต๋ามองที่มาของข้าออกตั้งแต่แรกแล้ว”
ซูอี้ส่ายหน้า กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “หากว่าข้ามีใจหวังจะได้อะไรจากเจ้า จะขอเพียงเลือดสามหยดง่าย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?”
อาคังครุ่นคิดสักครู่ จึงตอบ “ได้!”
ปลายนิ้วของนางขยับ ฉับพลันเลือดสีทองสามหยดก็ไหลออกมา แต่ละหยดส่องประกายเรืองรองจรัสแสง แพรวพราวไปด้วยโอกาสรอดอันเข้มข้นจนน่าตกใจ
นกกระจอกสีเทาเห็นแล้วทั้งตื่นตระหนกทั้งเจ็บใจ ก่อนจะกล่าวคำ “อาคัง เลือดของเจ้า…”
อาคังส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้าตัดสินใจแล้ว”
จากนั้น อาคังก็ผนึกเลือดสามหยดนี้บรรจุลงในขวดหินสีดำ จากนั้นจึงยื่นให้ซูอี้ “สหายเต๋าได้โปรดรับไว้ด้วย”
ถึงแม้จะบีบเลือดออกมาเพียงแค่สามหยดเท่านั้น ทว่าใบหน้างดงามเลือนรางของสาวน้อยกลับขาวซีดขึ้นมา
ซูอี้รับขวดหินสีดำนั้นมา สายตามองไปที่อาคังด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนจะกล่าวคำออก
“เอาเถิด ผลต้นและกรรมของเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงนี้ข้ารับมาแล้ว ส่วนเลือดสามหยดนี้คือจุดเริ่มต้นของวาสนาที่ข้ากับเจ้าสร้างร่วมกัน”
อาคังเผยรอยยิ้มออกมา ในสายตาเต็มไปด้วยความปีติยินดี จากนั้นก็โค้งคำนับน้อย ๆ พลางกล่าว “ขอบคุณสหายเต๋ามาก!”
พูดจบ นางก็มอบกล่องหินที่ผนึกเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงใบนั้นให้
นกกระจอกสีเทามองดูภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้วได้แต่ถอนใจ
“วันข้างหน้าเมื่อต้นกำเนิดแห่งคังชิงนี้สลายไป หากว่าเจ้าไม่มีที่จะไป สามารถมาหาข้าได้”
ซูอี้เก็บกล่องหินไว้แล้วกล่าว “เชื่อว่าด้วยความสามารถของเจ้า ต้องการจะตามหาตัวข้าไม่ใช่เรื่องยาก”
พูดจบ เขาก็แบกโต้วโค่วขึ้นหลังหมุนตัวเดินจากไป
“หากว่ามีโอกาส ข้าจะไปพบสหายเต๋าอีกครั้ง”
อาคังกล่าวเบา ๆ
ทันใด ซูอี้หยุดยืนอยู่ตรงหน้าซากศพของหยวนหมอเทียนราชันย์ปีศาจพระสุเมรุ คิดสักครู่ เขาจึงตวัดดาบขจีบริสุทธิ์ฟันหลุมฝังศพแห่งนั้น
จากนั้น เขาก็ฝังร่างของหยวนหมอเทียนด้วยตนเอง จัดแจงเสร็จสรรพจึงหยิบเอาก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งมาสลักเป็นแผ่นป้าย ตั้งหน้าหลุมฝังศพ
ฉึบ! ฉึบ!
เศษหินปลิวว่อน ซูอี้ใช้ดาบขจีบริสุทธิ์แทนพู่กัน สลักอักษรปีศาจโบราณบนป้ายว่า
‘สุสานของหยวนหมอเทียน’
ไม่มีคำนำหน้าใด ๆ
ด้วยอดีตอันรุ่งเรืองเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ของหยวนหมอเทียน จึงไม่จำเป็นต้องมีคำนำหน้าใด ๆ
ขอเพียงผู้ฝึกตนในโลกมองเห็นชื่อ ๆ นี้แล้ว ก็ต้องรู้ว่าคนที่ถูกฝังอยู่ในหลุมศพแห่งนี้เป็นตัวตนระดับใด
ชิ้ง!
ดาบขจีบริสุทธิ์ส่งเสียงดังเบา ๆ ราวกับซาบซึ้งใจ
เห็นเช่นนี้แล้ว ซูอี้พลันหัวเราะ เขาเอาดาบขจีบริสุทธิ์ติดตัวมา ฝังศพของหยวนหมอเทียนให้เขาได้ไปดี ถือได้ว่าเป็นการ ‘ตอบแทน’ อีกแบบหนึ่งเช่นกัน
“ใช่แล้ว”
ซูอี้ต้องการจะจากไปอยู่แล้ว พลันคิดสักครู่ หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง สลักหยกชิ้นนั้นด้วยจิตสัมผัส
จากนั้น เขาก็โยนหยกไปให้อาคังที่อยู่ไกลมากพลางกล่าว “ในเมื่อเป็นวาสนา ข้าซูผู้นี้จะไม่แสดงน้ำใจจากข้าไม่ได้ เคล็ดวิชาในหยกชิ้นนี้ บางทีอาจมีประโยชน์สำหรับเจ้า”
พูดจบ เขาไม่อยู่ต่ออีก แล้วก็สาวเท้าก้าวใหญ่ ๆ เดินออกไป
ชุดยาวสีเขียวโบกสะบัด ค่อย ๆ หายลับไปอย่างช้า ๆ
จนกระทั่งมองไม่เห็นร่างของซูอี้อีก อาคังพึมพำขึ้นมาเบา ๆ “สามหมื่นปีแล้ว ในที่สุดข้าก็รอจนพบโอกาสพลิกผันจนได้…”
เสียงของสาวน้อยแฝงไว้ซึ่งความยินดีและตื้นตันอยู่ลึก ๆ ในใจ
นกกระจอกสีเทากล่าวอย่างไม่พอใจ “อาคัง เพียงแค่มองก็รู้ว่าคน ๆ นั้นไม่ใช่คนดีอะไรเลย เขาจะต้องมองภูมิหลังของเจ้าจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ถึงได้ขอเลือดสามหยดนั้น แต่เจ้าก็ยังรับปากเขา แม้กระทั่งของพิเศษอย่างเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงเช่นนี้ก็ยังมอบให้แก่เขา ช่าง… ช่างไร้สติเสียจริง!”
สาวน้อยยิ้ม ๆ ชุดกระโปรงสีฟ้าปุยเมฆสะบัดพลิ้ว นางก้าวเดินมาอยู่ตรงหน้านกกระจอกสีเทา พลางกล่าวอ่อนโยน “นี่เป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ นกกระจอกน้อย ตอนนี้เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่วันข้างหน้า…จะต้องเข้าใจได้…”
“วันข้างหน้า?”
นกกระจอกสีเทาหัวเราะ เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจเอามาก จากนั้นจึงกล่าวคำออก “ข้าเพียงแค่อยากจะรู้นักว่า ที่แท้แล้วเพราะเหตุอันใดกันจึงทำให้เจ้าตัดสินใจเช่นนี้ได้?”
อาคังนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “เพราะความที่เขาเป็นเพียงแค่คนหนุ่มในขอบเขตรวบรวมดารา แต่กลับสามารถสังเกตเห็นโอกาสลี้ลับมากมายในสถานที่แห่งนี้ ทั้งยังมองพื้นเพของข้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะความที่เขาสามารถแก้พลังกักขังแห่งยุคมืดอันมาจากนอกดวงดาวอย่างง่ายดาย”
นิ่งเงียบไปสักครู่ นางกล่าวเบา ๆ “ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ จิตใต้สำนึกบอกกับข้าว่า อาศัยพลังลึกลับซึ่งไม่อาจคาดเดาได้ในตัวสหายซู ก็เพียงพอที่จะปกป้องเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงได้ และเพิ่มโอกาสรอดของที่มาแห่งคังชิงไม่ให้สูญหายไปในกาลเวลา!”
นกกระจอกสีเทานิ่งเงียบไปนานจึงกล่าว “ข้ายอมรับว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นค่อนข้างพิเศษ ไม่ใช่คนที่ผู้ฝึกตนทั่วไปในโลกนี้จะสามารถเทียบเคียงได้ เพียงแต่ว่า… อาคัง เจ้ามองเขาสูงจนเกินไปหรือไม่?”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เสียงของเขาก็เคร่งเครียดลง “อย่าลืมว่า ในตอนนั้นลิงน้อยถึงขั้นวิถีจักรพรรดิของขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำแล้ว แต่ภายใต้พายุดวงดาวถาโถมนั้น สุดท้ายก็ยังต้องประสบเคราะห์ร้าย เจ้าคงไม่คิดว่าหนุ่มคนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าลิงน้อยกระมัง?”
อาคังถอนใจ “ลิงน้อยในตอนนั้นไม่สามารถต้านทานพลังการกักขังแห่งยุคมืดได้”
นกกระจอกสีเทานิ่งเงียบไป ไม่อาจตอบโต้ได้
นิ่งเงียบไปนาน นกกระจอกสีเทาถาม “อาคัง เอาหยกที่หนุ่มคนนั้นมอบให้มาดูสิว่าที่แท้แล้วซ่อนอะไรเอาไว้กันแน่”
อาชังกล่าวหยอกล้อ “เจ้าดูแคลนสหายเต๋าซูมากเลยไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงรู้สึกสนใจในสิ่งที่เขามอบให้?”
นกกระจอกสีเทาร้องฮึ “ข้าไม่สนใจหรอก แต่สงสัยว่าคน ๆ นี้จะคิดไม่ดี หากว่าในแผ่นหยกที่เขาทิ้งไว้ให้นี้เป็นหนังสือสารภาพรักต่อเจ้า จะทำเช่นใด? ข้าไม่อยากให้คนโลกอย่างนั้นมาหลอกผู้หญิงดี ๆ เช่นเจ้า”
อาคัง “…”
สาวน้อยง้างมือขึ้นมาอยากจะตบนกกระจอกสีเทาบ้าที่ไม่เลิกนิสัยปากคอเราะร้ายตัวนี้
นกกระจอกสีเทากระพือปีกหลบในทันใด กล่าว “ร้อนใจอะไร ข้าก็เพียงแค่สงสัยเท่านั้น ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นสักหน่อย เจ้ารีบเอาหยกมาดูเร็ว”
อาคังเบะปาก นางเข้าใจสันดานของนกกระจอกสีเทาเป็นอย่างดี และคร้านจะคิดเอาความด้วย พอพลิกฝ่ามือ หยกชิ้นนั้นก็ปรากฏ
จิตสัมผัสของนางสอดส่องเข้าไป
เพียงแค่ชั่วครู่เดียว สาวน้อยผู้มีใบหน้างดงามเลือนรางนี้ถึงกับตกตะลึง ดวงตาสว่างสดใสดุจดวงดาวค่อย ๆ เบิกกว้างขึ้นทีละน้อย นิ้วมือเรียวขาวเนียนนุ่มสั่นระริกขึ้นมาราวกับไม่อาจควบคุมไว้ได้
“นี่…”
สีหน้าของนางตื่นตระหนก บนใบหน้าเต็มไปด้วยอาการตื่นตะลึงไม่อยากจะเชื่อ
นกกระจอกสีเทาเบิกตากว้าง อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “มีเหตุอันใด เหตุใดเจ้าจึงตกใจถึงเพียงนี้? คงไม่ใช่… เพราะข้าเดาถูกกระมัง? รีบเอามาให้ข้าดูเร็ว”
พูดจบ นกกระจอกสีเทาก็เขยิบเข้ามาใกล้โดยเร็ว จิตสัมผัสสอดส่องเข้าไปในตัวหยก
หลังจากนั้นสักพักใหญ่ ๆ มันก็ทำท่าราวกับถูกฟ้าผ่า ร่างถอยเซไปข้างหลังหลายก้าว ขนลุกชันทั้งตัว ทำท่าราวกับขนระเบิด พูดอึก ๆ อัก ๆ “เขา เขา…”
ตื่นตะลึงจนพูดไม่ได้ศัพท์
อาคังสูดหายใจลึก ๆ กล่าว “ตอนนี้เจ้าคงจะเข้าใจแล้วว่า วาสนานี้… ได้มาไม่ง่ายเลยกระมัง?”
ในแผ่นหยกนั้นคือเคล็ดวิชาที่มีชื่อว่า ‘ไฟหลอมรวมเทพ’
เป็นเคล็ดวิชาโลกกว้างที่ใช้สำหรับฝึกฝนระดับวิถีวิญญาณโดยเฉพาะ
ในความทรงจำและการรับรู้ของอาคัง ด้วยสติโดยกำเนิดเช่นนางนี้ หากว่าต้องการจะฝึกตน แทบจะต้องเริ่มจากสายวิถีการฝึกตนในโลก
ดังหยวนหมอเทียนที่เหมือนกับนาง ต้องศึกษาวิถีพุทธ วิถีเต๋า และวิถีขงจื่อ สุดท้ายจึงรวมเป็นหนึ่งเตาหลอม ย่างก้าวสู่หนทางแห่งขอบเขตจักรพรรดิ
ซึ่งต่างไปจากที่ซูอี้มอบให้ เป็นคัมภีร์เต๋าสูงสุดที่เตรียมไว้สำหรับตัวตนเช่นนาง เป็นหนทางการฝึกตนอย่างสมบูรณ์ที่เหมาะสมต่อพวกนาง!
เช่นนี้พบเห็นได้น้อยมาก!
อย่างน้อย ๆ ในการรับรู้ของอาคัง บนมหาทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นปีก่อน แทบไม่เคยเห็นเคล็ดวิชาเช่นนี้มาก่อน
มิเช่นนั้น หยวนหมอเทียนในตอนนั้นก็คงไม่ถึงกับต้องไปกราบอาจารย์ในแต่ละสายวิถี!
อึก!
นกกระจอกสีเทากลืนน้ำลายด้วยความยากลำบาก กล่าวพึมพำ “อาคัง เจ้าว่าถ้าตอนนี้ข้าจะไปกอดขาเจ้าหนุ่มคนนั้น ยังทันหรือไม่?”
อาคัง “…”
——
นอกประตูจองจำ
วิ้ว~!
เมื่อคลื่นปริศนากระจายตัวออกไปบนประตูสำริดบานนั้น
ฉับพลันร่างของซูอี้ก็เดินออกมาจากประตูจองจำบานนั้น กลับเข้าสู่พื้นที่อันกว้างขวางมืดมิดแห่งนั้น
เขาไม่รีบร้อนที่จะจากไป มาถึงสนามประลองแห่งเดิม แล้วจึงวางตัวโต้วโค่วไว้อีกด้าน ส่วนตัวเองนั่งขัดสมาธิ หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาจากขวดแล้วกินเข้าไป จากนั้นก็นั่งสมาธิเงียบ ๆ
การบุกเข้าสู่ ‘เวิ้งเก้าดารา’ นั้น เพื่อต้านทานการบุกโจมตีของพลังการกักขังแห่งยุคมืดตลอดทาง ซูอี้จำเป็นต้องหยิบยืมพลังดาบเก้าคุมขังอย่างต่อเนื่อง
ทำให้พลังจิตวิญญาณของเขาลดน้อยลงไปมากเช่นกัน
ทว่า การเดินทางในครั้งนี้ยังถือได้ว่าราบรื่น ไม่มีอันตรายใด ๆ อีกทั้งยังได้รับมากกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก
ทั้งไขข้อสงสัยมากมายที่เกี่ยวกับการกักขังแห่งยุคมืด ต้นกำเนิดแห่งคังชิง กับแสงสว่างแห่งโลกกว้าง และยังได้รับโชคชะตาซึ่งหาพบได้ยากมากถึงสองอย่าง!
ก่อนที่ซูอี้จะมาถึงเกาะเซียนพระสุเมรุ ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
“เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงเป็นโอกาสรอดของโลกมหาทวีปคังชิงดั้งเดิม ได้มันมา ถึงแม้จะต้องรับผลต้นและกรรมที่ตามมา แต่เมื่อเทียบกันแล้ว มูลค่าของมันมีมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย”
ซูอี้พลางนั่งสมาธิ พลางครุ่นคิด
ผลต้นและกรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง มีเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือสักวันหนึ่ง เมื่อพายุดวงดาวจากดาวนอกเขตแดนบุกโจมตีมาอีกครั้ง มันจะต้องทำลายโอกาสรอดอันเป็นสิ่งดั้งเดิมของคังชิงให้หมดสิ้นไป!
และซูอี้ผู้ครอบครองเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงจะต้องได้รับผลกระทบตามไปด้วย
หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจริง ถือเป็นภัยอันตรายอันน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย!
ในช่วงวันเวลาที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีขุมกำลังเก่าแก่มากมายเพียงใดที่ต้องล่มสลายไปจากที่ตรงนี้เพื่อรอภัยพิบัติ แม้กระทั่งบุคคลในขอบเขตจักรพรรดิเหล่านั้นก็ยังไม่อาจต้านทานทั้งหมดนี้ไว้ได้
การดับร่วงของหยวนหมอเทียนก็คือตัวอย่างที่ดี!
แต่ทว่าซูอี้ไม่กังวลในสิ่งเหล่านี้มากนัก
เขาผู้มีดาบเก้าคุมขัง ไม่เกรงกลัวว่าจะถูกโจมตีจากการกักขังแห่งยุคมืด
สิ่งเดียวที่ยากสักหน่อยก็คือไม่รู้ว่าเมื่อพลังพายุดวงดาวนั้นระเบิดขึ้นมาจริง ๆ จะน่ากลัวเพียงใด
แน่นอนว่า การกังวลเรื่องเหล่านี้ยังเร็วเกินไปสำหรับตอนนี้
เพราะอย่างไรเสีย ไม่มีใครรู้ว่า ในภายภาคหน้าภัยพิบัติยิ่งใหญ่เช่นนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่
อีกทั้งเมื่อเทียบกับผล ‘ต้นและกรรม’ เหล่านี้แล้ว เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงมีประโยชน์ต่อการฝึกตน สามารถใช้คำว่าเหลือคณามาอธิบายได้
ยิ่งกว่านั้น สามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘วาสนา’ ที่บุคคลในขอบเขตจักรพรรดิผู้ใดก็ต้องการอยากจะได้!