บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 582 กระแนะกระแหน
ตอนที่ 582: กระแนะกระแหน
ตอนที่ 582: กระแนะกระแหน
เวิ้งเก้าดารา
แคร็ก!
ทันใดนั้น บรรพพฤกษ์ที่มีซากดาราห้อยโหนอยู่มากมาย กิ่งไม้ขนาดใหญ่ประหนึ่งคีรีหัก ร่วงหล่นลงจากกลางอากาศ
“แย่แล้ว! เกิดเรื่องใหญ่กับต้นกำเนิดแห่งคังชิงแล้ว!”
นกกระจอกสีเทาตะโกนด้วยความตื่นตระหนก
ใบหน้างดงามของอาคังเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ พร้อมเอ่ยเศร้า ๆ “สิ่งนี้ปกติยิ่ง เมื่อไร้ชีวิตชีวาที่มีอยู่ในเมล็ดพันธุ์คังชิง ต้นกำเนิดแห่งคังชิงนี้เห็นทีคงต้องแตกหักก่อนเวลา…”
“ข้าคิดไว้แล้ว ปล่อยให้เจ้าหมอนั่นนำเมล็ดพันธุ์คังชิงไปด้วยต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่!”
นกกระจอกสีเทาหงุดหงิด
อาคังอดขำไม่ได้ “ก่อนหน้านี้เจ้ายังบอกอยู่เลยว่าจะไปพะเน้าพะนอสหายเต๋าซู เหตุใดตอนนี้ถึงได้เปลี่ยนความคิด ความเร็วในการเปลี่ยนอารมณ์ของเจ้าไวยิ่งกว่าพลิกหน้าตำราเสียอีก”
นกกระจอกสีเทาตาโต “อาคัง นี่มันเวลาอะไร เจ้ายังหัวเราะออกอีกหรือ”
อาคังนั่งยอง ๆ อยู่ตรงนั้น แขนเรียวกอดอก สายตาทอดมองกิ่งก้านที่มีซากดาราห้อยลงมาคณานับ พร้อมเอ่ยเสียงเบา “เจ้ากับข้าต่างรู้ดี ช้าเร็ววันนี้ก็ต้องมาถึง บัดนี้แค่เกิดขึ้นก่อนกำหนดระยะหนึ่งเท่านั้น”
นกกระจอกสีเทาเงียบไปครู่หนึ่ง “อาคัง พวกเรากับเจ้าลิงน้อยเคยร่วมสาบานกันในอดีต ว่าจะคอยพิทักษ์ต้นกำเนิดแห่งคังชิงไม่ห่าง แต่ถ้าหลังจากนี้ต้นกำเนิดแห่งคังชิงต้องหายไป แล้วพวกเราเล่า ต้องไปอยู่ที่ใด”
อาคังผงะ ก่อนจะส่ายหัวพลางกล่าว “ถกกันเรื่องนี้ในเวลานี้ยังเร็วเกินไป เท่าที่ข้าคาดการณ์ไว้ ต่อให้ปราศจากเมล็ดพันธุ์คังชิง กว่าต้นกำเนิดแห่งคังชิงจะสลายไปอย่างสมบูรณ์ก็เป็นเรื่องของหนึ่งปีให้หลัง
“หนึ่งปี? เวลาแค่นี้ พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว ถ้าพวกเราไม่เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้ ถึงตอนนั้น หลังจากต้นกำเนิดแห่งคังชิงสูญสลาย เวิ้งเก้าดาราแห่งนี้ก็ต้องพังทลายลงจนกลายเป็นซากปรักหักพังแน่!”
นัยน์ตานกกระจอกสีเทาวูบไหว เสียงทุ้มต่ำ
“แต่เช่นเดียวกัน หากเรื่องราวดำเนินไปเช่นนี้จริง ๆ พวกเราก็ไม่ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเพราะคำสาบานในครานั้น”
สายตาอาคังฉายแวววาดฝัน “เจ้านกกระจอกน้อย ถึงตอนนั้นพวกเราก็เอาอย่างเจ้าลิงน้อยในอดีต ออกไปผจญภัยในโลกกว้าง เสาะหามหาวิถีเป็นอย่างไร?”
นกกระจอกสีเทาชะงัก ก่อนจะเอ่ยอย่างเต็มตื้น “ข้ามีความตั้งใจเช่นนี้อยู่แล้ว! เจ้าลิงน้อยในครานั้นยังก่อตั้งสำนักได้ กลายเป็นราชันย์ปีศาจพระสุเมรุที่ใต้หล้าเคารพนับถือ มิหนำซ้ำ ด้วยรากฐานและพลังวิถีของเราสอง ไยต้องกังวลว่าจะพิทักษ์ความสงบของใต้หล้าไว้ไม่ได้”
อาคังตอบอืม พลันนึกบางอย่างขึ้นได้ “ข้าต้องเตือนสหายเต๋าซูเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของต้นกำเนิดแห่งคังชิง”
พูดจบ ร่างบางระหงของนางก็ลุกขึ้น
…..
เมื่อออกจากทางเข้าถ้ำใต้ดินแล้ว
ปราณหยินวิญญาณเหมันต์คละคลุ้งออกไปดั่งม่านหมอก
ทว่าเมื่อซูอี้พาโต้วโค่วไปถึง ม่านหมอกเหล่านั้นกลับหลีกทางออกราวกับมีญาณหยั่งรู้
ในใจซูอี้รู้ดีว่าปราณหยินวิญญาณเหมันต์นี้เดิมมาจากพลังของอาคัง เวลาเช่นนี้ ย่อมไม่อยู่ขวางตัวเอง
โต้วโค่วกลับรู้สึกเหมือนได้เปิดโลก ยิ่งใคร่รู้ขึ้นมาในใจ คนหนุ่มชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้มีพื้นเพอย่างไรกันแน่ พลังแค่ขอบเขตรวบรวมดาราเท่านั้น กลับเรียกได้ว่าเก่งกล้าสามารถ ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้!
ทันใดนั้น ปราณหยินวิญญาณเหมันต์สายหนึ่งหลอมรวมกลายเป็นเงาอรชรแสนเลือนราง ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเส้นทางของซูอี้
“อาคัง?”
ซูอี้ชะงัก
เงาอรชรร่างนั้นโค้งตัวน้อย ๆ ขณะเดียวกัน เสียงเย็นยะเยือกดั่งสายน้ำเสียงหนึ่งดังอยู่ข้างหูซูอี้
“สหายเต๋าซู อีกหนึ่งปีเป็นอย่างมาก แหล่งกำเนิดคังชิงก็จะสลายก่อนกำหนด หวังว่าสหายเต๋าจะเตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ”
ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าพลางพูด “ข้าเข้าใจแล้ว”
“สหายเต๋ารักษาตัวด้วย”
ซ่า~!
ร่างอรชรของอาคังกลายเป็นปราณหยินวิญญาณเหมันต์ก่อนจะสลายไป
“ถ้าอย่างนั้น แสงสว่างแห่งโลกกว้างคงต้องมาก่อนกาลสินะ…”
ซูอี้เอ่ยกับตัวเอง
เขาย่อมรู้ดีกว่าการเปลี่ยนแปลงของแหล่งกำเนิดคังชิงเกี่ยวข้องกับเมล็ดพันธุ์คังชิงที่เขาเอาไป
หรือก็คือ เป็นเพราะเขานำเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงออกไปวันนี้ จึงส่งผลให้แหล่งกำเนิดคังชิงที่พลังต้นกำเนิดสึกกร่อนลงไปมากอยู่แล้ว เร่งเวลาการสลายให้เร็วขึ้น
และเพราะเช่นนี้ จึงส่งผลให้แสงสว่างแห่งโลกกว้างที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า กลับกลายเป็นเกิดขึ้นในเวลาอีกราว ๆ หนึ่งปี!
“หนึ่งปีอย่างนั้นหรือ? …นับว่าเพียงพอแล้ว!!”
นัยน์ตาของซูอี้ฉายแววลึกล้ำ
ด้วยความเร็วในการฝึกฝนของเขา อย่าว่าแต่หนึ่งปีเลย ขอเพียงไม่ขาดแคลนทรัพยากรการฝึก ภายในครึ่งปี เขาจะฝึกฝนได้ถึงขอบเขตหลอมรวมดาราขั้นสมบูรณ์ หรือกระทั่งก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!
ถึงเมื่อนั้น ฟ้าดินเปลี่ยนผัน ปฐพีโกลาหล ใต้หล้าจลาจล เขาเองก็ไม่ได้เกรงกลัวต้องช่วงชิงความเป็นหนึ่งกับผู้อื่น!
“สหายเต๋า เมื่อครู่นั่นคือ?”
โต้วโค่วถามอย่างอดไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางก็ได้เห็นเงาของอาคังซึ่งก่อร่างขึ้นจากปราณหยินวิญญาณเหมันต์ เพียงแต่เลือนรางเกินไป จึงมองเห็นรูปโฉมไม่ชัด และไม่ได้ยินกระแสปราณของอาคัง
ซูอี้ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “แม่นางผู้หนึ่งที่ผูกกรรมดีไว้กับข้า”
โต้วโค่วผงะ
แต่ไม่รอให้นางได้ซักถามต่อ ซูอี้ก็ได้กระโจนไปด้านหน้าแล้ว
…..
บนยอดเขาพระสุเมรุ
เบื้องหน้าซากปรักหักพัง
“นี่ก็ผ่านไปเกือบหนึ่งวันแล้ว ซูอี้ยังไม่กลับเลย หรือว่าเขาจะประสบปัญหาตึงมือในถ้ำใต้ดิน หากเป็นเช่นนั้นจริง สถานการณ์คงไม่ดีเท่าใด”
หลี่หานเติงพึมพำ
บรรยากาศรอบ ๆ กระอักกระอ่วนขึ้นมา
เหล่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณและผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันล้วนกำลังรอคอย
เมื่อหลี่หานเติงว่ากล่าวเช่นนี้ สีหน้าทุกคนก็ดูพิกลในที
“หลี่หานเติง เจ้าอยากให้เกิดเรื่องกับสหายเต๋าซูขนาดนั้นเชียวหรือ?”
คิ้วเรียวของเหวินซินจ้าวขมวดหากันเล็กน้อย
“แม่นางซินจ้าวอย่าเพิ่งเข้าใจข้าผิดไป ข้าเพียงแต่คาดเดาไปอย่างนั้น”
หลี่หานเติงยิ้ม “อย่างไรทุกคนก็รออยู่ที่นี่มาวันหนึ่งแล้ว ทว่าจวบจนตอนนี้ซูอี้ยังไม่กลับ จึงอดเป็นห่วงไม่ได้”
“เหอะ ๆ เจ้าเป็นห่วงอย่างนั้นหรือ เหตุใดข้าไม่รู้มาก่อนเลย ว่าเจ้าจิตใจดีถึงเพียงนี้”
เหวินซินจ้าวถากถาง
หลี่หานเติงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยเสียงราบเรียบ “แม่นางซินจ้าว เจ้ากล้าพูดหรือไม่ ว่าเจ้าไม่กังวลเลยสักนิดว่าจะเกิดเรื่องกับซูอี้”
เหวินซินจ้าวเงียบไปทันที
มีหรือที่นางจะไม่กังวล?
“ข้าขอพูดอย่างเสียมารยาท หากเกิดเรื่องกับซูอี้ จนเขาไม่อาจกลับมาได้อีก ช่วงเวลาต่อจากนี้ พวกแม่นางซินจ้าวสามคนคงอยู่ในสถานการณ์… ที่ไม่ดีเท่าใด”
หลี่หานเติงเอ่ยเสียงเนิบนาบ
เหวินซินจ้าวใจกระตุกวูบ
สีหน้าของเก๋อเฉียนเองก็หนักอึ้งขึ้นมา
ถ้าซูอี้กลับมาไม่ได้จริง ๆ ด้วยพลังของเขา เหวินซินจ้าว และเยว่ซือฉาน นอกเสียจากว่าไปจากเกาะเซียนพระสุเมรุเสียแต่แรก มิฉะนั้น พวกเขาคงไม่อาจต่อสู้กับเหล่าบุคคลขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้เลย!
หน้าตาเยว่ซือฉานเรียบนิ่ง ราวกับไม่ได้ยินสิ่งใด
เพราะนางไม่เคยเชื่อเลยว่าซูอี้จะติดกับภยันตรายในถ้ำใต้ดินนั่น
เมื่อได้เห็นภาพนี้ หลี่หานเติงจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ ในใจรู้สึกสบายขึ้นมาไม่น้อย
เขาต้องภาวนาให้ซูอี้ประสบเคราะห์ร้ายในถ้ำใต้ดินนั่นอยู่แล้ว!
ห่างออกไปไม่ไกล ฉือเจี่ยนซู่ส่งกระแสปราณให้เฉิงผู “เจ้าเคยรับปากซูอี้ไม่ใช่หรือ ว่าจะปกป้องคุ้มครองพวกเหวินซินจ้าว ตอนนี้หลี่หานเติงจองหองพองขนปานนี้ เหตุใดถึงไม่เห็นเจ้าออกหน้า หรือว่า… เจ้าเองก็คิดว่าซูอี้ไม่กลับมาแล้ว”
เฉิงผูส่ายหัวยิ้ม ๆ ส่งกระแสปราณกลับ “หากข้าเข้าไปยุ่งตอนนี้ เจ้าหลี่หานเติงย่อมต้องกล้ำกลืนฝืนทน ไม่กล้าบุ่มบ่าม เช่นนั้นจะน่าเบื่อแย่ ข้าอยากเห็นเขากระโดดโลดเต้นอีกสักหน่อย ตราบใดที่เขาบังอาจเริ่มศึก ข้ารับประกันว่าจะปลิดชีพเขาเป็นคนแรก!”
ฉือเจี่ยนซู่มีสายตาประหลาด “นี่เจ้าวางเบ็ดตกปลาหรอกหรือ?”
เฉิงผูเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “เปล่า ข้าแค่กำลังรอโอกาสที่จะจัดการหลี่หานเติงอย่างสมเหตุสมผลต่างหาก อย่างไรเสีย ข้าถือคติให้ผู้อื่นยอมรับด้วยเหตุและผล”
ฉือเจี่ยนซู่หลุดหัวเราะ ให้ผู้อื่นยอมรับด้วยเหตุและผลอะไรกัน ใครเล่าจะไม่รู้ว่าเจ้าชอบใช้กำปั้นแก้ปัญหาเป็นที่สุด!!
เวลานั้น หลี่หานเติงพลันถอนหายใจ “แท้จริงแล้ว พวกเราต่างรู้ดี ต่อให้สหายเต๋าซูรอดกลับมาได้ ทว่าหลังออกจากเกาะเซียนพระสุเมรุแห่งนี้ สิ่งที่รอรับเขาอยู่คือความวินาศที่ไม่อาจคาดเดาได้เลย”
ทุกคนเงียบกันหมด
ทีท่าของหลี่หานเติงมีปัญหาอย่างเห็นได้ชัด แต่คำพูดของเขาคือความจริง
ข่าวที่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างหวนเฉ่าโหยวเก้าคนตายด้วยมือซูอี้ ไม่มีทางปิดบังได้อยู่แล้ว!
หลังจากข่าวนี้เข้าหูเหล่าอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังพวกหวนเฉ่าโหยว มีหรือที่คนพวกนั้นจะยอมเลิกราง่าย ๆ
ควรรู้เอาไว้ ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเหล่านั้นล้วนเป็นผู้เก่งกาจสามารถในกลุ่มเต๋าโบราณต่าง ๆ มีชีวิตรอดจากการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อนได้ ก็พอจะพิสูจน์ได้ว่าอิทธิพลเบื้องหลังพวกเขาทุ่มเทในตัวพวกเขามากเพียงใด
ทว่าบัดนี้ ทั้งหมดกลับโดนซูอี้ปลิดชีพไปแล้ว
เช่นนี้จะไม่ให้เหล่าอิทธิพลโบราณพิโรธได้อย่างไร แล้วเป็นไปได้หรือที่พวกเขาไม่ไปล้างแค้นซูอี้
เมื่อเห็นทุกคนไม่พูดจา ไม่มีผู้ใดคัดค้าน หลี่หานเติงจึงยิ่งรู้สึกดีไม่น้อย
เขากวาดสายตามองพวกเหวินซินจ้าว ถอนหายใจพลางกล่าว “ที่โหดร้ายยิ่งกว่านั้นคือ ข้ากังวลว่าเมื่อถึงเวลา ผู้ที่มีสัมพันธ์ไมตรีกับซูอี้อย่างแม่นางซินจ้าวน่ากลัวว่าจะโดนหางเลขไปด้วย เช่นนั้นแล้วผลสุดท้าย… ต้องเลวร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ พวกเหวินซินจ้าวมีสีหน้าเปลี่ยนไป
ทุกคนในนี้ดูออกหมดว่าเจ้าหลี่หานเติงดูเหมือนวิเคราะห์ไปตามเรื่องตามราว วาจาไร้ซึ่งการถากถางแดกดัน แต่แท้จริงแล้วจงใจพูดให้รู้สึกแย่
เฉิงผูยังรู้สึกรังเกียจในใจ เจ้าหลี่หานเติงกระแนะกระแหนเก่งยิ่ง!
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
เหวินซินจ้าวทนไม่ไหวอีกต่อไป หญิงสาวโฉมสะคราญผู้นี้โกรธแล้ว!
หลี่หานเติงยิ้ม ทำทีเป็นใจกว้าง “แม่นางซินจ้าวไม่อยากฟัง ข้าไม่พูดแล้วก็ได้ อย่างไรเสีย ยาดีรสขม คำพูดจริงใจแสลงหู ที่แม่นางซินจ้าวโกรธปานฉะนี้ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”
เหวินซินจ้าวอัดอั้นตันใจยิ่ง หากบอกว่าหลี่หานเติงเสียดสี กลับจับผิดไม่ได้ แต่หากบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ …ใครเล่าจะเชื่อ!
ตอนนั้นเอง นัยน์ตานางเป็นประกาย ลุกพรวดขึ้นพร้อมเอ่ยด้วยความเต็มตื้น “ศิษย์พี่ซู! ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”
ทุกคนผงะกันหมด ก่อนจะพากันลุกขึ้น เมื่อเห็นร่างตระหง่านที่เดินมาจากซากปรักหักพังไกล ๆ ก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป
เก๋อเฉียนถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก สบายใจขึ้น
ดวงตาคู่ใสของเยว่ซือฉานใสสกาวดุจสายน้ำ ยากจะปิดบังความยินดีไว้ได้
อวี่เหวินซู่และเจียงหลีมองหน้ากัน ต่างมีแสดงสีหน้าคาดการณ์ไว้แล้ว
สายตาเฉินลวี่ชอบกล
เฉิงผูอดนึกเสียดายไม่ได้ ตกปลาครั้งนี้ ไม่สบโอกาสจัดการเจ้าคนขี้กระแนะกระแหนอย่างหลี่หานเติงเลย
ฉือเจี่ยนซู่กอดอก นัยน์ตาคมกริบดั่งมีดฉายแววนึกขัน พร้อมหันมองหลี่หานเติงที่อยู่ไม่ไกลด้วยสัญชาตญาณ
และได้เห็นหลี่หานเติงที่ก่อนหน้านี้ยังพูดคุยเจื้อยแจ้ว กระตือรือร้นเสียไม่มี บัดนี้กลับยืนอึ้งประหนึ่งโดนฟ้าผ่าใส่ ตามองจ้องซูอี้ไกล ๆ นิ่งค้าง อย่างกับห่านหน้าโง่
ฉือเจี่ยนซู่แทบหัวเราะออกมา
ไม่ต้องสงสัย ซูอี้มีชีวิตกลับมาได้ เป็นเรื่องสะเทือนใจไม่น้อยสำหรับหลี่หานเติง
“ซูอี้ นี่เจ้าจะทำอะไร!”
ทันใดนั้น สีหน้าหลี่หานเติงเปลี่ยนไปอย่างมาก เมื่อเห็นซูอี้เดินตรงมาหาเขา
ทุกคนก็สังเกตถึงความผิดปกติ และพากันมองมา
“เจ้าอย่าเข้ามานะ! ไม่อย่างนั้น…”
เมื่อเห็นซูอี้เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ หลี่หานเติงลนลาน เอ่ยเสียงดุดัน
แต่ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ
ทั้งที่ยังห่างกันหลายจั้ง ซูอี้สะบัดฝ่ามือเข้ามา
เพียะ!
เสียงตบดังก้องกังวาน ท่ามกลางสายตาตะลึงของฝูงชน หลี่หานเติงร้องครวญคราง ก่อนจะกระเด็นออกไป