บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 583 ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว
ตอนที่ 583: ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว
ตอนที่ 583: ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว
แม้จะรู้อยู่แล้วว่าพลังรบของซูอี้สะท้านฟ้า แต่เมื่อเห็นหลี่หานเติงผู้ก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณโดนซูอี้ตบกระเด็นในฝ่ามือเดียว ทุกคนก็ยากจะนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์นี้
พวกเขาต่างเคยเห็นภาพที่ซูอี้สังหารผู้ร้ายกาจจากโบราณอย่างพวกหวนเฉ่าโหยวเก้าคนกับตา
เดิมควรชินกับเรื่องนี้ได้แล้ว
ทว่าใครเล่าจะคิด คนระดับหัวกะทิในหมู่ผู้เก่งกล้าในยุคปัจจุบันอย่างหลี่หานเติง จะปัดป้องฝ่ามือของซูอี้ไม่ได้…
ตุ้บ!
ร่างของหลี่หานเติงกระเด็นออกไปไกลหลายจั้ง ใบหน้าหล่อเหลาบวมแดง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เลือดไหลออกจากมุมปากไม่หยุด สภาพยับเยินดูไม่จืด
“ซูอี้ ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน เหตุใดต้องทำร้ายข้าด้วย”
หลี่หานเติงคลานขึ้นมา และบันดาลโทสะ
ซูอี้ไม่ตอบ จากนั้นก็ตบข้ามอากาศไปอีกฉาด
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
หลี่หานเติงคำรามกราดเกรี้ยว เร่งพลังปราณทั้งตัวเพื่อต้านทานสุดแรง
ตู้ม!
เสียงกระแทกทุ้มต่ำดังขึ้น ท่ามกลางแสงฝน ร่างของหลี่หานเติงโดนตบกระเด็นออกไปอีกครั้ง กระแทกออกไปไกลสิบกว่าจั้ง จนหมอกควันลอยฟุ้งขึ้นจากพื้น
ทุกคนเห็นแล้วตากระตุก
ต่างจากความกระแนะกระแหนชวนคลื่นไส้ของหลี่หานเติง เวลาซูอี้จัดการคนอื่นไม่ต้องพูดมากอย่างใด แข็งกร้าวจนชวนใจสะท้าน!
เวลานั้น หลี่หานเติงโอนเอนลุกขึ้นด้วยหน้าเขียวปั้ด ปาดเลือดที่มุมปากออกแรง ๆ “ซูอี้ เหตุใด…”
ตู้ม!
เขาปล่อยออกไปอีกฝ่ามือ ตบหลี่หานเติงกระเด็น
ต่อให้พลังของเขาอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ หลังจากโดนไปสามฝ่ามือก็บาดเจ็บไม่เบา เลือดลมพลุ่งพล่าน กระดูกข้อเอ็นทั้งตัวแทบแยกออกจากกัน
เทียบกับความเจ็บปวดทางกายแล้ว การโดนบดขยี้ เหยียบย่ำ หยามเหยียดต่อหน้าทุกคน เป็นเรื่องที่หลี่หานเติงรับไม่ได้มากกว่า เขาอับอายแทบตาย
เมื่อเห็นซูอี้กำลังจะลงมืออีกครั้ง หลี่หานเติงก็ตะโกนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “พอได้แล้ว!”
ตู้ม!
คนระดับผู้นำกลุ่มศิษย์แห่งสำนักเต๋าชิงอี่ ผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันชื่อกึกก้องไปทั่วแดนดิน โดนตบกระเด็นอีกครา
หลังจากล้มกระแทกพื้นแล้ว หลี่หานเติงตาพร่ามัว จนกระอักเลือดออกมาคำโตอย่างกลั้นไม่ไหว
ทุกคนต่างมีสีหน้าทนดูไม่ไหว
อนาถเกินไปแล้ว!
เมื่อตกอยู่ในมือซูอี้ หลี่หานเติงแทบไม่ต่างจากมดปลวก ปล่อยให้ตัวเองโดนย่ำยีโดยไร้ซึ่งแรงขัดขืน
“ซูอี้!!”
หลี่หานเติงหน้าซีดเผือด ตะโกนลั่น “ข้า…”
พูดมาถึงนี่ ภาพที่ทำให้ทุกคนต้องอึ้งเกิดขึ้น หลี่หานเติงก้มหน้า เอ่ยอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ข้ายอมแพ้ ข้าขอโทษ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ควรพูดจาส่งเดช และไม่ควรเสียมารยาทกับพวกแม่นางซินจ้าว!”
ฝูงชน “…”
ความเปลี่ยนแปลงนี้มาเร็วเกินไป ทุกคนผงะไปชั่วครู่อย่างอดไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าหลี่หานเติงจะยอมแพ้ไวเช่นนี้
ทว่า ลองไตร่ตรองดูแล้วทุกคนก็เข้าใจ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลี่หานเติงจะทนไหวอยู่ได้อย่างไร มีแต่จะโดนทรมานยิ่งกว่าเดิม!
พวกเหวินซินจ้าวนึกสะใจ ตะโกนออกมาว่าเปรมปรียินดี
พฤติกรรมแดกดันถากถางก่อนหน้านี้ของหลี่หานเติง ทำเอาพวกเขาโมโหและอัดอั้นตันใจยิ่งนัก
ทว่าบัดนี้ ได้เห็นหลี่หานเติงโดนเล่นงานจนอยู่ในสภาพยับเยินเช่นนี้ รู้สึกเหมือนได้ดื่มน้ำบ๊วยสมุนไพรแช่น้ำแข็งในฤดูร้อนอบอ้าว อย่าให้ต้องพูดเลยว่าสดชื่นปานใด
เฉินลวี่ เฉินสิง และคนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดลงไปมาก
ภาพนี้ทำให้พวกเขาสัมผัสถึงความแข็งแกร่งของซูอี้ หลี่หานเติงเหมือนเป็นลูกไก่ในกำมือ แล้วจะไม่ให้พวกเขาตะลึงได้อย่างไร
“เหตุใดถึงไม่หนี”
ในที่สุดซูอี้ก็เอ่ยปาก สายตาเรียบนิ่ง
สีหน้าของหลี่หานเติงสับเปลี่ยนไปมา ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้น “ถ้าหนี ข้ากลัวว่าเจ้าจะปลิดชีพข้า”
ซูอี้ว่า “เจ้าเองนับว่าฉลาดอยู่บ้าง น่าเสียดายที่จิตใจไม่ดี เอาแต่สร้างความร้าวฉาน ยากจะทำการใหญ่ ข้าจะให้โอกาสเจ้า”
“ไสหัวไปซะ!”
คำว่าไสหัวไป เปี่ยมด้วยความดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง
ทว่าหลี่หานเติงกลับมีท่าทีประหนึ่งถูกละเว้นโทษ หมุนตัวจากไปทันที ไม่กล้าอยู่ต่อแม้แต่น้อย
อับอายขายหน้าจนไม่เหลือสิ่งใดให้เสียแล้ว อยู่ต่อไปต่างสิ่งใดจากการหยามเหยียดตัวเอง
สำหรับหลี่หานเติงในตอนนี้ รับประกันความอยู่รอดปลอดภัยของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อได้เห็นภาพเหล่านี้ ทุกคนในที่นี้ก็ใจสั่นกันหมด แม้จะสะท้อนใจกันคนละแบบ แต่เมื่อมองซูอี้ สายตาล้วนเปลี่ยนแปลงไปทั้งสิ้น
“นี่คือของตอบแทนเจ้า”
เวลานั้น ซูอี้หยิบแผ่นหยกเล่มหนึ่งออกมา พร้อมโยนให้เฉิงผู
“ศิษย์พี่ซู ข้าไม่ได้กระทำสิ่งใด ยอมรับของจากท่านไม่ได้ ข้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
เฉิงผูกำลังจะบอกปัด ซูอี้เอ่ยขึ้น “พวกแม่นางซินจ้าวปลอดภัยดี เท่านี้ถือว่าช่วยข้าแล้ว รับไว้เถิด”
เฉิงผูไม่บอกปัดอีก และรับแผ่นหยกไว้
เมื่อใช้จิตสัมผัสอ่านเนื้อหาภายในแผ่นหยกแล้ว เฉิงผูอดสูดปากไม่ได้ หน้าตาฉายแววตะลึงและตกอยู่ในภวังค์อย่างอดไม่ได้
จากนั้น ท่ามกลางสายตาจ้องมองด้วยความทึ่งของทุกคน เฉิงผูหันไปหาซูอี้ พร้อมประสานมือคำนับ “ขอบคุณสหายเต๋าที่ประทานวิชาให้!”
เสียงเจือความตื้นตันอย่างยากจะปิดบัง
ทุกคนอดตะลึงไม่ได้ เวลานี้ทุกคนทราบกันดีว่าตัวตนเบื้องหลังของเฉิงผูคือราชันย์มารสวนกู่
และราชันย์มารสวนกู่คือผู้ฝึกกายขอบเขตจักรพรรดิมาเนิ่นนาน พลังน่าสะพรึง อยู่ในสามอันดับแรกของเก้าราชันย์แห่งคังชิงได้อย่างมั่นคง!
ส่วนเฉิงผูสืบทอดวิชาของราชันย์มารสวนกู่มาอย่างไม่ต้องสงสัย วิชาที่เขาฝึกเรียกได้ว่าอันดับหนึ่งของโลก
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เฉิงผูกลับคำนับขอบคุณซูอี้เพียงเพราะวิชาลับม้วนหนึ่ง รู้ได้เลยว่าวิชาลับในแผ่นหยกนั้นไม่ธรรมดาแน่นอน!
ซูอี้พยักหน้า ภายในแผ่นหยกเป็นเพียงวิชาฝึกกระดูกแขนงหนึ่งที่จักรพรรดิมหายุทธ์คิดค้นขึ้นเท่านั้น ไม่นับว่ายอดเยี่ยม ทว่าเป็นเคล็ดวิชาที่ผู้ฝึกกายขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างเฉินผูต้องการที่สุด!
หลังจากนั้น ซูอี้ก็หันไปมองฉือเจี่ยนซู่
หญิงผมสั้นเสมอหู สายตาคมกริบชะงัก ก่อนจะเป็นฝ่ายส่งเสียง “สหายเต๋าซูมีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ”
ซูอี้นำยันต์ออกมาแผ่นหนึ่ง ส่งให้กลางอากาศ “หากเจ้าอยากรู้ว่าพรสวรรค์ในตัวเจ้าแกร่งกล้าเพียงใด ไว้ออกจากเกาะเซียนพระสุเมรุไปแล้ว บีบยันต์ลับแผ่นนี้ให้แหลกได้เลย”
ร่างยาวระหงอ้อนแอ้นของฉือเจี่ยนซู่แข็งทื่อไปเล็กน้อย ใบหน้างดงามเปลี่ยนไปขณะกล่าว “สหายเต๋ามองพลังพรสวรรค์ของข้าออกนานแล้วหรือ”
ซูอี้ตอบ “พรสวรรค์ของเจ้าหาได้ยากจริง เรียกว่าทั้งแผ่นดินนี้ไม่มีใครเทียมยังไม่เกินไป แต่นั่นหมายความว่า หากเจ้าหาวิชาฝึกฝนที่เหมาะกับตัวเองไม่เจอ ย่อมยากจะขุดพรสวรรค์ในตัวออกมาได้”
ฉือเจี่ยนซู่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น ภายในใจสะท้านเดือดพล่าน
คำพูดของซูอี้ ส่งผลให้นางรู้สึกเหมือนความลับที่มีถูกมองเห็น!
“สหายเต๋าหมายความว่า ด้วยยันต์ลับแผ่นนี้ ข้าสามารถค้นพบวิชาที่เหมาะกับพรสวรรค์ของข้าอย่างนั้นหรือ”
หญิงสาวผมสั้นที่เปี่ยมด้วยความขบถอย่างฉือเจี่ยนซู่ผู้นี้ มีนิสัยเด็ดขาดไม่ยืดยาด คมกล้าเช่นเดียวกับมีดในมือนาง ทว่าเมื่อเอื้อนเอ่ยประโยคนี้ เสียงของนางสั่นเครือเล็กน้อย
ซูอี้ยิ้ม “เจ้าลองดูเองสักคราก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
ฉือเจี่ยนซู่สูดหายใจเข้าลึก คำนับซูอี้เช่นเดียวกับเฉิงผูเมื่อครู่ “ขอบคุณสหายเต๋ามาก!”
คนอื่น ๆ ในที่นี้เมื่อได้เห็นภาพนี้ ล้วนสะท้านใจขึ้นมาอีกระลอก
โต้วโค่วที่อยู่ไกล ๆ นึกถึงแผ่นหยกที่เกี่ยวข้องกับวิถีวาดซึ่งซูอี้มอบให้อย่างอดไม่ได้ สีหน้าเหมือนตกอยู่ในภวังค์
เขามหัศจรรย์เกินไปหรือไม่?
ราวกับ… พร้อมนำสิ่งที่ไม่ว่าผู้ใดก็ปฏิเสธไม่ได้ออกมาเสมอ!
และบัดนี้ ซูอี้สบายใจขึ้นไม่น้อย
ฉือเจี่ยนซู่มีพรสวรรค์ ‘กระดูกหยินยมโลก’ หาได้ยากมาก เป็นพรสวรรค์ที่เหมาะแก่การสืบสานเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพที่สุด
ยันต์ลับที่ซูอี้มอบให้ฉือเจี่ยนซู่ก่อนหน้านี้ คือผลงานของเฒ่าบอด ผู้สืบทอดเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ
ด้วยยันต์ลับแผ่นนี้ สามารถเรียกเฒ่าบอดมาพบได้
เชื่อว่าขอเพียงเฒ่าบอดได้พบฉือเจี่ยนซู่ ย่อมไม่พลาดเมล็ดพันธุ์ดีที่สามารถสืบสานวิชาผู้นี้ไปแน่
“ไปกันเถิด เราออกไปจากที่นี่ก่อน”
หลังจากนั้น ซูอี้ไม่เอ้อระเหยอยู่ต่อ และโบกมือให้เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน เก๋อเฉียน ก่อนจะมุ่งหน้าออกไปยังที่ไกล ๆ
วันนี้เป็นวันที่สิบสาม เดือนสิบ เหลืออีกครึ่งเดือนจึงจะครบหนึ่งเดือน
ซูอี้ย่อมไม่ออกจากเกาะเซียนพระสุเมรุตอนนี้
เขาตั้งใจไปตามหาสถานที่ซึ่งมีปราณวิญญาณล้นหลาม แล้วเก็บตัวฝึกฝนเสียหน่อย
“สหายเต๋าซู ข้า… ข้าไปกับพวกเจ้าด้วยได้หรือไม่?”
โต้วโค่วไล่ตามเข้ามาอย่างอดไม่ได้ หญิงสาวเพริศพริ้งพราวเสน่ห์เช่นนี้กำลังมองซูอี้อย่างมีความหวัง
“ตามใจเจ้า”
ซูอี้สองมือไพล่หลัง มุ่งหน้าต่ออย่างเนิบนาบ
เขาไม่สังเกตเลยว่าคล้อยหลังที่โต้วโค่วตามมาด้วย สายตาของเหวินซินจ้าวและเยว่ซือฉานแสดงอารมณ์บางอย่างโดยไม่ให้รู้ตัว
มองจนร่างของพวกเขาลับสายตาไปแล้ว หลวงจีนเฉินลวี่ผู้เงียบมาตลอดพลันถอนหายใจ “ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว…”
“ศิษย์พี่หมายความว่าอย่างไร”
เฉินสิงสงสัย
“ก่อนมายังเกาะเซียนพระสุเมรุ พวกเรากับซูอี้พอนับว่าเป็นคนประเภทเดียวกันได้ แต่หลังจากนี้… พวกเรากับเขา ไม่ใช่คนที่อยู่โลกเดียวกันแล้ว…”
เสียงของหลวงจีนเฉินลวี่เศร้าหมองเล็กน้อย
เขาคือผู้เปี่ยมความสามารถที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์แห่งวัดมหาจันทรา
แต่เขารู้ดีว่า ต่อจากนี้ไป อย่าว่าแต่เขาเลย กระทั่งคนรุ่นเยาว์ทั้งหมดในใต้หล้า ก็ยากจะทัดเทียมซูอี้
ต่อให้ซูอี้มีพลังเพียงขอบเขตรวบรวมดารา แต่ความสามารถของเขาอยู่เหนือผู้เก่งกล้ายุคปัจจุบันไปนานแล้ว
นำไปไกลลิบลิ่วจนคนตามหลังไม่เห็นฝุ่น!
เมื่อเฉินลวี่กล่าวเช่นนี้ คนอื่น ๆ ในที่นี้เงียบกันหมด
กระทั่งเฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ซึ่งเป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณก็ต้องยอมรับว่า สิ่งที่เฉินลวี่ว่ามานั้นไม่ผิด
“สหายเต๋าเป็นบุคคลสะท้านภพที่ไม่อาจตัดสินด้วยหลักเหตุและผลได้จริง ๆ จนบัดนี้ กระทั่งข้าเองยังนับถือเขายิ่ง”
เฉินสิงถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความลังเล “เพียงแต่… ดูเหมือนหญิงสาวข้างกายเขาจะมากไปหน่อย การฝึกฝนในมหาวิถี หมกหมุ่นในสตรีเพศไม่ดีเท่าใดหรอกนะ”
เฉินสิงคือพระในวัดมหาจันทราที่ตัดกิเลสตัณหาได้สนิทที่สุด เขาออกบวชมานานมากแล้ว
ในสายตาของเขา สตรีไม่ต่างจากโครงกระดูกสีชมพู
ได้ยินดังนั้น เจียงหลีจึงอดแค่นเสียงเย็นไม่ได้ “นี่หลวงจีน ต่อให้สหายเต๋าซูหมกมุ่นในสตรีเพศก็ยังเป็นขอบเขตรวบรวมดาราที่มีพลังรบมากพอให้พวกเรานับถือ ส่วนเจ้าไม่หมกมุ่นสตรีเพศ ก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะเก่งกาจเท่าใด แล้วมีสิทธิ์อะไรหาว่าสหายเต๋าซูหมกมุ่นในสตรีเพศเป็นเรื่องไม่ดี?”
ฉือเจี่ยนซู่ซึ่งห่างออกไปไม่ไกลมีสายตาคมกริบ นางเอ่ยขึ้นเย็น ๆ “นี่หลวงจีน เจ้าคงไม่ได้อคติต่อสตรีเพศเช่นพวกเราใช่ไหม?”
เฉินสิงมีสีหน้าแข็งทื่อ ชาไปทั้งหนังศีรษะ นึกทอดถอนใจ ข้าเพียงบอกว่าการที่ซูอี้หมกมุ่นในสตรีเพศเป็นเรื่องไม่ดี พวกเจ้าควรตำหนิซูอี้ที่มีนิสัยหว่านเสน่ห์ เจ้าสำราญมิใช่หรือ ไฉนจึงหันกลับมาตำหนิข้าซึ่งเป็นผู้ออกบวช?
อย่างที่คิด ผู้หญิงเหมือนกันหมด ประหนึ่งอสูรดุร้าย ไม่ควรไปยุ่งด้วยอย่างยิ่ง!