บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 585 วันที่สามสิบเดือนสิบ... ทั้งโลกตกตะลึง!
ตอนที่ 585: วันที่สามสิบเดือนสิบ… ทั้งโลกตกตะลึง!
ตอนที่ 585: วันที่สามสิบเดือนสิบ… ทั้งโลกตกตะลึง!
‘ข้าเป็นคนฆ่า’
ประโยคสั้น ๆ เรียบง่าย
แต่สำหรับทุกคนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ มันช่างน่าตกตะลึง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เฟิงจื่อตู เหมยเหยียนไป๋ เฉียนอวิ๋น และคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกสับสนวุ่นวายในใจ
หากเฉลยให้คนอื่นรู้ ว่าแม้แต่หร่านฉงและตงกัวอวิ๋นตายลงด้วยน้ำมือของซูอี้เช่นกัน ผู้อื่นจะยิ่งรู้สึกอย่างไร?
สิบสามคนจากสามสิบสี่ตัวตน ผู้ซึ่งนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับต้น ๆ ของโลกที่ไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุได้สิ้นชีพลง… และยิ่งกว่านั้น ทั้งสิบสามคนที่ตายล้วนมาจากสาเหตุเดียวกันทั้งสิ้น… คือถูกซูอี้สังหาร!! เช่นนี้ใครบ้างจะไม่ตกตะลึง?
ในขณะนี้ ความกังวลอย่างลึกซึ้งฉายออกที่หว่างคิ้วของเวิงจิ่ว
ในฐานะสมาชิกของราชสำนักต้าเซี่ย เขาย่อมรู้ดีที่สุด ว่าไม่ว่าจะเป็นหวนเฉ่าโหยวหรือคนอื่น ๆ ที่ตายลงภายใต้คมดาบของซูอี้ คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีกองกำลังโบราณหนุนหลังอยู่ทั้งสิ้น
แม้ว่ากองกำลังโบราณเหล่านี้จะเสื่อมถอยลงไปบ้างจากผลของ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ เมื่อสามหมื่นปีก่อนจนไม่อาจฟื้นคืนความรุ่งโรจน์เฉกเช่นเมื่ออดีตได้อีกต่อไป
แต่มรดกที่พวกเขาหลงเหลืออยู่ในครอบครองนั้น ยังคงน่าสะพรึงกลัวสุดแสน
และยิ่งไปกว่านั้นขุมกำลังชั้นนำของยุคปัจจุบันซึ่งแข็งแกร่งเป็นอย่างมากเช่น สำนักดาบเทียนชู สำนักเต๋าชิงอี่ วังเทพสวรรค์เมฆา และวัดมหาจันทรา กองกำลังทั้งหมดนี้ไม่มีผู้ใดเลยที่ซูอี้ไม่เคยล่วงเกิน!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อข่าวของเกาะเซียนพระสุเมรุ แพร่กระจายไปยังโลกภายนอก พายุมรสุมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดย่อมบังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้?
และซูอี้ต้องเผชิญกับหายนะนั้น!
เวิงจิ่วรู้ดีว่าต่อให้องค์จักรพรรดิจะเคลื่อนไหว ข่าวเช่นนี้มันก็ไม่มีทางปิดกั้นได้เลย!
“สหายเต๋าซู… ท่าน…”
เวิงจิ่วถอนหายใจ
ขณะที่เขากำลังจะพูดถึงข้อดีและข้อเสีย ซูอี้โบกมือปรามและพูดว่า “ไม่เป็นไรหากข่าวจะแพร่กระจาย ซูผู้นี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังการกระทำของตนเอง ส่วนเจ้าเองก็อย่าได้ทำสีหน้าราวกับนางสนมไว้ทุกข์เช่นนั้น นี่มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย!”
เวิงจิ่วอึ้งไปชั่วขณะ นี่นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร!?
จากนั้นเวิงจิ่วไม่ได้พูดอะไรต่อ ขณะนี้มีหลายคนอยู่ร่วมมันไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องเหล่านี้สักเท่าไร
เขาเริ่มขั้นตอนเปิดใช้งานประตูเคลื่อนย้ายเพื่อที่จะพาทุกคนออกไปโดยไม่รอช้า
“หืม?”
ขณะที่กำลังยืนรอประตูเคลื่อนย้ายทำงาน ซูอี้กลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งจนเขาอดไม่ได้ที่จะเลื่อนสายตามองไปที่ปากถ้ำอุกกาบาตอันกว้างใหญ่
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเมื่อใดที่ภายในปากถ้ำมันบังเกิดหมอกสีเทาหนาชัดขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อผ่านไปอีกครู่หนึ่งหมอกนั้นควบแน่นเป็นรูปลักษณ์ดวงตาอันชั่วร้ายคล้ายดวงตาของปีศาจ!
เมื่อดวงตาของซูอี้สบกับดวงตาคู่นี้ที่ก่อรูปขึ้น ทันใดนั้นพลังอันน่าสะพรึงกลัวได้เจาะทะลวงเข้าไปในทะเลจิตสำนึกของซูอี้ราวกับลูกศร
เคร้ง!
เกือบในเวลาเดียวกัน ดาบเก้าคุมขังในทะเลจิตสำนึกของซูอี้สั่นสะท้านเล็กน้อยพร้อมกับปล่อยอำนาจยับยั้งพลังที่ล่วงล้ำ
ภายในปากถ้ำอุกกาบาต ทำให้ดวงตาปริศนาที่ควบแน่นจากหมอกลึกลับสลายตัวและค่อย ๆ มลายหายไป
“การจองจำแห่งยุคมืด?”
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย “หรือที่ส่วนลึกของถ้ำอุกกาบาตมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถควบคุม ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ ได้?”
อาคังเคยกล่าวไว้ว่า ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ คือหายนะครั้งใหญ่ที่มาจากจักรวาลพร่างดาวเบื้องนอกเมื่อสามหมื่นปีที่แล้ว มันมาถึงทวีปคังชิง พร้อมกับพายุดารา
แต่ตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงที่ส่วนลึกของถ้ำอุกกาบาตจะมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถใช้ ‘การจองจำแห่งยุคมืด’ อาศัยอยู่!
นี่หมายความว่าสิ่งมีชีวิตนี้ก็น่าจะมาจากจักรวาลพร่างดาวเบื้องนอกไม่ผิดแน่?
“หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุผลที่ ‘มัน’ จ้องมาที่ข้าน่าจะเป็นเพราะข้านำเมล็ดพันธุ์คังชิงมาจากเวิ้งเก้าดารา”
“หากต้องการทำลายพลังของคังชิง มันจำเป็นต้องครอบครองเมล็ดพันธุ์คังชิง ของเพียงชิ้นเดียวที่มีพลังชีวิตแห่งคังชิงสถิตอยู่”
ระหว่างที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ ซูอี้พลันคิดออกได้อีกเรื่องหนึ่ง
ถ้ำอุกกาบาตนี้ใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นผลงานจากแค่เพียงดาวตกลูกเดียวตกกระทบ มันจะต้องเกิดจากห่าฝนดาวตกจำนวนมากตกซ้ำกันในจุดเดียวจึงจะสามารถบังเกิดเป็นถ้ำใหญ่ขนาดนี้ได้
จากแนวคิดนี้สามารถอนุมานได้ว่าสิ่งมีชีวิตในส่วนลึกของถ้ำอุกกาบาตยิ่งมีแนวโน้มว่ามันน่าจะมาพร้อมกับพายุดาราเหล่านั้นมากยิ่งขึ้น!
ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับพลังแห่งคังชิง สิ่งมีชีวิตนี้น่าจะได้รับความเสียหายอย่างหนักจนต้องจำศีลในส่วนลึกของถ้ำอุกกาบาต
“น่าสนใจ”
ซูอี้รู้สึกยินดี
เขาสนใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับจักรวาลพร่างดาวเบื้องนอกมาก หากสามารถจับสิ่งมีชีวิตที่มาจากจักรวาลพร่างดาวเบื้องนอกได้ เขาจะสามารถสอบถามความลับมากมายที่อยากรู้จากมันได้!
มีอีกสิ่งหนึ่งที่ซูอี้ค่อนข้างมั่นใจ เขามั่นใจว่าเมื่อใดที่สิ่งมีชีวิตตนนี้มีโอกาสออกจากถ้ำอุกกาบาต มันจะมาหาเขาไม่ช้าก็เร็ว!
ท้ายที่สุดเป็นเพราะเขาถือครองเมล็ดพันธุ์คังชิงเอาไว้อยู่
“นี่คงเป็นภาระแรกเพื่อแลกกับการที่ข้าได้ครอบครองเมล็ดพันธุ์คังชิงนี้…”
ซูอี้พึมพำในใจ
ในขณะที่ครุ่นคิด ประตูเคลื่อนย้ายก็เริ่มทำงาน จากนั้นมันก็ดูดร่างของซูอี้และคนอื่น ๆ หายวับไปจากจุดที่ยืนอยู่
“ต้นกำเนิดแห่งคังชิง… ”
ในเวลาเดียวกันเสียงอันแหบแห้งดังขึ้นในส่วนลึกของถ้ำอุกกาบาตที่ซึ่งไม่เคยมีมนุษย์ผู้ใดเคยเยื้องกรายเข้าไปถึง “ข้าจะนำเจ้ามาครองอย่างแน่นอน…”
เสียงนี้สะท้อนก้องอยู่ครู่หนึ่งในความมืดมิดก่อนเงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
นครหลวงจิ๋วติ่ง
ภูเขาเทียนหมาง ในศาลาขนาดใหญ่
วาบ!
แสงของประตูเคลื่อนย้ายสว่างขึ้น จากนั้นร่างของซูอี้และคนอื่น ๆ ก็ปรากฏขึ้นจากอากาศ
ยามก้าวลงจากแท่นประตูเคลื่อนย้าย หลายคนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเนื่องจากความรู้สึกยามอยู่ในเกาะเซียนพระสุเมรุกับที่นี่นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงราวกับเป็นคนละโลก
“เมื่อเทียบกับเกาะเซียนพระสุเมรุ ปราณวิญญาณบนภูเขาเทียนหมางนั้นช่างเบาบางจนน่าสังเวช…”
เจียงหลีถอนหายใจ
ภูเขาเทียนหมางเป็นสถานที่ที่ราชวงศ์เซี่ยประกาศว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะ และยังเป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของต้าเซี่ย!
แต่เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเกาะเซียนพระสุเมรุ ไม่ว่าความหนาแน่นของปราณวิญญาณบนภูเขาเทียนหมางจะมีมากเท่าใด มันก็ไม่อาจเทียบกันได้เลย
คนอื่น ๆ พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
มีเพียงซูอี้เท่านั้นที่สงบนิ่งที่สุด และคิดแค่เพียงเรื่องเล็กน้อยในใจ
“ไม่อาจรู้ได้เลยในช่วงเดือนที่ข้าจากไป ปลาวิญญาณในสระน้ำของเรือนข้ายังมีชีวิตอยู่สุขสบายดีหรือไม่โดยไม่มีผีเสื้อจันทราเป็นอาหาร…”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาจึงตัดสินใจกลับไปที่สวนน้อยนภาเมฆทันที
“สหายสหายเต๋าซู โปรดช้าก่อน”
เวิงจิ่วรีบเอ่ยหยุดซูอี้
“มีสิ่งใดอีกหรือ?”
ซูอี้ถาม
เวิงจิ่วแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน “เอ่อ… ข้าคิดว่ามันจะดีกว่าสำหรับสหายเต๋าหากจะอยู่รอพบนายท่านของข้าก่อนเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในเกาะเซียนพระสุเมรุครั้งนี้ร้ายแรงเกินไป เราต้องมาช่วยกันคิดหาวิธีแก้ไขเพื่อประโยชน์ของสหายเต๋าเอง…”
ซูอี้โบกมือและพูดว่า “ข้าเข้าใจความตั้งใจดีของเจ้า แต่ข้าได้เอ่ยไปแล้วว่าเรื่องราวที่เจ้ากลัดกลุ้มมันเป็นแค่เพียงเรื่องเล็กจ้อยไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจแม้แต่น้อย อ้อ! อีกอย่างหนึ่ง เจ้าช่วยส่งข่าวไปบอกหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงให้ข้าที บอกพวกเขาให้กลับไปที่สวนน้อยนภาเมฆ”
พูดเสร็จ ซูอี้เดินจากไปด้วยท่าทางมือไพล่หลัง
เหวินซินจ้าว เยว่ซือฉาน และเก๋อเฉียนติดตามไปไม่ห่าง
เวิงจิ่วตกตะลึงและอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น โธ่! บรรพบุรุษน้อยของข้า! สิ่งที่เกิดขึ้นหาใช่เรื่องเล็กเสียเมื่อไรกัน!
“ช่างเถิด ๆ ไปพบกับฝ่าบาทก่อนแล้วเล่าเรื่องทั้งหมด …จากนั้นให้ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินใจ”
เวิงจิ่วถอนหายใจอย่างลับ ๆ
แต่ทว่าเมื่อคิดทบทวนกับตนเองอีกครั้ง เวิงจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาจิตใจอันมั่นคงของซูอี้
แม้ท้องฟ้าถล่ม ข้าก็ยังสามารถสงบราวกับไม่มีสิ่งใดเกิด!
“เดาได้ยากยิ่งว่าคราวนี้ซูอี้จะเผชิญกับภัยพิบัติยิ่งใหญ่เพียงใด…”
เฉิงผูครุ่นคิดครู่หนึ่งและทันใดนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ฉือเจี่ยนซู่ ข้าจะกลับไปที่ดินแดนบรรพบุรุษของข้าก่อน แต่ถ้าหากเกิดสิ่งใดขึ้นกับซูอี้โปรดแจ้งข้าโดยเร็วที่สุด”
ชายหนุ่มดูเคร่งขรึมและจริงจัง
ฉือเจี่ยนซู่งุนงงครู่หนึ่งและถามกลับ “เจ้าต้องการกลับมาดูเรื่องสนุกอย่างนั้นหรือ?”
เฉิงผูยิ้มและส่ายหัวโดยไม่อธิบายและรีบออกไป
“เมื่อข้าออกจากที่นี่ ข้าจะตรวจสอบว่ายันต์ลับนั้นเป็นอย่างที่ซูอี้พูดหรือไม่…” ฉือเจี่ยนซู่กล่าวกับตัวเอง
ในไม่ช้า เฉิงผู ฉือเจี่ยนซู่ และเหล่าผู้ร้ายกาจยุคโบราณคนอื่น ๆ ต่างก็พาจากกันไป
“ศิษย์น้องเจียงหลี หลังจากนี้ข้าจะรีบกลับไปพบท่านเจ้าสำนักทันที เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?”
อวี่เหวินซู่มองไปที่เจียงหลี
เจียงหลีส่ายหัวและพูดว่า “ข้าต้องกลับไปพบกับบิดาของข้าเสียก่อน”
อวี่เหวินซู่ไม่ได้บังคับนาง เพียงพูดว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในเกาะเซียนพระสุเมรุนั้นรุนแรงเกินไป เราคนรุ่นเยาว์ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคนรุ่นอาวุโสรับมือ”
เจียงหลีพยักหน้าเข้าใจ ทว่าใจของนางนั้นหนักอึ้งอย่างอธิบายไม่ได้
วีรกรรมครั้งนี้ของซูอี้นั้นหนักหนาเกินไป พายุลูกใหญ่จะต้องบังเกิดที่นครหลวงจิ๋วติ่งแน่นอน!
“ซูอี้เอ๋ยซูอี้ ต่อให้ข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่เรื่องราวคราวนี้ที่เจ้าสร้างขึ้นนั้นยิ่งใหญ่เกินไป… ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะยังสามารถกระโดดโลดเต้นไปมาได้อีกนานเท่าใด?”
หลี่หานเติงเยาะเย้ยในใจของเขา
จากนั้น บรรดาอัจฉริยะแห่งยุคสมัยต่างก็พากันจากไปทีละคน
ในวันเดียวกันนั้น ข่าวเกี่ยวกับเกาะเซียนพระสุเมรุก็แพร่กระจายไปด้วยความเร็วอันยิ่งยวดซึ่งทำให้เกิดความโกลาหลในนครหลวงจิ๋วติ่งทันที
“ซูอี้สังหารผู้ร้ายกาจยุคโบราณที่ก้าวย่างเข้าสู่ขั้นวิถีวิญญาณไปเป็นจำนวนมากอย่างนั้นหรือ?!”
“เรื่องราวนี้ช่างน่าเหลือเชื่อ…”
กองกำลังน้อยใหญ่ทั้งหลายต่างสั่นไหวและได้กลิ่นของลมมรสุมที่กำลังก่อตัว
เมื่อเวลาผ่านไปข่าวเกี่ยวกับเกาะเซียนพระสุเมรุไม่เพียงแพร่กระจายไปทั่วนครหลวงจิ๋วติ่ง แต่ทั่วโลกต่างรับรู้เรื่องนี้ทั้งหมด!
ข่าวนี้ไปถึงที่ใดที่นั่นบังเกิดแต่ความโกลาหลวุ่นวาย
วันที่สามสิบตุลาคม
ข่าวที่ว่าซูอี้ผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา สังหารหวนเฉ่าโหยว เยี่ยนจิงอวิ๋น จิงหลิงเจิน และตัวตนจากยุคโบราณคนอื่น ๆ บนเกาะเซียนพระสุเมรุ ขณะนี้ไม่มีผู้ใดในโลกไม่รับรู้!
ชาวโลกต่างตกตะลึง!
ทว่าในขณะที่โลกภายนอกโกลาหล ซูอี้ที่อยู่ในสวนน้อยนภาเมฆยังคงนอนอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้หวายข้างสระน้ำ ร่ำสุราจากขวดน้ำเต้าพลางให้อาหารปลาวิญญาณในสระน้ำ ทั้งหมดนี้เป็นการผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจอย่างสมบูรณ์
“ศิษย์พี่ซู ปลาย่างพร้อมแล้วมากินก่อนเถิด!”
ไม่ไกลนัก เสียงอันแสนอ่อนหวานของเหวินซินจ้าวดังขึ้น
ซูอี้ยันตัวนั่งและเห็นว่าเหวินซินจ้าวกำลังวางจานหลายใบที่ข้างเตาเพื่อรอใส่ปลาย่าง ในขณะที่เยว่ซือฉานพับแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นแขนอันเรียบเนียนขาวผ่องกำลังพลิกย่างปลาไปมา
ทางด้านของเก๋อเฉียนรับหน้าที่ควบคุมไฟ
ไฟสีแดงลุกโชนลามเลียตัวปลาให้ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลและเมื่อรวมกับบรรยากาศในยามอาทิตย์อัสดงนี้ ฉากที่ปรากฏทั้งหมดจึงน่ารื่นรมย์ยิ่งกว่างานเลี้ยงในพระราชวังหลวงอย่างเปรียบเทียบมิได้
ซูอี้ลุกขึ้นอย่างสบาย ๆ และเดินไปด้วยรอยยิ้ม