บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 586 ปัญหา
ตอนที่ 586: ปัญหา
ตอนที่ 586: ปัญหา
ช่วงต้นฤดูหนาว อากาศเย็นยะเยือก
ยามราตรีมืดมิด
ในห้อง ซูอี้เอ่ยขึ้นว่า “เต่าน้อย เจ้าอธิบายเก๋อเฉียนอย่างไรเพื่อมาหาข้า”
ถัดจากเขา เสวียนหนิงซึ่งอยู่ในร่างวิญญาณตอบกลับด้วยความเคารพ “รายงานท่านอาจารย์ ศิษย์บอกกับเขาว่าศิษย์มีธุระสำคัญและจะไม่อยู่ไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง”
ซูอี้พยักหน้าก่อนจะโบกมือและกล่องทองแดงก็ปรากฏขึ้น เมื่อเปิดฝาออก ‘ครรภ์อสูรบริสุทธิ์’ ที่ถูกเก็บอยู่ภายในก็ปรากฏแก่สายตา
“ยังจำ ‘ทักษะสยบวิญญาณ’ ที่ข้าเคยสอนได้หรือไม่”
ซูอี้ถาม
เสวียนหนิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ศิษย์จำได้”
ซูอี้ยิ้มและเอ่ยว่า “ดี เมื่อเจ้าเข้าไปในครรภ์อสูรบริสุทธิ์จงใช้ทักษะลับนี้สะกดข่มสิ่งมีชีวิตในนั้น แต่หากมันต่อต้าน เจ้าก็จงฆ่ามันทิ้งเสีย”
“รับทราบ!”
หลังจากตอบรับร่างวิญญาณของเสวียนหนิงก็ได้กลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าสู่ครรภ์อสูรบริสุทธิ์
ปัง! ปัง! ปัง!
กล่องทองแดงสั่นอย่างรุนแรง และครรภ์อสูรบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งมีแสงวูบวาบเปล่งออกอย่างไม่ขาดสาย
ซูอี้เอามือไพล่หลังพลางยืนดูฉากนี้อย่างเฉยเมย
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังออกจากครรภ์อสูรบริสุทธิ์ “ซูอี้! ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไป!!!”
เสียงนั้นก้องกังวานแค่เพียงไม่กี่อึดใจก่อนที่ครรภ์อสูรบริสุทธิ์ซึ่งสั่นสะท้านอย่างรุนแรงจะค่อย ๆ เงียบลง
“อาจารย์ ศิษย์ทำสำเร็จแล้ว!”
เสียงของเสวียนหนิงดังออกมา
“ภายในหนึ่งปี ข้าสัญญาว่าร่างเต๋าใหม่ของเจ้าจะเสร็จสมบูรณ์ในครรภ์อสูรบริสุทธิ์ และจากนั้นเส้นทางแห่งการบ่มเพาะใหม่ของเจ้าจะเริ่มต้นขึ้น!”
“อาจารย์ ศิษย์คนนี้จะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
เสวียนหนิงกล่าวอย่างซาบซึ้ง
ซูอี้ยิ้มและไม่พูดอะไรอีก เพียงตวัดนิ้วขีดเขียน
ชี่! ชี่!
ตามการตวัดนิ้ว อักขระเรืองแสงอันลึกลับค่อย ๆ ปรากฏขึ้นทีละตัวและลอยไปปกคลุมพื้นผิวของครรภ์อสูรบริสุทธิ์ จากนั้นครรภ์อสูรบริสุทธิ์จึงมีปฏิกิริยายุบพองราวกับกำลังหายใจด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
บัญญัติผนึกวิญญาณ!
บัญญัติลับสุดยอดที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อผนึกครรภ์อสูรบริสุทธิ์
หลังจากการผนึกเสร็จสิ้น ครรภ์อสูรบริสุทธิ์จึงหดเหลือขนาดเท่าเม็ดถั่วและซูอี้ก็กลืนกินมันเข้าไปในจุดตันเถียนของตนเอง ทำให้มันถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีสีฟ้าของเมล็ดพันธุ์คังชิง
หลังจากทำทั้งหมดนี้ ซูอี้ถอนหายใจยาวและกำลังจะนั่งสมาธิต่อ ทว่าก่อนที่จะนั่งสมาธิเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
เมื่อก่อนลงจากภูเขาเทียนหมางวันนี้ เขาได้ขอให้เวิงจิ่วไปแจ้งแก่หยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงให้กลับมาที่สวยน้อยนภาเมฆ
ทว่าจนถึงขณะนี้ทั้งหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงยังไม่กลับมาแม้แต่หนึ่ง
“เวิงจิ่ว ชายผู้นี้วางใจใช้งานไม่ได้มากเท่าใดนัก”
ซูอี้ส่ายหัวก่อนจะหยุดคิดและเริ่มทำสมาธิ
นครหลวงจิ๋วติ่งเป็นถิ่นที่มั่นของราชวงศ์เซี่ย และด้วยการดูแลของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยองค์ปัจจุบัน ทั้งหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงย่อมไม่เผชิญกับภัยอันตรายใดง่าย ๆ แน่นอน
…
ในขณะเดียวกัน
ภูเขาเทียนหมาง
ภายในพระราชวัง
“เฒ่าสุ่ย ฝ่าบาทเสด็จไปที่ใด?”
เวิงจิ่วขมวดคิ้ว
หลังจากกลับมาจากเกาะเซียนพระสุเมรุ เขาก็รีบรุดมาเข้าเฝ้าจักรพรรดิทันที แต่แล้วกลับได้รับแจ้งว่าองค์จักรพรรดิออกไปนอกเมืองตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนที่แล้วและยังไม่กลับมา
ฝั่งตรงข้าม สุ่ยเทียนฉีผู้ซึ่งอยู่รับใช้จักรพรรดิมาโดยตลอดส่ายหัวและกล่าวว่า “ก่อนฝ่าบาทจะออกไป พระองค์เพียงแค่บอกว่าจะไปหาวัตถุล้ำค่าบางอย่างเพื่อนำมาใช้ซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน แต่พระองค์ไปหาวัตถุดิบที่ใดนั้นข้าไม่รู้”
คิ้วของเวิงจิ่วขมวดขึ้นแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ “แต่นี่มันผ่านมาครึ่งเดือนแล้วเหตุใดยังไม่มีข่าวคราวจากองค์ฝ่าบาทอีก?”
สุ่ยเทียนฉีส่ายหัวอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้เวิงจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล “เช่นนี้ข้าจะทำอย่างไรดี คนหนุ่มซูอี้ผู้นั้นเพิ่งสร้างหายนะใหญ่หลวงไป หากศัตรูเหล่านั้นมาที่ประตูเมืองเราในเวลานี้ผลที่ตามมาจะไม่อาจคาดคะเนได้เลย!”
สุ่ยเทียนฉีไตร่ตรอง “ทว่าก่อนฝ่าบาทจะจากไป พระองค์ได้ฝากฝังให้ผู้อาวุโสลำดับสามของราชวงศ์ ‘อ๋องเทียนหยาง’ ดูแลกิจการในราชสำนักแทนชั่วคราวในระหว่างที่พระองค์ไม่อยู่ ในความเห็นของข้า หากอ๋องเทียนหยางทราบเรื่องราวนี้แล้วคงจะไม่นิ่งเฉยอย่างแน่นอน”
“อ๋องเทียนหยาง?”
เวิงจิ่วครุ่นคิด
อ๋องแห่งแคว้นเทียนหยางนั้นมีชื่อจริงว่า ‘เซี่ยหลินเยวียน’
เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้อาวุโสลำดับสามของราชวงศ์เซี่ย แต่ยังเป็นอ๋องแห่งแคว้นเทียนหยางซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
“เช่นนั้นพวกเราไปกันเถิด ไปพบอ๋องเทียนหยางด้วยกันและดูว่าเขาจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร”
เวิงจิ่วลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกไป
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านนอกห้องโถง
ทันทีหลังจากนั้น ราชองค์รักษ์สวมชุดดำเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่และโค้งคำนับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ผู้น้อยติงซือหลิ่วคารวะใต้เท้าทั้งสอง!”
“ติงซือหลิ่ว เจ้ามีเรื่องอะไร?” เวิงจิ่วหรี่ตามองรู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล
ติงซือหลิ่วก้มหน้าไม่กล้าสบตาเวิงจิ่ว “รายงานใต้เท้า ก่อนหน้าที่ท่านสั่งให้ผู้น้อยไปรับหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิง ผู้น้อยได้เร่งรีบไปในทันที แต่ทว่าเมื่อไปถึงเรือนพักที่ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ผู้น้อยกลับพบว่าคนของของท่านอ๋องเทียนหยางมาเร็วกว่าผู้น้อยหนึ่งก้าว และเชิญทั้งหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงออกไปโดยกล่าวว่าจะพาพวกเขาไปให้ความบันเทิงในงานเลี้ยง เมื่อได้ยินดังนั้นผู้น้อยจึงเฝ้ารอโดยคิดว่าเมื่อทั้งสองกลับจากงานเลี้ยง ผู้น้อยจะพาพวกเขากลับไปยังสวนน้อยนภาเมฆทันที”
“ทว่าจนถึงเมื่อครู่นี้เมื่อผู้น้อยยังไม่เห็นทั้งสองกลับมา ดังนั้นผู้น้อยจึงไปหาอ๋องเทียนหยางเพื่อสอบถามด้วยตนเอง แต่ผู้น้อยกลับได้รับแจ้งว่าท่านอ๋องเทียนหยางจะเลี้ยงรับรองหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงต่อไปอีก”
ใบหน้าของเวิงจิ่วเริ่มมืดมนและเคร่งเครียด เขาขมวดคิ้ว “เหตุใดอ๋องเทียนหยางถึงนำตัวหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงออกไปเพราะแค่จัดงานเลี้ยงกัน?”
สุ่ยเทียนฉีตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและกล่าวว่า “ปกติแล้วอ๋องเทียนหยางไม่ควรรู้จักหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงเลย แต่จู่ ๆ เขากลับส่งคนมาพาทั้งสองไปเช่นนี้มันต้องมีบางอย่างผิดปกติ!”
“ไป! ไปพบอ๋องเทียนหยางกันเดี๋ยวนี้!”
เวิงจิ่วสูดหายใจลึกก่อนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ลางสังหรณ์ไม่ดีเริ่มชัดเจนขึ้นในใจ
สุ่ยเทียนฉีพยักหน้า
…
ณ จวนแห่งหนึ่งบนภูเขาเทียนหมางซึ่งมีการประดับประดาแสงสว่างไสวงดงามละลานตา
งานเลี้ยงใหญ่เพิ่งสิ้นสุด
แขกเหรื่อพากันจากไปสิ้นแล้ว
ในฐานะเจ้าภาพ อ๋องแห่งเทียนหยางเซี่ยหลินเยวียนกำลังนั่งครุ่นคิดอยู่บนที่นั่งหลักตรงกลางอย่างเงียบ ๆ เพียงลำพัง
แม้อยู่ในวัยชราทว่ายามนั่งเฉยยังแผ่กลิ่นอายกดดันมหาศาล
“นายท่าน ผู้อาวุโสเวิงจิ่วและสุ่ยเทียนฉีมาขอเข้าพบขอรับ”
เสียงรายงานดังจากนอกห้องโถง
เซี่ยหลินเยวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ให้พวกเขาเข้ามา”
ในไม่ช้าเวิงจิ่วและสุ่ยเทียนฉีเดินเข้ามาในห้องโถงและโค้งกายทักทาย
ดวงตาของเซี่ยหลินเยวียนลุ่มลึกและพูดว่า “เป็นเพราะซูอี้ที่ทำให้พวกท่านสองคนมาเยี่ยมเยียนอ๋องผู้นี้ตอนดึกดื่นใช่หรือไม่?”
เวิงจิ่วและสุ่ยเทียนฉีมองหน้ากันและพยักหน้า
เซี่ยหลินเยวียนถอนหายใจ “เรื่องราวคราวนี้นั้นหนักหนายิ่งนัก หากเราไม่จัดการกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ราชวงศ์เซี่ยของเราจะต้องเผชิญกับเคราะห์หนักสาหัส”
ก่อนที่เวิงจิ่วและสุ่ยเทียนฉีจะได้พูดตอบโต้ เซี่ยหลินเยวียนก็กล่าวต่อ “พวกท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใดที่ข้าให้ความบันเทิงก่อนหน้านี้?”
เวิงจิ่วและสุ่ยเทียนฉีต่างก็ส่ายหัว
คิ้วของเซี่ยหลินเยวียนขมวดแน่นก่อนจะกล่าวว่า “แขกเหล่านั้นที่ข้ารับรองคือผู้คนที่มาจากกองกำลังโบราณหลายแห่งมีทั้งตระกูลหวนเผ่ามาร โถงวิญญาณหยินทมิฬ สำนักวิถีสุญญะ สำนักผลาญตะวัน… ”
จากนั้นเซี่ยหลินเยวียนเอ่ยรายชื่ออีกมากกว่าสิบซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังจากยุคโบราณทั้งนั้น
จากนั้นเขาเหลือบมองเวิงจิ่วและสุ่ยเทียนฉี และกล่าวว่า
”พวกเขา… มาที่นี่ก็เพราะสิ่งที่ซูอี้ทำเอาไว้!”
เวิงจิ่วและสุ่ยเทียนฉีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดหม่นยิ่งกว่าถ่าน
วันนี้เพิ่งเป็นวันแรกที่ออกมาจากเกาะเซียนพระสุเมรุ ทว่าคืนนี้ กองกำลังโบราณเหล่านั้นกลับมาเคาะประตูบ้านพวกเขาแล้ว!
การตายของหวนเฉ่าโหยวและคนอื่น ๆ ทำให้เหล่ากองกำลังโบราณโกรธแค้นสุดขีดอย่างไม่ต้องสงสัย
“บังอาจถามผู้อาวุโสลำดับสาม คืนนี้ที่พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อรวมกำลังกันจัดการกับซูอี้ใช่หรือไม่?”
เวิงจิ่วถามด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้ง
“ไม่”
เซี่ยหลินเยวียนส่ายหัว และกล่าวว่า “คืนนี้พวกเขามาเพราะต้องการขอให้ราชวงศ์เซี่ยของเราแสดงท่าทีที่เด่นชัดต่อเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งให้ราชวงศ์เซี่ยตัดสินใจเลือก!”
“เรา… ราชวงศ์เซี่ยจะละทิ้งการปกป้องซูอี้และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป”
“หรือ… ราชวงศ์เซี่ยของเราจะยังคงยืนหยัดปกป้องซูอี้ โดยแลกที่จะถูกมองว่าเป็นศัตรูกับกองกำลังโบราณทั้งหมด!”
หลังจากได้ยินประโยคนี้ อารมณ์ของเวิงจิ่วและสุ่ยเทียนฉีดิ่งลงอย่างฉับพลัน
สุ่ยเทียนฉีสูดหายใจเข้าลึกพูดอย่างแปลกๆ “บังอาจถามผู้อาวุโสสามอีกครั้ง ท่านตอบพวกเขาว่าอย่างไร?”
เซี่ยหลินเยวียนถอนหายใจ “ข้ารู้ดีว่าฝ่าบาทและพวกท่านทุกคนให้ความสำคัญกับซูอี้ผู้นั้นเป็นอย่างมาก แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป มันร้ายแรงพอที่จะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของราชชวงศ์เซี่ยของเรา ข้า ผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการตัดสินใจเรื่องใหญ่นี้ช่างลำบากใจนัก”
หยุดไปครู่หนึ่งเขาเอ่ยออกอย่างเคร่งเครียด “คืนนี้ข้าจะเรียกรวมบุคคลสำคัญทั้งหมดของราชวงศ์เพื่อหารือเรื่องนี้ด้วยกันและอย่างช้าในสามวัน ข้าจะให้คำตอบที่ชัดเจนแก่กองกำลังโบราณเหล่านั้น”
สามวัน!
เวิงจิ่วและสุ่ยเทียนฉีรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งตัวหัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ
“พวกท่านทั้งสอง ไม่ว่าผลลัพธ์การตัดสินเรื่องนี้จะออกมาเป็นเช่นไร ข้าหวังว่าพวกท่านจะเข้าใจว่าสิ่งอื่นใดนั้นล้วนไม่สำคัญเท่ากับผลประโยชน์ของราชวงศ์เซี่ยของเรา”
เซี่ยหลินเยวียนมองเวิงจิ่วและสุ่ยเทียนฉี “พวกท่านคิดเห็นอย่างไรกับคำกล่าวของข้า”
เวิงจิ่วเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสสามเรื่องนี้ต้องระมัดระวังถ้าเราตัดสินใจไม่ดีต่อซูอี้ เมื่อใดที่ฝ่าบาทกลับมา ข้าเกรงว่าเรื่องราวคงไม่จบสวยนัก”
เซี่ยหลินเยวียนขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชา “ไร้สาระ! ก็แค่ซูอี้เพียงคนเดียว! แม้เขาจะเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง แต่เมื่อเทียบกับเขาคนเดียวต่อพวกเราทั้งราชวงศ์เซี่ย สิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุดก็คือคำนึงถึงความปลอดภัยและผลประโยชน์ของเราเป็นอันดับแรก ต่อให้ฝ่าบาทจะอยู่ที่นี่ผลลัพธ์การตัดสินใจก็ใช่ว่าจะแตกต่างไปจากเดิม!”
หลังจากหยุดชั่วคราว เซี่ยหลินเยวียนกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย “หรือท่าน เวิงจิ่วคิดว่าเพื่อซูอี้คนเดียว พวกเราราชวงศ์เซี่ยต้องถูกลากลงไปในโคลนตมด้วยอย่างนั้นหรือ?”
สีหน้าของเวิงจิ่วเปลี่ยนไปอย่างทันใดและกล่าวฉับไว “ข้าไม่กล้าเช่นนั้น”
“ข้าเหนื่อยแล้ว พวกท่านกลับไปก่อนเถิด”
เซี่ยหลินเยวียนโบกมือพลางพูดส่งแขก
เวิงจิ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสสาม ก่อนเราจากไปข้ารับใช้ชราผู้นี้มีบางอย่างอยากจะเอ่ยถาม”
“พูดมา”
เซี่ยหลินเยวียนถามกลับอย่างไร้อารมณ์
เวิงจิ่วเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยหลินเยวียน และพูดอย่างเคร่งขรึม “เนื่องจากผู้อาวุโสสามยังไม่ได้ตัดสินใจให้คำตอบออกไป เหตุใดท่านจึงกักหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงเอาไว้?”
เซี่ยหลินเยวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับว่ากำลังถูกเวิงจิ่วสอบสวน เขาจึงค่อนข้างรู้สึกอึดอัด
จากนั้นเขาก็ตอบกลับอย่างเฉยเมย “ขณะที่ข้าให้ความบันเทิงกับเหล่าผู้คนจากกองกำลังโบราณวันนี้ ข้าสัญญาว่าซูอี้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากนครหลวงจิ๋วติ่งก่อนที่ราชวงศ์เซี่ยของเราจะตัดสินใจ ดังนั้นข้าจึงเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าโดยรั้งสองคนนั้นเอาไว้ในความควบคุม ไม่ต้องกังวล ข้าไม่มีความคิดที่จะลดตัวลงไปรังแกตัวตนเล็กจ้อยเช่นสองคนนั้นอยู่แล้ว เมื่อเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขข้าจะปล่อยพวกเขาไป”
ดวงตาของเวิงจิ่วเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตกใจและความโกรธ
หัวใจของสุ่ยเทียนฉีดิ่งลง
ทั้งสองตระหนักดีว่าการทำเช่นนี้จะนำไปสู่การมีปัญหากับซูอี้อย่างแน่นอน!