บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 588 ได้คืบเอาศอก
ตอนที่ 588: ได้คืบเอาศอก
ตอนที่ 588: ได้คืบเอาศอก
เฉกเช่นที่เวิงจิ่วทอดถอนใจในยามแรก ซูอี้ผู้ดูไม่ยี่หระต่อโลกหล้านั้น แท้จริงกลับทะนงถึงแก่น
แม้ฟ้าถล่มพิภพแหลกมลาย ทั่วหล้าแปรผันเป็นศัตรู เขาก็จะยังเมินเฉยได้
ทว่าเมื่อความปลอดภัยของคนใกล้ตัวเขาเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง มันจะเหมือนแตะเกล็ดย้อนของมังกร!
ต่อให้เป็นเขา ซูอี้ก็จะฟันกระบี่ใส่โดยไม่ลังเล!
บรรยากาศหดหู่เงียบสงัดทำให้เซี่ยชิงหยวนตัวสั่น ก่อนจะกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซู เรื่องราวยังไม่ถึงจุดที่ไม่อาจย้อนคืนนะ”
ซูอี้พยักหน้า และตอบว่า “เซี่ยหลินเยวียนไม่อยากเข้าแทรกแซง ข้าเข้าใจได้ ทว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนี้?”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวเบา ๆ “เขารับปากกองกำลังโบราณพวกนั้นไว้ว่าศิษย์พี่ซูจะไม่ออกจากนครหลวงจิ๋วติ่งโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากราชวงศ์เซี่ย”
ซูอี้กล่าว “นี่ไม่ได้เรียกว่ารักษาความเป็นกลางเลย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ล้วนเป็นการกดดัน ไม่ก็ไม่เห็นข้าในสายตา เขาต้องชดใช้”
วาจานั้นเรียบง่าย ทว่ากลับเยือกเย็นจนหนาวเสียดกระดูก
เซี่ยชิงหยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซู ความจริงแล้ว… ยามบิดาข้าจากไปเมื่อครึ่งเดือนก่อน เขาทิ้งมาตรการรับมือไว้ ทว่าท่านคงไม่คาดว่าผู้อาวุโสสามจะลงมือไวเพียงนี้…”
ซูอี้ถามอย่างครุ่นคิด “บิดาเจ้าจากไปโดยจงใจหรือ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า ก่อนจะตอบว่า “บิดาข้ากล่าวว่า แม้แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะยังไม่มาเยือน สถานการณ์แห่งโลกนี้ก็แสดงสัญญาณวุ่นวายมากขึ้นทุกขณะ หากในภายหน้าราชวงศ์เซี่ยต้องการอยู่รอด เราต้องทำสิ่งหนึ่ง”
ซูอี้ดูจะเดาได้แล้ว เขาเลิกคิ้วถาม “ดับไฟแต่ต้นลม?”
เซี่ยชิงหยวนสะดุ้งตกใจ “ศิษย์พี่ซูเดาไว้แล้วหรือ?”
“เพื่อต่อกรกับปัญหาภายนอก เราต้องจัดการปัญหาภายในเสียก่อน หากขุมอำนาจหลักต้องการยืนหยัดอย่างมั่นคงต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกหล้า เราก็ต้องตัดก้อนเนื้อร้ายภายในเสียก่อน”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉื่อยชา “ปกติ เนื้อร้ายเหล่านี้ไม่เห็นอันตรายใด ๆ ทว่าเมื่อพวกเขาถูกกดดัน เนื้อร้ายเหล่านี้จะอยู่ไม่สุข บ้างจะกลายเป็นคนทรยศแอบสมคบคิดกับศัตรู บ้างจะยึดอำนาจ และบ้างจะฉวยโอกาสจากความวุ่นวาย พวกหัวอ่อนหน่อยก็จะรับแรงกดดันไม่ได้ และยอมแพ้ออกมาก่อน…”
กล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “นับแต่บรรพกาลตราบปัจจุบัน เหตุที่ขุมอำนาจสูงสุดบางแห่งดับสิ้นสูญสลายนั้นไม่ใช่เพราะศัตรูที่แข็งแกร่งเลย แต่เป็นความพ่ายแพ้ต่อเนื้อร้ายภายใน!”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวอย่างเชื่อมั่นลึกล้ำ “บิดาข้ากล่าวไว้เช่นนั้น หมายความถูกต้องจริง ๆ”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง นางก็พูดต่อ “และบิดาข้าก็สรุปไว้ว่าตราบใดที่เขาไม่อยู่ ก่อนเรื่องราวที่เกาะเซียนพระสุเมรุครั้งนี้จะจบลง ใครสักคนในราชวงศ์จะโผล่หัวออกมาแน่นอน ทว่าข้าเกรงว่าท่านพ่อคงไม่เคยคิดว่าพวกผู้เฒ่าสามจะร้อนรนเพียงนี้…”
แววตาของซูอี้วูบไหวเล็กน้อย เขากล่าวว่า “บิดาเจ้านั้นคาดไว้แล้ว ว่าด้วยนิสัยเช่นข้า ข้าจะสังหารผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณบนเกาะเซียนพระสุเมรุไปมากมาย สร้างเรื่องวุ่นวาย ดังนั้นข้าจึง… เป็นเครื่องมือ”
หัวใจของเซี่ยชิงหยวนเกร็งตัว นางรีบกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซู ท่านพ่อไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
ซูอี้กล่าว “ข้าย่อมรู้ว่าเขาไม่ได้เจตนา แต่เขาก็แค่ฉวยโอกาสกำจัดเนื้อร้ายท่ามกลางความวุ่นวาย”
เซี่ยชิงหยวนผ่อนคลายลงมากในทันที นางหยิบจดหมายปิดผนึกฉบับหนึ่งส่งให้ซูอี้ “ศิษย์พี่ซู บิดาข้าให้สิ่งนี้กับข้าไว้ก่อนจะจากไป และเคยบอกข้าว่าหากศิษย์พี่ซูไม่พอใจกับเรื่องนี้ ให้ข้ายื่นสิ่งนี้ให้ศิษย์พี่ซู”
ซูอี้เปิดผนึกจดหมายออกอ่าน และพบว่ามีเพียงประโยคเดียวเขียนไว้ “ราชวงศ์เซี่ยจะอยู่ข้างสหายเต๋าซูเสมอ!”
ลายมือนั้นฉวัดเฉวียนมีชีวิตชีวา หมึกซึมทะลุถึงหลังกระดาษ
ซูอี้เลิกคิ้ว เก็บจดหมายไปและกล่าวว่า “บิดาเจ้ามีแผนของบิดาเจ้า ทว่าในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันกับข้า เช่นนั้น… ข้าก็ไม่อาจรอบิดาเจ้ากลับมาแก้ไขมันได้”
เซี่ยชิงหยวนหัวใจสั่นเทา จากนั้นนางจึงกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ซูจะ…”
“ไม่ใช่ว่าเซี่ยหลินเยวียนต้องการเชิญข้าไปพบพรุ่งนี้หรือ? เช่นนั้นข้าจะไปพบเขา”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่ยี่หระ
เซี่ยชิงหยวนอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กะพริบตา ก่อนจะแย้มยิ้มราวจิ้งจอกน้อย และกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะต้องไปชมการแสดงพรุ่งนี้ให้จงได้เลย”
“เจ้าคาดไว้แล้วสินะ”
ซูอี้เหลือบมองหญิงงามผู้เจ้าเล่ห์
เซี่ยชิงหยวนกล่าวยิ้ม ๆ “ระหว่างทางมาที่นี่ ข้าก็คิดอยู่ว่าหากศิษย์พี่ซูรู้เรื่องนี้จะทำเช่นไร ข้าก็พอจะตัดสินลักษณะนิสัยของศิษย์พี่ซูได้ หากข้าเป็นศิษย์พี่ซู ข้าจะไม่มีทางทนกล้ำกลืนแน่นอน”
“เช่นนั้น ความกังวลก่อนหน้านี้ของเจ้าล้อกันเล่นหรือไร?”
ซูอี้เย้าหยอก
เซี่ยชิงหยวนส่ายหน้ากล่าว “ไม่จริงหรอก คืนนี้ที่ข้ามา สิ่งเดียวที่ข้ากังวลก็คือศิษย์พี่ซูจะเข้าใจบิดาข้าผิด”
ซูอี้ยิ้มโดยไม่พูดจา
…
วันที่สองเดือนสิบเอ็ด
ความหนาวเย็นยามเช้าตรู่คมกริบดั่งมีด ทิ่มแทงเสียดกระดูก
ซูอี้ตื่นแต่เช้า ฝึกฝนชกลม ชำระกาย กินดื่มเช่นทุกครั้ง
“ข้าจะไปภูเขาเทียนหมางสักพัก และจะกลับมาในไม่ช้า” ซูอี้ออกคำสั่ง ก่อนจะออกไปจากสวนน้อยนภาเมฆ
“ศิษย์พี่ซู ท่านจะทำสิ่งใดหรือ?”
เหวินซินจ้าวถามอย่างใคร่รู้
“ไปพาหยวนเหิงกับแม่นางไป๋กลับมา”
ซูอี้กล่าว แล้วร่างของเขาก็เดินออกไปนอกสวนเป็นที่เรียบร้อย “จะว่าไป เตรียมอาหารและน้ำให้พวกหยวนเหิงช่วงกลางวันด้วยนะ”
“ตกลง”
เยว่ซือฉานตกลง
เหวินซินจ้าวถามอย่างสงสัย “พี่ซือฉาน เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผกกัน?”
ดวงตาของเยว่ซือฉานกระจ่างใสเยี่ยงวารี กล่าวอย่างลอยชาย “เจ้าคิดว่าศิษย์พี่ซูจะตกอยู่ในอันตรายหรือไร?”
“แน่นอนว่าไม่”
เหวินซินจ้าวส่ายหน้าโดยไร้ลังเล
เยว่ซือฉานกล่าว “เช่นนั้น เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องใดเลย”
เหวินซินจ้าว “…”
…
ภูเขาเทียนหมาง
พระราชวังเทียนหยาง
“ทุกท่าน เมื่อซูอี้มาถึงจากนี้ พวกท่านต้องสุภาพให้มาก เพราะถึงอย่างไร นายน้อยผู้นี้ก็ได้รับการยกย่องมากมายจากฝ่าบาท ความแข็งแกร่งของเขาสุดแสนเหลือเชื่อ ในเชิงมารยาทแล้ว เขาไม่อาจถูกละเลย”
เซี่ยหลินเยวียนซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งประธานกล่าวช้า ๆ
เขากระปรี้กระเปร่าร่าเริง สวมอาภรณ์หนังงูเหลือม กิริยาสง่างามเปี่ยมพลัง
นอกจากเขา ยังมีราชนิกุลชั้นสูงห้าคนจากราชวงศ์เซี่ยอยู่ด้วย ยามได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างพยักหน้าให้กันอย่างไม่เห็นด้วย
ไม่ว่าซูอี้จะแข็งแกร่งเพียงไร เขาคงไม่อาจทำอันใดได้หากถูกกองกำลังโบราณสิบกว่าแห่งเหล่านั้นหมายหัว!
แค่คนใกล้ตาย ไฉนต้องสนใจมากนัก?
เมื่อเห็นเช่นนี้ แววตาของเซี่ยหลินเยวียนก็วูบไหว พลางกล่าวว่า “นอกจากนี้ ข้าได้แจ้งกองกำลังโบราณเหล่านั้นให้ส่งผู้ส่งสาส์นมา ยามซูอี้มาถึง ข้าจะประกาศเจตนารมณ์ของราชวงศ์เซี่ยเราต่อหน้าเขา”
มีผู้อดกล่าวไม่ได้ว่า “จะประกาศวันนี้หรือ?”
“เรื่องใหญ่เช่นนี้จะยื้อต่อไปได้เช่นไร?”
เซี่ยหลินเยวียนกล่าวอย่างเฉยเมย “เมื่อคืน ทุกคนได้เห็นแล้วว่ามีราชนิกุลในราชวงศ์เรามากมายคัดค้านการกระทำนี้ ดังนั้นการเฉือนเนื้อร้ายในฉับเดียวคงดีกว่า”
ทุกคนพยักหน้า
จริงของเขา ความวุ่นวายอันเกิดจากซูอี้นั้นมากมายเกินไป รังแต่จะทำให้มหานครจิ๋วติ่งวุ่นวายและดึงดูดความสนใจจากตัวปัญหาทั้งหลาย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คงดีกว่าหากราชวงศ์เซี่ยจะถอนตัวจากความยุ่งเหยิงให้เร็วที่สุด
“ผู้เฒ่าสาม องค์หญิงชิงหยวนมาแล้วขอรับ”
เสียงรายงานดังออกมาจากนอกโถง
“ให้นางเข้ามา”
เซี่ยหลินเยวียนกล่าวสบาย ๆ
ไม่นานนัก เซี่ยชิงหยวนในชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อนผู้มีผิวพรรณขาวละเอียดยิ่งกว่าหิมะก็เดินเข้ามา พลางกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ผู้เฒ่าสาม วันนี้ข้ามาดูเรื่องสนุก ทว่าไม่ทราบว่าท่านจะยินดีหรือไม่”
เซี่ยหลินเยวียนหัวเราะพลางกล่าว “ข้าจะไม่ยินดีได้เช่นไร หาที่นั่งก่อนเถิด”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า และหาที่นั่งไกล ๆ เพื่อนั่งลงทันที ดวงตางามและฉลาดเฉลียวมองราชนิกุลคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์
คนเหล่านี้คือผู้ที่ศิษย์พี่ซูเรียกว่า ‘เนื้อร้าย’
เซี่ยชิงหยวนพึมพำในใจ
ไม่นานจากนั้น เสียงรายงานก็ดังขึ้น เหล่าผู้ส่งสาส์นจากขุมอำนาจเก่าแก่ต่าง ๆ มาถึงแล้ว
“เชิญเข้ามาเร็ว!”
เซี่ยหลินเยวียนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
ไม่นานนัก ร่างของบุคคลสิบกว่าชีวิตก็เดินเข้ามาในห้องโถง มีทั้งชายและหญิง พวกเขาล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งมาก และต่างอยู่ในวิถีวิญญาณทั้งสิ้น
ผู้นำกลุ่มคือชายวัยกลางคนในอารมณ์สีม่วง ห้อยฝักดาบที่เอว
นามของเขาคือหวนเทียนเหอ ผู้อาวุโสจากตระกูลหวนเผ่ามาร
ทันทีที่มาถึง หวนเทียนเหอก็มองกวาดไปทั่วโถงและขมวดคิ้ว “พี่เซี่ย ไม่ใช่ท่านบอกว่าซูอี้จะมาเช้านี้หรือ?”
เซี่ยหลินเยวียนลุกขึ้นกล่าวยิ้ม ๆ “สหายเต๋าหวนเชิญนั่งก่อน”
“ย่อมได้ ข้าจะรอสักพัก”
หวนเทียนเหอโบกมือ หาที่นั่งลงพร้อมกับผู้ส่งสาส์นคนอื่น ๆ จากบรรดากองกำลังโบราณ
ยามเมื่อเซี่ยชิงหยวนได้เห็นภาพนี้ นางก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าเฒ่าพวกนี้ถือดีเกินไป!
เรื่องน่าหงุดหงิดใจยิ่งกว่าก็คือผู้เฒ่าสามเซี่ยหลินเยวียนยังไปยิ้มแย้มต้อนรับพวกเขาอีก!
“พี่เซี่ย ข้าเห็นทัศนคติของราชวงศ์เซี่ยท่านแล้ว ต้องกล่าวว่าเป็นการเลือกที่ฉลาด”
หวนเทียนเหอกล่าวด้วยท่าทีสุขุม “ข้าจะรอให้ซูอี้มา ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่อยากรบกวน หวังว่าพี่เซี่ยจะตกลง”
เซี่ยหลินเยวียนกล่าวยิ้ม ๆ “พี่หวนเชิญว่ามา”
หวนเทียนเหอกล่าว “ข้าหวังว่าจะสามารถใช้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนของราชวงศ์เซี่ยพวกท่านเพื่อปราบซูอี้!”
อันใดนะ!?
สีหน้าของเซี่ยหลินเยวียนและเหล่าราชนิกุลต่างแปรผัน
ม่านตาของเซี่ยชิงหยวนหดตัวเงียบ ๆ หัวใจขุ่นหมอง ไอ้แก่สารเลวนี่กล้าคิดใช้ค่ายกลพิทักษ์แดนของพวกเขา!
เพื่อฆ่าคน!
เมื่อเห็นเช่นนี้ หวนเทียนเหอก็ยิ้มน้อย ๆ และกล่าวต่อ “แน่นอนว่าเราก็แค่ยืม เมื่อกวาดล้างซูอี้ได้ ข้าจะมอบรางวัลอันเหมาะสมแก่ราชวงศ์เซี่ย”
สีหน้าของเซี่ยหลินเยวียนลังเล เขากล่าวว่า “พี่หวน เรารับปากแล้วว่าราชวงศ์เซี่ยเป็นกลางเสมอ หากเราทำเช่นนี้ มันจะต่างอันใดกับพาตัวลงปลักโคลนเล่า?”
หวนเทียนเหอขมวดคิ้วกล่าว “พี่เซี่ย ขอเพียงท่านรับปาก กองกำลังทั้งสิบสามจะไม่มีวันลืมบุญคุณของราชวงศ์เซี่ย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อราชวงศ์เซี่ยของท่านแน่”
“ในทางกลับกัน หากท่านปฏิเสธ จะเป็นการแล้งน้ำใจต่อเรา หวังว่าท่านจะพิจารณาให้ถี่ถ้วน!”
ในวาจานั้นแฝงไปด้วยคำข่มขู่
ยามนี้ เหล่าทูตจากกองกำลังโบราณต่างกันไปมองเซี่ยหลินเยวียน
แรงกดดันที่มองไม่เห็นนี้ทำให้สีหน้าของเซี่ยหลินเยวียนแปรเปลี่ยนอีกครา ตัวคนตกสู่ความเงียบ
เซี่ยชิงหยวนที่อยู่ไม่ไกลลอบถอนหายใจ นี่แหละคือจุดจบ!
ขอเพียงแสดงจุดอ่อน อีกฝ่ายจะรังแต่ได้คืบเอาศอก สาวทุกผลประโยชน์สู่ตน!