บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 589 ออกดาบบั่นหัว
ตอนที่ 589: ออกดาบบั่นหัว
ตอนที่ 589: ออกดาบบั่นหัว
ตระกูลหวนเผ่ามาร โถงวิญญาณหยินทมิฬ สำนักวิถีสุญญะ สำนักผลาญตะวัน…
มีขุมอำนาจกลุ่มเต๋าโบราณทั้งหมดสิบสามกลุ่ม และแต่ละแห่งต่างไม่ได้มีพื้นหลังและอำนาจด้อยกว่าราชวงศ์เซี่ย!
ยามนี้เมื่อพวกเขาร่วมมือกันกดดัน แรงกดดันที่เซี่ยหลินเยวียนเผชิญก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อย
“แน่นอนว่าหากราชวงศ์เซี่ยของพวกท่านอยากอยู่ให้ห่างเรื่องนี้ เราย่อมไม่มีสิ่งใดต้องกล่าว”
หวนเทียนเหอไม่ได้กดดันมากเกินไป เขายิ้ม “อืม ข้าจะก้าวถอยออกมา ยามเมื่อซูอี้ปรากฏกายหลังจากนี้ หากเขาโอหังกล้าใช้กำลังที่นี่ ก็ขอให้พี่เซี่ยใช้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนปราบมันลง ท่านคิดเช่นไร?”
ได้ยินเช่นนี้ เซี่ยหลินเยวียนพลันถอนหายใจโล่งอกและกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ทุกท่าน ภูเขาเทียนหมางคืออาณาเขตของราชวงศ์เซี่ยเรา หากซูอี้กล้าก่อความวุ่นวาย ข้าย่อมไม่ละเว้นเขา!”
หวนเทียนเหอและคณะอดหัวเราะไม่ได้
เซี่ยหลินเยวียนครุ่นคิด แล้วจึงกล่าวว่า “ทุกท่าน หากซูอี้มาถึงและวางตัวดี พูดจาตรงไปตรงมา ข้าและราชวงศ์เซี่ยจะไม่ทำอันใดต่อเขา”
หวนเทียนเหอกล่าวด้วยประกายตาเย้าแหย่ “เช่นนั้นทุกอย่างจะขึ้นกับว่าเขาจะสามารถก้มหัว ไม่ให้ข้ามีโทสะได้หรือไม่”
เซี่ยหลินเยวียนสะดุ้ง เขาเข้าใจทันที
ยามเมื่อซูอี้มาถึง พวกหวนเทียนเหอจะยั่วโทสะซูอี้ พยายามสุดชีวิตให้ซูอี้ลงมือแน่แท้!
ทว่าสุดท้าย เซี่ยหลินเยวียนก็ไม่ได้กล่าววาจาใด
เซี่ยชิงหยวนมองด้วยเรื่องทั้งหมดด้วยสายตาเย็นชา หัวใจครั่นคร้าม
เมื่อเห็นเหล่าผู้ส่งสาส์นจากกองกำลังโบราณมาทำกร่างในเขตของตน ใครเล่าจะรู้สึกดี?
สิ่งที่ทำให้เซี่ยชิงหยวนรำคาญใจที่สุดก็คือการที่ผู้เฒ่าสามเซี่ยหลินเยวียนนั้นทำตัวเป็นลิ่วล้อชวนน่าขันเช่นนั้นต่างหาก!
การกระทำเยี่ยงนี้ทำให้ราชวงศ์เซี่ยขายหน้า!
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
สตรีงามผู้ดูเย่อหยิ่งในอาภรณ์ขนนกสีเขียวขมวดคิ้วอย่างสิ้นความอดทน “เหตุใดเจ้าหนูซูอี้นั่นยังไม่มาอีก?”
หวนเทียนเหอและคณะต่างมองไปยังเซี่ยหลินเยวียน
เซี่ยหลินเยวียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “อย่าร้อนรนไป ทุกท่าน ซูอี้จะมาแน่นอน!”
เขามั่นใจมาก ทั้งหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงต่างยังอยู่ในมือเขา… ซูอี้จะไม่กล้ามาได้เช่นไร?
“รายงาน—! ซูอี้มาถึงแล้วขอรับ!”
เสียงของทหารอารักขาผู้หนึ่งดังเข้ามาในห้องโถง
วูบ!
สายตาทุกคู่ในห้องโถงหลักต่างหันไปมองที่หน้าประตู
ชายในชุดคลุมสีเขียวราวหยกผู้หนึ่งเดินเข้ามา กิริยาลอยชาย ดูไม่ยี่หระต่อสิ่งใด
เขาคือซูอี้
หัวใจของเซี่ยชิงหยวนสั่นคลอน ในที่สุดก็มาแล้ว!
แววตาของพวกหวนเทียนเหอวูบไหว เจือด้วยความเย็นชา
“เข้ามาได้”
เซี่ยหลินเยวียนผู้นั่งบนเก้าอี้ประธานสูงกลางโถงกล่าวอย่างวางมาด
ซูอี้ไพล่มือไว้ข้างหลัง ก้าวเข้าสู่ห้องโถง เหลือบมองทุกคนที่อยู่ในห้อง จากนั้นจึงหันไปพูดกับเซี่ยหลินเยวียน “เจ้าคือเซี่ยหลินเยวียนหรือ?”
ทันทีที่มาถึง ชายหนุ่มไม่กล่าวทักทายใด ๆ และเรียกเขาด้วยชื่อเซี่ยหลินเยวียนห้วน ๆ!
ท่าทางลอยชายนี้ดูทรงพลังยิ่งในสายตาทุกคู่
“สามหาวไร้มารยาท!”
ชายชราในชุดเหลืองผู้หนึ่งแค่นเสียงเย็นชา คนผู้นี้เป็นหนึ่งในราชนิกุลชั้นสูงซึ่งไม่ชอบพฤติกรรมของซูอี้
ซูอี้เมินอีกฝ่าย
เขาทำเพียงมองเซี่ยหลินเยวียนอย่างเฉยเมย
เซี่ยหลินเยวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มบาง ๆ และกล่าวว่า “ถูกต้อง ข้าเชิญสหายน้อยมาเอง เชิญนั่ง”
เขาอุปโลกน์คำว่าสหายน้อยนี้ขึ้นเอง วางตนเป็นผู้ใหญ่
ร่างของซูอี้ยืนค้างอยู่กลางห้องโถง กล่าวว่า “ปล่อยพวกเขาไป”
บรรยากาศในห้องโถงพลันตึงเครียด
ใครเล่าจะไม่เห็นว่าทัศนคติของซูอี้แข็งกร้าวเพียงไร?
เขาเมินทุกวาจาของเซี่ยหลินเยวียน กล่าวเพียงสิ่งที่อยากจะกล่าว!
หวนเทียนเหอและคณะต่างตกตะลึง ภูเขาเทียนหมางเป็นที่มั่นของราชวงศ์เซี่ย เจ้าหนุ่มผู้นี้ยังกล้าทำตัวโอหังอีกหรือ?
เขาไม่กังวลหรือว่าหากเสียการคุ้มครองของราชวงศ์เซี่ย ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร?
มีเพียงเซี่ยชิงหยวนเท่านั้นที่ตื่นเต้น ลูกผู้ชายควรเป็นเช่นนี้!
คิ้วของเซี่ยหลินเยวียนขมวดเข้าหากันมากขึ้นทุกที รู้สึกไม่ค่อยเป็นสุขเท่าไร
สีหน้าของเขาเองก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนจะกล่าวว่า “พูดถึงหยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงอยู่หรือ? ไม่ต้องห่วง พวกเขาทั้งสองในยามนี้ไม่เป็นไร ข้าเซี่ยหลินเยวียนไม่สนใจจะทำให้พวกเขาต้องอับอาย”
หลังชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “ยามจบเรื่อง ข้าจะปล่อยพวกเขาไป”
สีหน้าของซูอี้เยือกเย็นเช่นเก่า และกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าหมายความเช่นไร ก็เอาสิ”
เซี่ยหลินเยวียนตกใจ
พวกหวนเทียนเหอเองต่างก็แปลกใจ คนผู้นี้คาดไว้แล้วหรือว่าราชวงศ์เซี่ยวางแผนตัดสัมพันธ์ทิ้งเขา?
“ก็เอาสิ? โอ้ ช่างถือดียิ่งนัก เมื่อไร้การปกป้องจากราชวงศ์เซี่ย เจ้าคิดหรือว่าจะรอดไปจนวันนี้วันพรุ่ง?”
ผู้ส่งสาส์นจากกองกำลังโบราณอื่น ๆ รอบกายหัวร่องอหาย
เปลือกตาเซี่ยชิงหยวนกระตุก ตระหนักได้ว่าผู้ส่งสาส์นจากกองกำลังโบราณกำลังจุดชนวนสงคราม พวกเขาอยากยั่วยุซูอี้ให้ลงไม้ลงมือที่นี่ทุกวิถีทาง!
เมื่อคิดเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็อดส่งกระแสเสียงไม่ได้ “ศิษย์พี่ซู พวกเจ้าแก่ทั้งสิบสามนี้มาจากกองกำลังโบราณต่างกัน พวกเขากำลังยั่วยุพี่อยู่เพื่อให้ลงไม้ลงมือ เพื่อที่พวกผู้เฒ่าจะได้ใช้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนจัดการกับเจ้า!”
ซูอี้ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็แข็งทื่อไม่เปลี่ยนแปร
เขากล่าวกับพวกหวนเทียนเหอว่า “ข้าหวังว่าต่อไป พวกเจ้าจะยังหัวเราะได้”
สายตาเมินเฉยนี้ทำให้หวนเทียนเหอและคณะรู้สึกหัวใจเย็นเฉียบอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มเยาะบนใบหน้าเองก็แข็งค้าง
หวนเทียนเหอกล่าวอย่างเย็นชา “ซูอี้ เจ้าหมายความเช่นไร? ยังกล้าลงไม้ลงมือในภูเขาเทียนหมางอีกหรือ?”
“ซูอี้ ข้าแนะนำให้เจ้าใจเย็นลงและไม่ถูกล่อหลอกนะ”
เซี่ยหลินเยวียนที่อยู่บนบัลลังก์ประธานกลางโถงกล่าว “อย่าลืมสิว่าที่นี่คือภูเขาเทียนหมาง ที่พำนักแห่งราชวงศ์เซี่ย ข้ารับปากแล้วว่าราชวงศ์เซี่ยจะไม่เข้าร่วมในเรื่องนี้ แต่หากเจ้ายังก่อเรื่องอาละวาดที่นี่ เช่นนั้นก็ถือว่า… สามหาว!”
“เจ้าคิดว่าข้ามาที่นี่แค่เพื่อฟังลมปากเพ้อเจ้อของพวกเจ้าหรือไร?”
ซูอี้อดยิ้มขำไม่ได้
เปลือกตาเซี่ยหลินเยวียนกระตุกขณะกล่าว “สหายน้อยหมายความเช่นไร?”
“ข้าไม่สนใจหากราชวงศ์เซี่ยจะเป็นกลางหรือไม่ แต่เจ้าไม่ควรกักตัวคนของข้า”
แววตาของซูอี้มืดหม่น น้ำเสียงแข็งขึ้น “และข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อหารือกับเจ้า เซี่ยหลินเยวียน”
เซี่ยหลินเยวียนตะลึง แทบไม่เชื่อหูตน
เจ้านี่บ้าไปแล้วหรือไร?
ราชนิกุลที่เหลือต่างตะลึงเช่นกัน พวกเขาไม่เคยคาดว่าซูอี้จะสามหาวเพียงนี้
หวนเทียนเหอและผู้อื่น ๆ เองก็รู้สึกงงงวย
เกิดอันใดขึ้น?
ก่อนที่เขาจะทันได้ยุยง ซูอี้กลับประกาศต่อสู้กับราชวงศ์เซี่ยก่อน?
“ฮะ ๆ ฮ่า ๆๆ น่าสนใจ น่าสนใจแท้! ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีคนที่โง่จนเดินเข้ามาหาเรื่องราชวงศ์เซี่ยถึงถิ่นเช่นนี้… นี่ต่างอันใดกับหาที่ตายหรือ?”
ชายชราร่างอ้วนผู้หนึ่งอดหัวเราะไม่ได้
ทันใดนั้น ทุกคนต่างระเบิดหัวเราะ
ราชวงศ์เซี่ยควบคุมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน พวกเขาสามารถสังหารผู้ฝึกตนใด ๆ ได้ในพริบตา!
ในสถานการณ์เช่นนี้ กระทั่งกองกำลังกลุ่มเต๋าโบราณของพวกเขายังไม่กล้าทำตัวโอหังในภูเขาเทียนหมางนี้เลย
ทว่าซูอี้นั้นเยี่ยมยอดเหลือเกิน สงสัยคงอยากตายที่นี่กระมัง!
เซี่ยชิงหยวนยิ้มด้วยสีหน้าพิลึกพิลั่น
เจ้าแก่สารเลวพวกนี้กล้าฉกฉวยผลประโยชน์จากราชวงศ์เซี่ยของพวกเขา ทว่าไฉนจึงไม่ลงมือกับซูอี้ตรง ๆ?
ง่ายนิดเดียว พวกเขากลัว!
ผลงานอันโดดเด่นของซูอี้ในเกาะเซียนพระสุเมรุนั้นเพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกตนใด ๆ ในโลกครั่นคร้ามหวาดกลัวได้ พวกเขาจะกล้ารับมือซูอี้ตรง ๆ หรือ?
ทว่ายามนี้ เหตุที่พวกเขากล้าหัวเราะอย่างไร้ความกลัวก็เพราะว่าบนภูเขาเทียนหมางนี้ พวกเขาสามารถพึ่งพาขุมอำนาจต่าง ๆ เบื้องหลังตนเพื่อบีบให้ผู้เฒ่าสามใช้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนจัดการกับซูอี้
เรื่องนี้ช่างน่าตลกนัก
“โชคดีที่มีเพียงน้อยคนในราชวงศ์รู้ว่าเคล็ดวิชาการซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนมาจากซูอี้ หาไม่ ข้าจะหาดูเจ้าพวกโง่พวกนี้หัวเราะเฮฮายามใกล้ตายได้หนใดกัน?”
เซี่ยชิงหยวนลอบหัวเราะในใจ
“สหายน้อยซู เจ้ากำลังถูกโทสะบังตาหรือไม่?”
เซี่ยหลินเยวียนเองก็หัวเราะอย่างงุนงง “หรือบางทีอาจเพราะราชวงศ์เซี่ยของข้าไม่ปกป้องเจ้าแล้ว เจ้าจึงรู้สึกเคืองแค้นและกล่าวเรื่องน่าขันเช่นนี้ออกมา?”
บรรยากาศในโถงคึกคักสำราญยิ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาถือการกระทำเก่าก่อนของซูอี้เป็นเรื่องขำขัน
ซูอี้ไม่ได้หัวเราะ เขาแค่รู้สึกหนวกหู
ชิ้ง!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าปรากฏขึ้นบนมือ เสียงของมันต่ำและกังวานราวคำราม
ฉับพลันนั้น เสียงหัวเราะในห้องโถงก็เงียบลง
ทุกผู้ต่างตะลึง เจ้านี่… ตั้งใจจะลงมือจริง ๆ หรือ?
“เจ้าเด็กนี่ดูจะไม่ใช่เพียงโทสะบังตา ในความเห็นข้า เขาไม่อยากมีชีวิตต่อแล้วชัด ๆ!”
ชายชราผมและเคราสีเงินผู้หนึ่งม้วนหนวดเคราของตน
โม่อู๋หยา ผู้อาวุโสจากสำนักผลาญตะวัน
เขาพูดพลางมองเซี่ยหลินเยวียนและกล่าวกดดัน “สหายเต๋าเซี่ย ไฉนเจ้าจึงเก็บคนบ้าเช่นนี้ไว้?”
แววตาของเซี่ยหลินเยวียนวูบไหว เขาส่ายหัวกล่าวว่า “สหายเต๋าอย่ากังวลกับวาจาเลย ข้ากล่าวไว้แล้วว่า ราชวงศ์เซี่ยของข้าจะไม่ยื่นมือเข้าพัวพัน ข้าจะไม่ขัดคำพูดนี้”
ยังไม่ทันกล่าวจบ
เขาก็เห็นซูอี้ยกดาบขึ้นฟันใส่โม่อู๋หยา
ฉับ!
หนึ่งปราณดาบสีเขียวครามปรากฏขึ้นราง ๆ วูบไหวชัดเจน ทว่าก็เคลื่อนเข้าหาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
สิ่งที่เกิดกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนไม่ทันตั้งตัว พวกเขาไม่คาดว่าซูอี้จะเสียมารยาทและลงมือทันที ไม่กล่าวคำเตือนใด ๆ
โม่อู๋หยานั่งอยู่หลังโต๊ะ ยามเมื่อสังเกตเห็น มันก็สายเกินจะหลบแล้ว!
ทว่า ถึงอย่างไรเขาก็ผ่านศึกมาอย่างโชกโชน ประสบการณ์รบของเขาช่ำชอง
ตู้ม!
ตรงหน้าเขา กระถางจิตหยกขาวทรงสี่เหลี่ยมใบหนึ่งพลันปรากฏ ขยายขนาดขึ้นเป็นสามจั้ง ปรากฏอักขระอาคมลึกลับเก้าชนิดรอบ ๆ
อักขระวูบไหว และทันใดนั้น ค่ายอาคมทั้งเก้าก็แปรเปลี่ยนเป็นมังกรสีครามอันเด่นชัด ขดเป็นงูเชิดหน้าสูง บรรยากาศน่าหวั่นเกรง
กระถางเก้าตำหนักชิงเจียว!
นี่คือสมบัติวิญญาณคู่ชีพของโม่อู๋หยาซึ่งถูกเก็บไว้ในร่างของเขาเกือบสามร้อยปี มีความสามารถทั้งเชิงโจมตีและป้องกัน ยามเผชิญหน้า มังกรสีครามที่สร้างจากอาคมทั้งเก้าเพียงพอต่อการบดขยี้อำนาจเต็มกำลังของผู้ฝึกตนใด ๆ ในขอบเขตเดียวกัน!
ทว่า…
ปราณดาบของซูอี้ฟาดลงใส่
ฉับ!
มังกรสีครามถูกบั่นหัวทันทีที่ปรากฏตัว ร่างของมันเปลี่ยนเป็นอักขระระเบิดออกกลางอากาศ
จากนั้นทันใด ภายใต้สายตาตื่นตะลึงทุกคู่ กระถางเก้าตำหนักชิงเจียวสูงสามจั้งก็ถูกหั่นครึ่งราวทำจากเต้าหู้
เมื่อมองโม่อู๋หยาอีกครั้ง เขาก็มองซูอี้ด้วยแววตาว่างเปล่า กล่าวอย่างเหม่อลอย “ทำไม… จึงเป็นข้า?”
“เจ้าเพ้อเจ้อมากไปแล้ว”
ซูอี้กล่าวลอย ๆ
มุมปากโม่อู๋หยากระตุกสั่นราวกับจะเอ่ยคำใด
ทว่ายามนี้ เส้นสีเลือดอันน่าตกใจแผ่ออกจากเหนือกระหม่อม ลากตามร่างของเขาจนแยกเป็นสองเสี่ยง ร่วงลงสองฝั่งพื้น
โลหิตอุ่นร้อนแผ่ออกมาจากครึ่งร่างทั้งสองเยี่ยงน้ำตก
ทั้งโถงตกตะลึง!