บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 59 น่องไก่แช่น้ำเน่า
ตอนที่ 59 น่องไก่แช่น้ำเน่า
จางเยวี่ยนซิงและชายชราสวมหมวกดำจากไปพร้อมกับเรือ ไม่ช้าจึงเลือนหาย
ฟู่ซานอดหัวเราะอีกครั้งไม่ได้ ถ้อยคำกล่าวออก “บุตรชายผู้นำตระกูลจางผู้นี้มีสายตาเฉียบแหลมนักที่เห็นความพิเศษในตัวของคุณชายซู แต่เรื่องขบขันคือเขาหาได้ทราบไม่ ว่าคุณชายซูเป็นประหนึ่งมังกรผงาดฟ้าแล้ว มีหรือจะไปเป็นคนติดตามเช่นนั้น?”
ซูอี้กล่าวเรียบเฉย “คนหนุ่มในช่วงวัยนี้ มักชอบแสวงหาผู้มีพรสวรรค์มาใช้งาน และมีความทะเยอทะยานเป็นธรรมดา”
ฟู่ซานพยักหน้าและกล่าวรับ “หากมียอดฝีมือรุ่นเยาว์อีกคนในเมืองกว่างหลิง และมีโอกาสที่จะได้เกี่ยวข้องร่วมกับจางเยวี่ยนซิง เกรงว่าน้อยคนนักที่คิดปฏิเสธ”
มหานครอวิ๋นเหอ เรียกได้ว่าเป็นหัวเมืองสำคัญของสิบเก้าเมืองในเขตปกครองอวิ๋นเหอ ห่างชั้นจากเมืองอันห่างไกลอย่างเมืองกว่างหลิงและเมืองลั่วอวิ๋นที่อยู่ห่างไกล
ในมหานครอวิ๋นเหอ มีกองกำลังน้อยใหญ่จำนวนมาก
ในบรรดากลุ่มนั้นมีสี่ยอดกองกำลัง ได้แก่ ‘จวนผู้ว่า’ ที่รับใช้ราชสำนักต้าโจว และ ‘สำนักดาบชิงเหอ’ ที่ซึ่งเป็นสำนักผู้บ่มเพาะแห่งแรกในเขตปกครองอวิ๋นเหอ
อีกสองที่เหลือ คือตระกูลจาง และตระกูลหยวน
ต่อหน้าสี่ยอดกองกำลังเหล่านี้ กองกำลังอื่นล้วนด้อยกว่าอย่างยากเทียบได้
ในฐานะบุตรชายของผู้นำตระกูลจาง ความสูงส่งของจางเยวี่ยนซิงนั้นพอจินตนาการได้
เช่นเดียวกับตอนนี้ เมื่อได้เผชิญหน้า ฟู่ซานจึงต้องยอมอ่อนข้อ
ขณะที่พูดคุยกัน ทั้งสองคนเดินตรงไปยังป่าไผ่ที่ไม่ใหญ่นัก
ป่าไผ่นั้นเขียวขจี มีไอหมอกและพลังวิญญาณอยู่เลือนราง ไผ่วิญญาณหยกขจีที่โตเต็มที่มีเพียงสิบกว่าต้นเท่านั้น แม้จะมีอีกหลายต้น ทว่ายังไม่โตเต็มที่
ไผ่วิญญาณหยกขจีลำหนาเพียงเท่าแขน สูงไม่เกินสิบจั้ง ลำต้นเป็นผลึกใสดั่งหยกเนื้อดี
ฟู่ซานที่ถือจอบสั้นพลันยิ้มและกล่าวคำ “คุณชายซูชอบต้นใด เพียงบอกกล่าวข้ามา”
ซูอี้ไม่เกรงใจ หลังสำรวจดูโดยคร่าว จึงเลือกไผ่วิญญาณหยกขจีมาหนึ่งต้น
ฟู่ซานก้าวไปด้านหน้าทันที ก่อนจะขุดดินด้วยจอบสั้น และขุดรากไผ่วิญญาณหยกขจีออกมา
อย่างไรแล้วมันก็คือวัตถุวิญญาณประการหนึ่ง สามารถใช้ส่วนรากและใบเป็นยาได้ ส่วนลำต้นสามารถใช้เป็นวัสดุวิญญาณ จึงมากพอจะเรียกได้ว่าสมบัติ
“คุณชายซูเชิญรับชมว่ามีอะไรน่าสนใจอีกหรือไม่” ฟู่ซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ที่เขาพาซูอี้มาในวันนี้ ก็เพราะต้องการแบ่งสมบัติบางส่วนบนเกาะไผ่วิญญาณให้กับซูอี้ เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
ซูอี้ครุ่นคิด “หากเป็นไปได้ เช่นนั้นขอไผ่อีกสักสองต้น”
เขาเลือกต้นไผ่วิญญาณหยกขจีด้วยตัวเอง เลือกเอาต้นที่มีคุณภาพดี ด้วยไผ่เหล่านี้ เขาจะสามารถสร้างฝักดาบที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้
ต้นไผ่วิญญาณหยกขจีถือเป็นวัสดุวิญญาณ เมื่อนำมาทำฝักดาบมันจะมีสรรพคุณบำรุงรักษาคมดาบ
ส่วนต้นไผ่อีกสองต้นที่ซูอี้ต้องการ เขาตั้งใจคิดนำมาทำเป็นยันต์ชุดหนึ่ง
สร้างยันต์ สร้างสมบัติวิเศษ หลอมเม็ดยา เลี้ยงสัตว์วิญญาณ…
ทักษะเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้บ่มเพาะในเก้ามหาแดนดินต่างจำเป็นต้องเรียนรู้ทั้งหมด
ดังนั้นซูอี้ที่ได้รับยกย่องเป็น ‘ปรมาจารย์หมื่นวิถี’ ในชาติก่อน เขาจะพลาดไม่ล่วงรู้ถึงวิธีการสร้างยันต์ได้อย่างไร?
น่าเสียดาย ที่นี่คือมหาทวีปคังชิง พลังวิญญาณจึงขาดแคลนและถดถอย
ดังนั้นหากอยากทำยันต์ มันจะเป็นเรื่องยากในการค้นหาวัสดุวิญญาณที่เหมาะสม
ไผ่วิญญาณหยกขจีที่อยู่ตรงหน้าถือได้ว่าเป็นวัสดุวิญญาณขั้นรองแต่มันก็ยังพอแบกรับพลังพื้นฐานของยันต์เอาไว้ได้
ซูอี้ย่อมไม่ลงมือพลาด
ที่ด้านข้าง ฟู่ซานขุดต้นไผ่วิญญาณหยกขจีซึ่งโตเต็มวัยออกมาอีกสองต้น จากนั้นจึงขุดเอาหน่อที่อยู่ใต้พื้นดิน และยังยกทั้งหมดนี้ให้ซูอี้
เขายิ้มและกล่าวว่า “คุณชายซู หน่อของต้นไผ่วิญญาณหยกขจีเป็นของหายาก มีพลังวิญญาณมาก และมีรสสัมผัสที่ดี ในยามปกติแล้ว ไม่มีผู้ใดลังเลที่จะได้ลิ้มลองมัน”
“ขอบคุณแล้ว” ซูอี้พยักหน้าตอบรับ
ฟู่ซานโบกมือพร้อมกล่าว “คุณชายซูอย่าได้เกรงใจข้า หากท่านไม่ช่วยพลิกกระแสในงานประลองประตูมังกรเมื่อคืนนี้ เกาะไผ่วิญญาณคงจะถูกตาแก่ลี่เจี้ยนอวี่จากเมืองลั่วอวิ๋นคว้าเอาไป”
ในไม่ช้า ทั้งสองกลับไปที่เรือข้ามฟาก และกลับไปตามทางเดิม
กระทั่งมาถึงสำนักแพทย์ซิ่งหวง
ซูอี้ที่เพิ่งลงจากรถม้ากล่าวคำออก “เจ้าเมืองฟู่ อีกไม่นานนี้ข้าจะไปจากเมืองกว่างหลิงแล้ว”
ฟู่ซานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยความรู้สึกนึกเสียดาย “ข้าสังหรณ์ถึงความตั้งใจของคุณชายซูอยู่แล้ว ว่าท่านคงไม่อาจจะอยู่ในสถานที่เล็กแคบเช่นเมืองกว่างหลิงได้นาน แต่ไม่คิดว่าจะเร็วถึงเพียงนี้”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เขาพูดกล่าวอย่างลังเล “ข้าขอทราบได้หรือไม่ ว่าคุณชายซูวางแผนจะเดินทางไปที่ใด?”
“มหานครอวิ๋นเหอ” ซูอี้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขาเคยฝึกในสำนักดาบชิงเหอมาสามปี และค่อนข้างคุ้นเคยกับมหานครอวิ๋นเหอ
ตอนนี้เขาเริ่มฝึกขั้น ‘ขัดเกลากระดูก’ แล้ว ถัดไปจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ มันมีเพียงที่ซึ่งเจริญรุ่งเรืองอย่างมหานครอวิ๋นเหอเท่านั้น เขาถึงจะสามารถหาทรัพยากรที่จำเป็นต่อการฝึกฝนในขอบเขตรวบรวมลมปราณได้
ฟู่ซานพยักหน้าและกล่าว “เช่นนั้นคุณชายซูคิดจะไปเมื่อใด?”
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวคำ “อย่างมากที่สุดก็ไม่เกินหนึ่งเดือน”
เขาอยากจะรอให้เหวินหลิงเสวี่ยผู้เป็นน้องสะใภ้กลับมาก่อน
รวมถึงไปเดินเล่นแถวสันเขามารดาภูตผีสักครา
ก่อนจะออกไปนั้น ฟู่ซานคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ ถ้อยคำกล่าวออก “จะว่าไป คุณชายซูคิดว่าข้าควรตอบจางเยวี่ยนซิงว่าอย่างไรดี?”
“เจ้าเมืองฟู่คิดว่าอย่างไรล่ะ?” ซูอี้ถามกลับ
“ฟู่ทราบแล้ว”
ฟู่ซานสะดุ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะและกล่าวออก “เมื่อใดคุณชายซูเดินทาง ข้าจะมาลาส่งท่านเป็นการส่วนตัว”
ไม่ช้า ฟู่ซานกับคนของเขาก็จากไป
ซูอี้เดินเข้าไปในสำนักแพทย์ซิ่งหวง
“ท่านเขย” ทันใดนั้นหูเฉวียน อู๋กว่างปิน และผู้อื่นที่กำลังยุ่งอยู่ในสำนักแพทย์ เช่นเดียวกับข้ารับใช้ทั้งหลาย ต่างหยุดเคลื่อนไหวและมองไปยังซูอี้
สีหน้าพวกเขามีร่องรอยความเคารพยำเกรงปรากฏ
ข่าวจากงานประลองประตูมังกรเมื่อคืนนี้ สร้างความตื่นตะลึงให้กับทั้งสองฝั่งแม่น้ำต้าฉางแล้ว ทั้งยังกระจายไปทั่วเมืองกว่างหลิง ทำให้เกิดเสียงฮือฮาขึ้นมากมาย
ผู้ใดกันจะคาดคิดว่าผู้ซึ่งชนะคว้าอันดับหนึ่งของงานประลองประตูมังกร จะกลายเป็นซูอี้
ดังนั้นเมื่อซูอี้ปรากฏตัวที่สำนักแพทย์ ทัศนคติและสายตาของทุกคนจึงแปรเปลี่ยนไป
“ทุกคนแยกย้ายทำธุระของตนต่อไป”
หลังจากออกคำสั่ง ซูอี้จึงเดินเข้าหาหูเฉวียน “ผู้ดูแลหูทราบหรือไม่ ว่าคนเก็บสมุนไพรผู้ใดคุ้นเคยกับสถานการณ์ที่สันเขามารดาภูตผีมากที่สุด?”
สีหน้าหูเฉวียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ท่านเขย สถานที่ผีสิงแห่งนั้นอันตรายล้นพ้น ยามปกติแล้วมีน้อยคนจะไปที่นั่น ท่านคิดจะทำอะไรกัน?”
ซูอี้กล่าว “ไม่ต้องกลัว ข้าแค่อยากถามอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสันเขามารดาภูตผีก็เท่านั้น”
หูเฉวียนคิดตาม “เรื่องนี้จัดการไม่ยาก ในบรรดาคนเก็บสมุนไพรพันคนที่ตระกูลเหวินจ้าง จะต้องมีสักคนที่รู้เรื่องนี้แน่ รอให้ข้าช่วยท่านหาก่อนก็แล้วกัน”
“ดี ข้าฝากเจ้าจัดการด้วย”
“ท่านเขยไม่ต้องกังวล ข้ารับปากจะจัดการเรื่องให้เสร็จในวันนี้!”
หูเฉวียนเอามือทาบอกและหัวเราะ
เมื่อคืนนี้เขาโชคดีที่ซูอี้พาเข้าร่วมงานประลองประตูมังกรด้วย สิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินนั้น มันราวกับการเปิดประตูสู่โลกใหม่ ตลอดทั้งคืนตื่นเต้นไม่เสื่อมคลาย
ประสบการณ์เช่นนี้ มันมากเพียงพอแล้วที่เขาจะเอาไปคุยโวได้ทั้งชีวิต
ซูอี้ไม่คิดรอใดอีก ก่อนจะเดินจากไป
และยามเมื่อกลับมายังเรือนเล็กเหมยอำพัน เขาบังเอิญพบว่ามีร่างหนึ่งยืนอยู่ในลานบ้าน และคล้ายจะรออยู่นานแล้ว
ร่างนั้นมีทรวดทรงงดงามชดช้อยสวมเสื้อขาวดั่งหิมะ เกล้ามวยผมสูง ดวงตาเป็นประกาย ริมฝีปากแดงอมชมพู ใบหน้างามงด แต่ที่หว่างคิ้วกลับปรากฏร่องรอยของความเศร้าหมอง
อีกฝ่ายคือหนานอิ่ง
พบเห็นซูอี้ผลักประตูเข้ามา หนานอิ่งหันกลับมองโดยทันที ใบหน้างดงามนั้นแสดงท่าทีประหลาดใจระคนยินดี
ไม่ช้า นางเริ่มขบริมฝีปากแดงเรื่อ สีหน้าเริ่มหม่นหมอง น้ำตาค่อย ๆ เอ่อล้นในดวงตางามคู่นั้น ก่อนจะกล่าวว่า
“ศิษย์พี่ซู วันนี้ข้าจะไปจากเมืองกว่างหลิงกับท่านลุงโจวแล้ว แต่ก่อนจะไป ข้าไม่อาจทนได้ และอยากจะมาพบกับท่าน”
เสียงพูดนั้นนุ่มนวลและเศร้าสร้อย
หากเป็นชายคนอื่น พบเห็นภาพหญิงสาวผู้สวยสดงดงามร้องไห้เสียใจเช่นนี้ คงมากพอให้ใจอ่อนไปแล้ว
ทว่าซูอี้ทำเป็นมองข้าม ไม่แม้แต่ให้เยื่อใย ถ้อยคำกล่าวถามตรง “เจ้าปีนกำแพงเข้ามางั้นหรือ?”
ปีน…ปีนกำแพง?*[1]
ใบหน้าอันเศร้าสร้อยของหนานอิ่งแข็งค้าง บรรยากาศกลายเป็นเงียบลงอย่างชวนอึดอัด
แต่ในไม่ช้า หนานอิ่งก็สงบลง รวมถึงถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“ศิษย์พี่ซู ข้าทราบว่าสิ่งที่ตัวข้าพูดในวันนั้นช่างโหดร้าย แต่หากไม่ใช่เพราะข้ายังห่วงใยท่านอยู่ วันนั้นข้าคงไม่มาพบท่านจริงหรือไม่?”
“อันที่จริงเป็นท่านไม่ใช่หรือที่โหดร้ายกับข้าก่อน ท่านแสดงท่าทีทำเหมือนข้าเป็นคนแปลกหน้า ขีดเส้นตัดขาด ไม่เหมือนกับปีนั้นที่เราเคยสนิทชิดเชื้อกัน ดังนั้นข้าจึงเกิดโทสะต่อท่าน เอ่ยคำพูดไร้แก่นสารเสียงดัง ระบายความเสียใจที่สะสมมานานปีในใจข้าออกมา…”
“ท่าน…ท่านเข้าใจหรือยังว่าข้ายังห่วงท่านอยู่!”
เมื่อพูดเรื่องนี้ น้ำเสียงของหนานอิ่งสั่นสะอื้น น้ำตาที่อยู่ในดวงตางามกับสีหน้าของนางดูอ้างว้างเดียวดาย
“ข้ายอมรับ ว่าสิ่งที่ข้าพูดในตอนนั้นช่างเลวร้าย ข้าทราบดีว่าตนไม่ควรได้รับการให้อภัย แต่ว่า… ท่านพอจะให้โอกาสข้าชดใช้ความผิดที่ข้ากระทำไว้ได้หรือไม่? ข้าไม่อยากไปจากเมืองกว่างหลิงนี้พร้อมกับความไม่สบายใจ”
ยามเมื่อเห็นว่าซูอี้เงียบไม่เอ่ยอะไรแย้ง
นางก็วิ่งตรงเข้าหาซูอี้ด้วยความตื่นเต้นยินดี และเผยสายตาอ้อนวอน “ศิษย์พี่ซู ท่านสัญญากับข้าตอนที่อยู่สำนักดาบชิงเหอไว้ ไม่ว่าภายหน้าข้ากระทำผิดอีกกี่ครั้ง ตราบที่ข้าแก้ไขมันได้ ท่านจะให้อภัยข้า ท่าน…ท่านคงจำสัญญาครั้งนั้นได้กระมัง?”
เอ่ยคำจบ นางเอื้อมมือไปคว้าแขนเสื้อของซูอี้
ซูอี้ถอยหลังก้าวหนึ่ง นางตามติด
ดวงตาของหนานอิ่งเต็มไปด้วยความเสียใจ
ชั่วครู่ นางสูดลมหายใจเข้าลึก นำเอากล่องหยกงดงามวิจิตรออกจากแขนเสื้อ พร้อมเปิดมันออกเบามือ
ด้านในคือน่องไก่ชิ้นหนึ่ง ที่เหี่ยวแห้งและขึ้นราผ่านกาลเวลา เป็นผลให้มีสีดำชวนขนลุก
“ศิษย์พี่ซู ท่านจำได้หรือไม่ ว่าครั้งที่ท่านเป็นหัวหน้าศิษย์สายนอกและทางสำนักได้จัดงานเลี้ยงฉลองให้ท่าน และหลังจากที่งานเลี้ยงจบลง ท่านรีบมาหาข้า และมอบน่องไก่ห่อใบบัวนี้ให้อย่างระมัดระวัง เพราะตอนนั้นท่านได้ยินว่าข้าไม่ได้กินอะไรทั้งวัน…”
ใบหน้าของหนานอิ่งแสดงการหวนรำลึก ทั้งหวานปนเศร้า “คืนนั้น ข้ามีความสุขมากจนนอนไม่หลับ จะให้ข้าเต็มใจกินน่องไก่นี่ได้อย่างไรกัน? ข้าเก็บสิ่งนี้เอาไว้ แม้มันจะธรรมดามาก แต่น่องไก่ที่ศิษย์พี่ซูมอบให้ข้ามานี้ มันมีความสำคัญกับใจข้าอย่างแยกไม่ออก”
ด้วยนิสัยและประสบการณ์ที่สั่งสมมาเป็นแสนปีของซูอี้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะชี้มือไปยังน่องไก่นั่นและเอ่ยถาม“สิ่งนี้ เจ้า… พกมันไปไหนมาไหนด้วยงั้นหรือ?”
หนานอิ่งพึมพำเสียงเบา “ศิษย์พี่ซู หากเรื่องนี้โกหกข้าขอยอมตาย…”
ซูอี้หันกลับและเดินออกจากลานบ้านไป
การตอบสนองดังกล่าวนี้ อยู่นอกความคาดหมายของหนานอิ่งโดยสิ้นเชิง ซูอี้ควรจะกอดตัวนางให้แน่นในอ้อมแขน และปาดน้ำตาให้ตัวเองไม่ใช่หรือ?
อย่างไม่ทันได้เตรียมตัวนั้น นางก็เผลอถามออกไปว่า “ศิษย์พี่ซู ท่านคิดไปที่ใดกัน?”
ซูอี้หยุดอยู่หน้าประตูลานบ้าน จากนั้นหันกลับด้วยรอยยิ้มกล่าวคำออก “ย่อมต้องไปพบหนีเฮ่าสักครา บอกกล่าวสิ่งที่เจ้าพูด โดยเฉพาะเรื่องราวของน่องไก่เน่าชิ้นนั้น เขาคงปลื้มปริ่มไม่น้อยหากได้รับฟังเรื่องราว”
หนานอิ่งยืนตะลึงกับที่ ประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาดใส่
นางเสแสร้งมากเกินไปจนไม่แนบเนียนอย่างนั้นหรือ?
หากไม่แล้ว ด้วยนิสัยศิษย์พี่ซูที่นางรู้จัก ย่อมไม่ใช่ตอบสนองเช่นนี้!
[1] ปีนกำแพง เป็นคำพ้องที่หมายถึงการนอกใจ