บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 590 หลั่งโลหิตระบายโทสะ
ตอนที่ 590: หลั่งโลหิตระบายโทสะ
ตอนที่ 590: หลั่งโลหิตระบายโทสะ
หนึ่งดาบสะบั้นร่างมังกรสีคราม ผ่ากระถางสมบัติวิญญาณ สังหารโม่อู๋หยา!
จะทำเช่นไรหากมดปลวกกล้าอ้าปากพลิกลิ้น?
ฆ่ามัน!
ฉากนองเลือดนี้ทำให้เหล่าผู้ชมตื่นตะลึง
ทุกสายตาเบิกกว้าง ตระหนกจากการตายของโม่อู๋หยา สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนแปร
เซี่ยชิงหยวนอดสูดหายใจเฮือกไม่ได้
นางไม่คาดว่าซูอี้จะสังหารบุคคลในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณรุ่นก่อน ๆ ได้ง่ายดายรวดเร็วเยี่ยงบี้มด!
“ไยไม่หัวเราะเล่า?”
ซูอี้มองไปรอบ ๆ พลางยิ้มเยาะ
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าสีดำในมือเรืองแสงงดงามราวรัตติกาล ชวนให้หวาดหวั่นใจ
เกิดความวุ่นวายขึ้นในโถง ไม่ว่าจะเป็นเซี่ยหลินเยวียนกับเหล่าราชนิกุลหรือหวนเทียนเหอและผู้ส่งสาส์นจากกองกำลังกลุ่มเต๋าโบราณต่าง ๆ ล้วนลุกขึ้นจากที่ด้วยสีหน้าเดือดดาลอย่างรวดเร็ว
“สหายเต๋าเซี่ย คนผู้นี้กล้าฆ่าคนในภูเขาเทียนหมาง ทว่าท่านยังไม่ลงมืออีกหรือ!?”
หวนเทียนเหอตะโกน
ว่าพลาง เขาและผู้ส่งสาส์นคนอื่น ๆ ของเหล่ากองกำลังโบราณก็ตั้งท่าโจมตี โคจรลมปราณทั่วร่าง ใช้สมบัติล้ำค่ารอโจมตี
แต่ละคนต่างเป็นศัตรูอันร้ายกาจ!
พวกเขามาที่นี่เพื่อยั่วยุก็จริง ทว่าไม่เคยคิดต่อสู้กับซูอี้อย่างหุนหันพลันแล่น
หาไม่ พวกเขาคงไม่ใช้ขุมอำนาจเบื้องหลังพวกตนกดดันให้เซี่ยหลินเยวียนใช้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนมาฆ่าซูอี้
“ช่างกล้านัก!”
ชายชราชุดเหลืองผู้หนึ่งตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว ราชนิกุลต่างเดือดแค้นจากดาบอหังการของซูอี้
“หนวกหู”
สายฟ้าแล่นปลาบในดวงตาของซูอี้อย่างเย็นชา และเขาก็หวดตวัดดาบนิลกาฬกลืนฟ้าอีกครั้ง
ฉับ!
ปราณดาบขนาดสามจั้งผ่าอากาศเข้าใส่ชายชราชุดเหลือง
กระบวนท่าเพลงดาบนี้คมกริบเกินหยุดยั้ง
นามของมันคือตัดสมุทรผ่าขุนเขา
แม้ว่าชายชราชุดเหลืองจะเตรียมตัวมาดี ทว่าเมื่อเผชิญกับดาบนี้ เขาก็ยังหวาดกลัวและสัมผัสถึงอันตรายต่อชีวิตได้!
เขาหลบโดยไม่ลังเล
ฉูด!
โลหิตทะลักไหล
แม้ว่าชายชราชุดเหลืองจะหลบดาบได้ แต่แขนขวาของเขาก็ยังคงปลิดปลิวไปทั้งแขน ทำให้เขากรีดร้องอย่างเจ็บปวด ร่างซวนเซแทบร่วงสู่พื้น
ทุกคน ณ ที่นั้นต่างรู้สึกหนาวเยือก
พวกเขารู้อยู่นานแล้วว่าแม้ซูอี้จะอยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา ทว่าพลังต่อสู้ของชายหนุ่มท้าทายอำนาจสวรรค์ ครั้งหนึ่งเคยกวาดล้างผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณผู้เหยียบย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเกือบสิบคน รวมถึงจัดการตัวหวนเฉ่าโหยวด้วยกำลังตนเองผู้เดียว!
เมื่อพวกเขาเผชิญหน้าซูอี้ เหตุที่กล้าเหิมเกริมกำแหงนั้นก็เพราะเชื่อมั่นในค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนอย่างเต็มที่
ทว่าหลังสถานการณ์ดำเนินไป พวกเขาก็ต้องแปลกใจ!
ด้วยซูอี้ไม่ได้สนใจภัยคุกคามนี้เลย และยังลงมืออย่างอุกอาจ!!!
เป็นยามนี้เอง พวกเขาจึงตระหนักได้ว่าอำนาจต่อสู้ของซูอี้น่ากลัวเพียงไร
ชายหนุ่มผู้ดูเฉยเมยผู้นี้สามารถสังหารโม่อู๋หยาได้ในดาบเดียว!
หนึ่งดาบ สะบั้นแขนชายชราชุดเหลือง!
“สารเลว ภูเขาเทียนหมางไม่ใช่ที่ที่เด็กอวดดีอย่างเจ้าจะก่อเรื่องตามใจ!”
เซี่ยหลินเยวียนเดือดดาล
แขนเสื้อของเขาพองตัว จากนั้นจึงนำยันต์กลไกสีทองออกมาหมุนอย่างรุนแรง
ตู้ม!
ทั่วภูเขาเทียนหมางสูงเทียมนภาสั่นสะเทือนสะท้านทั่ว ค่ายกลโบราณอันกว้างใหญ่ผุดขึ้นจากนิทราตามจุดต่าง ๆ ของหุบเขาอย่างถ้วนทั่ว
อักขระพร่างพรายราวสายรุ้ง เปลวอัคคีขยับเคลื่อนเก้าสวรรค์!
“เหตุใดค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนจึงถูกใช้ล่ะ?”
“แม่เจ้า หรือจะมีผู้ใดบุกเข้าไปสังหารคนในภูเขาเทียนหมางของเรา?”
…จากเหตุการณ์บนภูเขาเทียนหมาง ไม่อาจทราบได้ว่ามีผู้คนมากมายเพียงใดถูกรบกวนจนหยุดมือ
“เร็วเข้า ไปพระราชวังเทียนหยาง!”
เซี่ยฉางหง ผู้เฒ่าใหญ่แห่งราชวงศ์เปลี่ยนสีหน้า แผดเสียงดังลั่น
เขาตระหนักแล้วว่ามีบางสิ่งผิดแผก จึงออกเดินทางสู่พระราชวังเทียนหยางทันที
ในขณะเดียวกัน ราชนิกุลซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของภูเขาเทียนหมางต่างออกเดินทางสู่พระราชวังเทียนหยางโดยถ้วนทั่ว
ทุกคนรู้ว่าก่อนที่จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยจะออกเดินทาง เขาได้ส่งอำนาจควบคุมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนให้กับผู้เฒ่าสามเซี่ยหลินเยวียน
และสิ่งที่เกิดขึ้นในยามนี้ย่อมเกี่ยวพันกับเซี่ยหลินเยวียน!
ณ ยามนี้ เกิดรัศมีแสงสว่างวูบวนรอบพระราชวังเทียนหยาง อำนาจพลังต้องห้ามเป็นราวสายน้ำเชี่ยวกรากอันทอประกายเจิดจ้าเกินประมาณ พวยพุ่งรุนแรง
พวกของหวนเทียนเหอในห้องโถงผ่อนลมหายใจโล่งอก
“เป็นค่ายกลอันแข็งแกร่งยิ่ง ควรค่าแก่การเป็นค่ายกลสังหารอันดับสามแห่งมหาทวีปคังชิง แม้จะเสียหายหนัก แต่ก็ยังแข็งแกร่งพอจะสังหารบุคคลในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้โดยง่าย!”
หวนเทียนเหอทอดถอนใจกับตนเอง
หากไม่ใช่ว่าราชวงศ์ต้าเซี่ยมีค่ายกลนี้คุ้มครอง ขุมอำนาจโบราณเหล่านี้จะมิอาจเยื้องกรายเข้าสู่นครหลวงจิ๋วติ่งได้เช่นไร?
“ฆ่า ฆ่าเจ้าคนชั่วนั่นซะ!”
ชายชราชุดเหลืองผู้ถูกสะบั้นแขนขวากรีดร้องคำราม สีหน้าเปี่ยมความเกลียดชัง
ยามนี้ รอบกายซูอี้บังเกิดอำนาจต้องห้ามสว่างไสวพลุ่งพล่านดั่งกระแสน้ำ แทบจมร่างของเขาเข้าไป
“ซูอี้ ข้าเป็นตัวแทนราชวงศ์เซี่ยและไม่อยากยุ่งกับธุระของเจ้า แต่ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะยั่วโทสะทำตัวโอหังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นอย่าหาว่าข้าหยาบคายเลย!”
เซี่ยหลินเยวียนบังคับยันต์กลไกด้วยสีหน้าเย็นชาเฉยเมย
เขากล่าวพลางกดนิ้วลงเล็กน้อยที่ยันต์กลไก
ตู้ม!
กระแสคลื่นพลันคำราม เปลี่ยนเป็นอสนีบาตนับไม่ถ้วนล้อมรอบซูอี้อย่างแน่นหนา
อำนาจทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวทำให้ทุกคนโดยรอบหวั่นใจจนหน้าเปลี่ยนสี
ไม่ใช่การพูดเกินไปหากจะบอกว่า หากพวกเขาถูกค่ายกลจองจำเช่นนี้เล่นงาน พวกเขาคงตกสู่ทางตันแน่นอน!
ทว่าปากของซูอี้ในยามนี้กลับยิ้มเยาะ เขาส่ายหน้าพลางแย้มยิ้ม
เจ้าเฒ่าสารเลวนี่คิดใช้ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนจัดการกับเขาอย่างนั้นหรือ… นี่มันต่างอันใดกับฆ่าตัวตายกัน?
“ควบรวม!”
จากนั้น เขาก็เห็นชุดเสื้อผ้าของซูอี้พองตัว สิบนิ้วประสาน ลมปราณทะลักเคลื่อนไหว
รอบ ๆ นิ้วของชายหนุ่ม ภาพอักขระค่ายกลอันแน่นหนาลึกลับค่อย ๆ ปรากฏขึ้น หมุนวนช้า ๆ
ทันใดนั้น อสนีบาตหนาแน่นอันร่ายรำเกินหยุดยั้งบนนภาก็ถูกภาพอักขระค่ายกลของซูอี้ดูดเข้าไปอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับร้อยธารไหลสู่สมุทร
ต่อจากนั้นค่ายกลพลันทอแสงเจิดจรัส รัศมีพลังของมันพลันเพิ่มพูนอย่างมั่นคง!
“หือ?”
ม่านตาของเซี่ยหลินเยวียนหดตัว นี่คืออันใด?
พวกของหวนเทียนเหอเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ดวงตาเบิกกว้าง คนผู้นี้… สามารถปลดพลังของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน!?
“สยบ!”
เซี่ยหลินเยวียนแผดเสียง
ตู้ม!
อำนาจพันธนาการจากค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนแปรผันพริบตา แสงทองเจิดจรัส และในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นกระถางสีทองพุ่งเข้าใส่ซูอี้
อำนาจเช่นนี้ ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่มากเพียงไร!
ทว่าเขากลับเห็นซูอี้กระซิบ “หากทำเช่นนี้ต่อไป มหาค่ายกลที่เพิ่งถูกซ่อมจนได้รับพลังชีวิตกลับมานิดหน่อยคงถูกเจ้าทำพังเป็นแน่”
ทันทีที่สิ้นเสียง ร่างของเขาก็ทะยานขึ้นก้าวบนอากาศเก้าขั้น มือของชายหนุ่มประทับท่าทางพิสดารแปลกตาลงบนอากาศ
เคล็ดมหาอาคมศักดิ์สิทธิ์!
จากนั้น ค่ายกลที่ซูอี้ก่อขึ้นแต่เดิมก็ลอยขึ้นสู่ฟ้าเช่นกัน
เมื่อซูอี้ใช้เคล็ดมหาอาคมศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นค่ายกลก็เรืองแสงสว่าง เปลี่ยนเป็นมือยักษ์สีทองยาวสิบจั้ง ปกปิดท้องนภา
ตู้ม!
พิรุณแสงสาดกระเซ็น อณูปราณวิญญาณร่ายรำบ้าคลั่ง
ภายใต้สายตาตกตะลึงของมวลชน กระถางทองที่กดข่มซูอี้อยู่ก็ถูกมือสีทองคว้าไว้ ไม่อาจขยับเคลื่อน
จากนั้นในทันใด กระถางทองก็ถูกบีบแตก เปลี่ยนเป็นค่ายกลที่กลิ้งหลุน ๆ และถูกหัตถ์ทองกลืนกินหาย!
“นี่มัน…”
หวนเทียนเหอและพวกต่างตะลึง
นี่คือค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนซึ่งสังหารผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้!
ทว่ายามนี้ ดูเหมือนว่ามันจะถูกปราบลงโดยชายหนุ่มผู้อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราอย่างง่ายดาย…
ในขณะนี้ สีหน้าของเซี่ยหลินเยวียนแปรเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ก่อนที่เขาจะร้องขึ้น “เป็นไปไม่ได้ เจ้าควบคุมพลังของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนได้หรือ?”
ควบคุมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน?
หวนเทียนเหอและคณะที่แต่เดิมอึ้งค้างแทบสมองหยุดทำงานหลังได้ยินประโยคนี้ ค่ายกลพิทักษ์แดนของราชวงศ์แห่งต้าเซี่ยจะถูกคนนอกนำไปใช้ได้เช่นไร?!
มีเพียงเซี่ยชิงหยวนผู้มองภาพเหล่านี้อย่างเปี่ยมอารมณ์
…ยามที่บิดาของนางเพิ่งเรียนรู้ว่าศิษย์พี่ซูสามารถซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนได้ เขาจะไม่ตกใจเลยหรือ?
หญิงสาวจ้องร่างที่ยืนตระหง่านกลางอากาศของซูอี้อย่างเหม่อลอง “คนเช่นนี้จะต่างอันใดกับเทพเซียนบนชั้นฟ้า?”
“รับมือ!”
ซูอี้ชี้
หัตถ์ทองคำอันไม่อาจคาดเดาพลันเปลี่ยนเป็นละอองแสงสลายหาย
ขณะเดียวกัน อำนาจของค่ายกลที่ปกคลุมภูเขาเทียนหมางในโถงนี้ก็ถดถอยเช่นเกลียวคลื่น คืนกลับสู่ความสงบเงียบ
เมื่อมองที่ห้องโถง ขณะนี้มันเละเทะไปเป็นที่เรียบร้อย!
ทุกคนในโถงราวถูกอสนีบาตฟาดใส่ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ แสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมา
ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน… ถูกปราบลงเช่นนี้หรือ!?
“เอาล่ะ ยังมีลูกไม้ใดอีกหรือไม่?”
ซูอี้กล่าวลอยชายพลางมองเซี่ยหลินเยวียน
“เป็นไปไม่ได้… เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
เซี่ยหลินเยวียนตะโกน พยายามบังคับยันต์กลไกในมืออย่างสุดชีวิต
สิ่งที่น่าขายหน้าคือ ไม่ว่าเขาจะทำเช่นไร ค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนก็ไม่ขยับเขยื้อน…
เห็นเช่นนี้ หัวใจของเหล่าราชนิกุลและพวกหวนเทียนเหอต่างร่วงลงสู่หุบเหว ร่างสั่นสะท้าน
ก่อนหน้านี้ พวกเขากล้าท้าทายซูอี้ก็เพราะมีค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนให้พึ่งพา พวกเขาจึงไม่ได้มองซูอี้ในสายตาและคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงเหยื่อรอถูกเชือดง่าย ๆ
ทว่ายามนี้ เสาหลักหนุนหลังพวกเขากลับถูกซูอี้หยุดลงอย่างง่ายดาย พวกเขาจะไม่กลัวได้เช่นไร?
“ซูอี้ ที่แห่งนี้คือภูเขาเทียนหมาง หากเจ้ายังคงก่อเรื่องเช่นนี้ เจ้าจะถูกนับเป็นศัตรูสาธารณะทั่วต้าเซี่ยนะ!”
ราชนิกุลผู้หนึ่งตะโกนอย่างโกรธเคือง
ทว่าซูอี้ไม่แม้แต่จะหันมอง เขาเพียงฟันดาบเข้าใส่
ฉับ!
ราชนิกุลผู้นั้นถูกบั่นหัวคาที่ ศีรษะปลิวกระเด็นไปอีกทาง
นับแต่ยามแรกก้าวสู่วิถีต้นกำเนิด ซูอี้ก็สามารถสังหารผู้อาวุโสเยี่ยงฮั่วเทียนตูได้แล้ว
และเมื่อเขาก้าวสู่ขอบเขตรวบรวมดารา อำนาจของเขาสามารถสังหารหวนเฉ่าโหยว และตัวตนร้ายกาจจากยุคโบราณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเกือบสิบคนได้
ทว่ายามนี้ เขาอยู่ในขั้นกลางของขอบเขตรวบรวมดารา สามจังหวะวิถีที่เขาบรรลุต่างอยู่ในระดับสมบูรณ์แบบ กระทั่งดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือของเขายังถูกหล่อหลอมใหม่ พลังของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเก่าก่อน
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ เหล่าผู้อาวุโสในโถงซึ่งอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณย่อมไม่อยู่ในสายตาซูอี้มาเนิ่นนานแล้ว!
“วันนี้จะไม่มีผู้ใดหนีรอด มีเพียงการหลั่งโลหิตที่นี่เท่านั้นจึงสงบโทสะในใจข้าลงได้!”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย ดวงตาล้ำลึกเยือกเย็น
ทว่าท่าทีเฉียบขาดนี้ทำให้ทุกคนในโถงเปลี่ยนสีหน้าโดยสมบูรณ์
“ซูอี้ ครานี้เราคือผู้ส่งสาส์น สองอาณาจักรทำสงครามกัน เราจะไม่ฆ่าผู้ใด แต่หากเจ้าเริ่มเข่นฆ่า เจ้าก็รอขุมอำนาจเบื้องหลังเราได้เลย”
ชายชุดคลุมจากกองกำลักลุ่มเต๋าโบราณแห่งหนึ่งกล่าวเสียงแข็ง “ผลต่อเนื่องเช่นนี้ เจ้า…”
ฉัวะ!
ลำแสงดาบพลิ้ววาบ
ก่อนที่ชายในชุดคลุมจีนจะทันพูดจบ คอของเขาก็ถูกแทงทะลุ ร่างระเบิดเป็นชิ้น ๆ โลหิตสาดปลิวไปทั่วทันที
“ในเมื่อใกล้ตายเต็มทนยังกล้าพูด น่ารำคาญจริง ๆ”
ซูอี้กระซิบ
ทุกคนโดยรอบราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง คล้ายเกิดปรากฏการณ์วิญญาณล่องลอยออกจากร่าง!