บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 593 วิชาโคมรัตติกาลนิรันดร์
ตอนที่ 593: วิชาโคมรัตติกาลนิรันดร์
ตอนที่ 593: วิชาโคมรัตติกาลนิรันดร์
ใต้รัตติกาล
ณ ศาลาแห่งหนึ่ง นครหลวงจิ๋วติ่ง
ฉือเจี่ยนซู่จับจ้องชายชราตาบอดผู้หนึ่งซึ่งปรากฏตรงหน้าราวภูตพราย “เจ้า… เจ้าเป็นใคร?”
ชายชราตาบอดตรงหน้านางอยู่ในชุดขาดวิ่น ผมเผ้ารุงรัง และคู่เบ้าตากลวงโบ๋ไร้ลูกตาดูพิลึก เขาดูไม่เหมือนคนดี
แม้ว่าชายชราตาบอดจะไร้ลูกตา แต่เบ้าตาว่างเปล่าของเขากลับจ้องเขม็งตรงมา ทำให้ฉือเจี่ยนซู่ขนลุกซู่
ชายชราตาบอดผู้นี้ก็เป็นเฒ่าวิตถารหรือไร?
เฒ่าบอดตื่นเต้นเสียจนถูฝ่ามือเข้าหากัน หัวเราะฮี่ ๆ พลางกล่าวว่า “แม่นาง ยันต์ที่เจ้าทำลายไปก่อนหน้านี้เป็นของข้าผู้นี้! หากคาดไม่ผิด คุณชายซูน่าจะมอบยันต์นี้ให้กับเจ้าใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นชายชราตาบอดกล่าวถึงซูอี้ ฉือเจี่ยนซู่พลันถอนหายใจโล่งอก และอดถามไม่ได้ “ขอบังอาจถาม… ท่านมีนามว่าอันใดหรือ?”
ชายชราตาบอดเงียบไปครู่หนึ่ง และตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่อาจเผยที่มาให้เจ้าล่วงรู้ ทว่าข้าผู้นี้สามารถมอบโอกาสเปลี่ยนชีวิตแก่แม่นางได้!”
ฉือเจี่ยนซู่เลิกคิ้ว หากไม่ใช่เพราะซูอี้ นางคงถือชายชราตาบอดเป็นหมอดูปลอมเป็นแน่แท้!
ทันทีที่พบหน้า เขาก็ป่าวประกาศจะมอบโอกาสให้นางเปลี่ยนชะตาชีวิตใหม่ ท้าทายอำนาจสวรรค์ นี่จะไม่ใช่หมอดูปลอมได้อย่างไร?
ฉือเจี่ยนซู่สูดลมหายใจลึก จับจ้องที่ชายชราตาบอดด้วยดวงตาทอประกายคมปลาบเยี่ยงคมมีด พลางกล่าว “ข้าไม่ต้องการเปลี่ยนชีวิต ท้าทายอำนาจสวรรค์ ข้าเพียงต้องการสืบทอดมรดกอันเหมาะสมกับความสามารถของข้า เจ้า… มีมันหรือไม่?”
ชายชราตาบอดยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าว “แม่นางอย่าหาว่าข้าผู้นี้โม้เลย ในโลกนี้ นอกจากข้าชายชราตาบอดผู้นี้ เจ้าจะไม่ได้พานพบผู้อื่นซึ่งมีมรดกเช่นนี้อยู่!”
กล่าวถึงบัดนี้ เขาก็เหมือนเพิ่งนึกบางอย่างออก “แน่นอน ยกเว้นคุณชายซู”
ฉือเจี่ยนซู่ตกใจ นางตระหนักชัดเจนว่าชายชราตาบอดผู้ไม่อาจหยั่งผลการฝึกฝนผู้นี้เรียกซูอี้ว่า ‘คุณชาย’ เสมอ!
หญิงสาวเอ่ยถามอย่างสนใจ “เหตุใดเจ้าจึงให้เกียรติซูอี้มากนัก? เจ้ารู้ที่มาของเขาหรือ? บอกข้าได้หรือไม่?”
ชายชราตาบอด “…”
ไม่สนใจโอกาสเปลี่ยนชะตาฟ้า ทว่ากลับสนใจเรื่องของผู้อื่น แม่นางผู้นี้… มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง!
เฒ่าบอดไอแห้ง ๆ ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนผัน แสดงท่าทีนับถือราวยืนตรงหน้าขุนเขา ก่อนจะกล่าวคำออก “แม่นาง การจะเรียกคนเช่นคุณชายซูว่าเทพเซียนนั้นไม่ใช่การกล่าวเกินไป! ส่วนเรื่องที่คุณชายซูเก่งกล้าสามารถเพียงไรนั้น… ฮี่ ๆ”
ชายชราตาบอดยิ้มลึกลับ พลางกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าโกหกผู้ใดได้”
ฉือเจี่ยนซู่กล่าวโดยคร่าว “เขาล่วงเกินกลุ่มเต๋าโบราณเกินกว่าสิบแห่ง ยามนี้คนมากมายคิดว่าคงไม่นานที่เขาจะ…”
ชายชราตาบอดแค่นเสียงเย็นชาขัดจังหวะ “พวกคนไม่รู้เรื่องราวในโลกหล้าจะไปรู้ถึงความแข็งแกร่งของคุณชายซูได้เช่นไร? ก็แค่สัตว์เลื้อยคลานเฒ่าซึ่งรอดชีวิตจากการจองจำแห่งยุคมืดไม่กี่ตัว ไม่คณามือแม้แต่ข้า แล้วจะไปคณามือคนเช่นคุณชายซูได้เช่นไร?”
ฉือเจี่ยนซู่ตกใจ น้ำเสียงของชายชราตาบอดไม่ธรรมดา!
ชายชราตาบอดกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าพูดเรื่องนี้เลย สำหรับแม่นาง ข้ามีสิ่งที่สามารถเปลี่ยนชะตาฟ้าของเจ้าได้ ขอเพียงเจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์ ภายหน้าบนมหาวิถี เจ้าจะแข็งแกร่งสะท้านสรวงสะเทือนปฐพี สำเร็จวิถีเหนือสวรรค์!”
ไม่ว่าอย่างไร ฉือเจี่ยนซู่ก็หาใช่คนธรรมดา นางเองก็เป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณซึ่งมีขุมอำนาจกลุ่มเต๋าโบราณหนุนหลัง นางจะหวั่นไหวไปกับวาจาเหล่านี้ได้เช่นไร
ทว่า หากนางไม่เชื่อในลักษณะนิสัยของซูอี้และได้ยินชายชราตาบอดคุยโอ่เช่นนี้ นางคงชักดาบฆ่าคนแล้วเป็นแน่!
ข้าเคยเห็นผู้อื่นคุยโว ทว่าไม่เคยเห็นผู้ใดคุยโวใหญ่โตสะท้านสรวงเพียงนี้… เขาคิดว่าตนเป็นจักรพรรดิหรือไร?
“ไม่เชื่อหรือ?”
ชายชราตาบอดมองปราดแรกก็เห็นความไม่เชื่อจากฉือเจี่ยนซู่ เขานำแผ่นหยกดำโบราณออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้ฉือเจี่ยนซู่ทันที พลางกล่าวว่า
“ในแผ่นหยกนี้บันทึก ‘วิชาโคมรัตติกาลนิรันดร์’ ของพวกเราไว้ แน่นอนว่าเพียงอ่านช่วงแรก เจ้าจะเห็นได้ว่าข้าเฒ่าบอดโกหกหรือไม่”
“ใครเป็นพวกเดียวกับเจ้าไม่ทราบ?”
ฉือเจี่ยนซู่พึมพำกับตนเอง ทว่ายังอดใคร่รู้ไม่ได้ นางรับแผ่นหยกโบราณมาใช้จิตสัมผัสตรวจตรา
พริบตาต่อมา หญิงสาวก็นิ่งอึ้ง ดวงตาคมกริบเบิกกว้าง ใบหน้างดงามปรากฏสีหน้าทึ่งและตกตะลึง
เพียงเห็นเคล็ดวิชาก็ราวกับได้กุญแจปลุกความพรสวรรค์โดยกำเนิด ทำให้บรรยากาศรอบกายของนางส่งเสียงคำรามอย่างเงียบ ๆ ก่อนร่างเว้านูนได้รูปของนางจะปรากฏแสงระยิบระยับดั่งนิมิตรัตติกาลนิรันดร์
ชายชราตาบอดรับรู้ภาพนี้อย่างชัดแจ้ง เขาไม่อาจเก็บสีหน้าตื่นเต้นไว้ได้ พลางพึมพำ “เป็นกระดูกหยินยมโลกจริง ๆ ด้วย เมล็ดพันธุ์ดีอันยากจะหาได้ในโลก!”
ฉือเจี่ยนซู่กล่าวอย่างเหม่อลอย “ที่สหายเต๋าซูกล่าวถูกต้องจริงแท้… ในโลกนี้ยังมีพลังสืบทอดอันเหมาะสมต่อความสามารถของข้าอยู่จริง ๆ!”
เมื่อนางมองชายชราตาบอดอีกครั้ง สภาพจิตของนางก็นับว่าแตกต่าง นางกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ขอเพียงข้ากราบท่านเป็นอาจารย์ ท่านก็จะถ่ายทอดวิชาลับนี้ให้ข้าหรือ?”
ชายชราตาบอดพยักหน้า “แน่นอน!”
ฉือเจี่ยนซู่กล่าวราวไม่อาจเชื่อ “มันจะเร่งด่วนเกินไปหรือไม่? ข้าและท่านเพิ่งพบกัน ท่านไม่ทราบเลยว่าข้าเป็นคนเช่นไร…”
ชายชราตาบอดกล่าวขัดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อในสายตาของคุณชายซู!”
ฉือเจี่ยนซู่ตกใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า “แต่สหายเต๋าซูและข้าไม่รู้จักกันเลยนะ…”
ชายชราตาบอดตกใจ จากนั้นก็ยิ้ม “คุณชายซูมีสายตามองผู้คนเยี่ยมยอด ไฉนเลยจึงไม่ญาติดีกันไว้?”
ฉือเจี่ยนซู่ “…”
นางเห็นได้ว่าชายชราตาบอดนับถือซูอี้แทบหน้ามืดตามัว ราวกับทุกสิ่งที่ซูอี้ทำถูกต้อง
หาไม่ เช่นนั้นโลกานี้ก็เป็นฝ่ายผิด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฉือเจี่ยนซู่ก็กล่าวว่า “ข้า… ข้าอยากพบสหายเต๋าซูก่อนตัดสินใจ”
เฒ่าบอดกล่าวอย่างยินดี “ได้ ข้าก็จะไปพบคุณชายซูเพื่อแสดงความขอบคุณเช่นกัน! ไป ๆ ไปกันเถิด”
…
ค่ำคืนนั้นเงียบงัน กระจ่างและเย็นเยือก
ณ สวนน้อยนภาเมฆ
ซูอี้ทอดร่างบนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน ขณะครุ่นคิดถึงหนึ่งสิ่ง
ยามนี้ ทรัพยากรสำหรับฝึกฝนที่เขามีนั้นมากพอจะหนุนส่งเขาไปยังขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว
ทรัพยากรมีไม่ขาด และซูอี้ก็อยากกลับต้าโจวในทันที
มีเหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น และสหายอื่น ๆ อยู่ในต้าโจว…
สำหรับเขาผู้เวียนวัฏสงสารกลับมาฝึกฝนใหม่ ต้าโจว… ก็ถือได้ว่าเป็น ‘บ้านเกิด’
“หยวนเหิง เตรียมตัวให้พร้อม เราจะกลับต้าโจวพรุ่งนี้”
ซูอี้กล่าวอย่างเรื่อยเฉื่อย
เขามีอุปนิสัยเช่นนี้เสมอ กระทำการยามใดก็ตามที่ใจปรารถนา
หยวนเหิงซึ่งกำลังต้มชาอยู่ไม่ไกลสะดุ้ง “พรุ่งนี้?”
“มีปัญหาอันใดหรือ?”
ซูอี้กล่าว
หยวนเหิงรีบส่ายหน้า
“ไปบอกผู้อื่นเสีย เราจะออกเดินทางเช้าวันพรุ่ง”
ซูอี้ออกคำสั่ง
“ขอรับ”
หยวนเหิงรับคำสั่ง และรีบร้อนจากไป
ไม่นานนัก เหวินซินจ้าวก็มาหา กล่าวขึ้นว่า “ศิษย์พี่ซู ท่านจะกลับต้าโจวพรุ่งนี้หรือ?”
“ใช่แล้ว” ซูอี้พยักหน้า
โฉมหน้างดงามของเหวินซินจ้าวปรากฏเค้าความจนใจ กล่าวอย่างลังเล “นี่เร็วเกินไป ข้ายังคิดหาโอกาสกลับสำนักเพื่อคุยกับพวกท่านอาจารย์ด้วยตนเองอยู่เลย”
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะกลับสำนักหรือไม่ ข้าก็จะกลับต้าโจวอยู่ดี และอาจกลับมายังต้าเซี่ยในไม่ช้า”
เหวินซินจ้าวพยักหน้า พลางกล่าวว่า “อืม ข้าจะรอศิษย์พี่ซูกลับมาเสมอ!”
ซูอี้นำกล่องหยกออกมาส่งให้เหวินซินจ้าวกล่องหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “กล่องหยกใบนี้มียันต์ขั้นจักรพรรดิใบหนึ่ง จักรพรรดิรัชสมัยปัจจุบันแห่งต้าเซี่ยมอบไว้ในยามที่เขาไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุ มันมีชื่อว่า ‘ผีเสื้อแปรสวรรค์’ รับไว้ป้องกันตัวสิ”
เหวินซินจ้าวรู้สึกอบอุ่นในใจ แววตาอ่อนโยน นางไม่ได้ปฏิเสธ ทว่าถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำ “ศิษย์พี่ซู ยามเราพบกันคราหน้า ข้า… ข้าจะอยู่เคียงข้างท่านไม่ไปไหนแล้ว”
ใบหน้างดงามของหญิงสาวเขินอายเล็กน้อย แต่สีหน้าของนางจริงจังหนักแน่น
ซูอี้ตอบพลางยิ้ม “ได้”
ทันทีที่กล่าวออกไป เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ไม่นานจากนั้น เก๋อเฉียนผู้เดินไปเปิดประตูก็กลับมาพร้อมชายวัยกลางคนในเสื้อคลุม
เขาคือจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย!
เห็นเช่นนี้ ทั้งเก๋อเฉียนและเหวินซินจ้าวต่างถอยไปโดยรู้ถ้วนทั่ว
“สหายเต๋า ข้ามาเยือนเสียดึกดื่น หวังว่าคงไม่ถือสา?” จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเอ่ยทักพร้อมด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้ซึ่งนั่งนิ่งบนเก้าอี้โยกกล่าวโดยไม่ขยับไหว “หากท่านปรากฏขึ้นนับแต่เช้าวานนี้ ข้าคงไม่ต้องไปเยือนภูเขาเทียนหมางด้วยตนเอง”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยตกตะลึงแล้วทอดถอนใจ “หากข้ามาเมื่อวาน พวกเหลือขอในสกุลเซี่ยจะยังกล้าปรากฏกายได้เช่นไร?”
ซูอี้ยกน้ำเต้าสุราขึ้นจิบ แล้วจึงกล่าวว่า “ช่างเถิด เรื่องเหล่านี้ต่างเป็นอดีต ข้าเกรงว่าท่านคงไม่ได้มาเสียดึกดื่นเพราะเรื่องนี้กระมัง?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยหัวเราะพลางกล่าว “ว่าแล้วเชียวว่าปิดบังสหายเต๋าไม่ได้”
กล่าวพลาง สีหน้าของเขาก็จริงจัง กล่าวต่ออย่างครุ่นคิด “สหายเต๋า ช่วงนี้เจ้าได้สังเกตหรือไม่ว่าฟ้าดินปรากฏปราณวิญญาณมากขึ้นกว่าเก่าก่อน?”
ซูอี้พยักหน้าตอบ “เป็นเรื่องธรรมดา ต้นกำเนิดแห่งมหาทวีปคังชิงเปลี่ยนแปร และแสงสว่างแห่งโลกกว้างก็จะมาก่อนเวลา พูดตรง ๆ ก็คงอย่างมากหนึ่งปี แสงสว่างแห่งโลกกว้างจะมาแน่นอน”
ม่านตาของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยหดตัว และกล่าวว่า “ที่แท้สหายเต๋าก็คาดการณ์ไว้แล้ว”
ซูอี้ยิ้ม เขานำเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงออกมา นั่นคือการกระทำใด? เขาจะไม่รู้เรื่องอันจะเกิดตามมาในมหาทวีปคังชิงนี้เลยหรือ?
ในภายหน้า ปราณวิญญาณจะค่อย ๆ ผุดเพิ่มในมหาทวีปคังชิงซึ่งแต่เดิมขาดแคลนปราณวิญญาณมากขึ้นเรื่อย ๆ!
ทุกพลัง โอกาสสัมพันธ์ และวาสนาต่าง ๆ อันถูกผนึกไว้จะปรากฏขึ้นอย่างแล้วอย่างเล่า
จนกระทั่งแสงสว่างแห่งโลกกว้างปรากฏขึ้นจริง มันจะสร้างการเปลี่ยนแปลงมหาศาล!
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยทอดถอนใจ “ตัวแปรเช่นนี้เกินคาดจริงแท้ และมันก็ขัดจังหวะแบบแผนที่ข้าวางไว้ด้วย ที่ข้ามาในคืนนี้ก็เพื่ออยากขอคำชี้แนะจากสหายเต๋า ว่าจะมีหนทางใดในการซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนในเวลาสั้นที่สุดหรือไม่?”
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหน้าพูด “แม้ข้าจะลงมือ ก็เป็นไปไม่ได้ในการฟื้นสภาพค่ายกลนี้โดยสมบูรณ์ ทว่าหลังจากข้าก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ข้าจะสามารถฟื้นสภาพค่ายกลนี้เจ็ดส่วนเมื่อเทียบกับอำนาจดั้งเดิมของมันในสิบวัน”
ดวงตาของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยทอประกาย “นั่นก็พอแล้ว!”
หากสามารถรื้อฟื้นพลังของค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนขึ้นได้ราว ๆ เจ็ดส่วนของอำนาจแท้จริงของมัน ก็ย่อมเพียงพอปกป้องทั้งนครหลวงจิ๋วติ่งและราชวงศ์เซี่ยหลังการมาของแสงสว่างแห่งโลกกว้างได้!
“อย่าเพิ่งดีใจก่อนเถิด ข้าแค่อยากช่วยเหลือ แต่ต้องรอจนกระทั่งข้าย่างกรายสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ก่อน”
ซูอี้เอ่ยเตือน
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยยิ้มและกล่าวว่า “เดือนก่อน ยามเมื่อสหายเต๋าไปยังเกาะเซียนพระสุเมรุ เจ้าเพิ่งอยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นต้น ทว่าหนึ่งเดือนผันผ่าน วันนี้เจ้าอยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลางเสียแล้ว ด้วยความเร็วการฝึกฝนและภูมิหลังของสหายเต๋า ข้าก็เชื่อว่าไม่นานหรอก เจ้าจะสามารถก้าวข้ามหายนะแปรเปลี่ยนวิญญาณและย่างสู่วิถีวิญญาณได้!”
ซูอี้ตกตะลึง จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยผู้นี้มั่นใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก!!