บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 594 หมิงยา
ตอนที่ 594: หมิงยา
ตอนที่ 594: หมิงยา
หลังจากครุ่นคิดแล้ว ซูอี้ก็กล่าวว่า “อืม อย่างน้อยก็สองสามเดือน อย่างมากก็ครึ่งปี ข้าจะกลับมายังต้าเซี่ยและช่วยท่านซ่อมค่ายกลนี้”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าวอย่างประหลาดใจ “สหายเต๋าอยากจะไปหนใดหรือ?”
“กลับต้าโจว”
ซูอี้ตอบ
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพลันแสดงสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็กล่าวขึ้นมาทันทีราวเพิ่งนึกได้ “หากเช่นนั้น ระหว่างทางควรระวังตัวให้จงหนัก”
ซูอี้เลิกคิ้วถาม “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าว “ในช่วงกาลนี้ สิบสามแคว้นแห่งต้าเซี่ยมีผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณปรากฏตัวขึ้นทั่วฟ้า จากการตรวจสอบพลังที่กระจายไปทั่วต้าเซี่ย จึงพบว่าผู้แข็งแกร่งจากยุคโบราณกลุ่มที่สองทยอยฟื้นตื่นแล้ว”
จากคำบอกเล่าของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ตัวตนจากยุคโบราณกลุ่มนี้และกลุ่มของหวนเฉ่าโหยวแตกต่างกัน ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณกลุ่มที่สองนี้ แต่ละคนมีฐานพลังฝึกฝนอยู่ในวิถีวิญญาณทั้งสิ้น!
ไม่ว่าใครก็สามารถปราบบุคคลในขอบเขตเดียวกันทั่วหล้าได้อย่างง่ายดาย เป็นนายของสมบัติโบราณและความลับมากมาย พื้นเพของแต่ละคนต่างก็แข็งแกร่งกว่า
อำนาจเช่นนี้ดูจะสามารถสร้างภัยคุกคามต่อขุมอำนาจหลักแห่งโลกได้!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็กล่าวอย่างสนอกสนใจ “คนเหล่านี้เทียบกับผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณกลุ่มแรกผู้ย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้วเป็นเช่นไร?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าว “หากแค่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณก็คงไม่ต่างกัน ทว่ายามนี้ สิ่งที่ทำให้ผู้คนกังวลนั่นก็เพราะว่ามีขอบเขตสยายวิญญาณและขอบเขตวงล้อวิญญาณปะปนอยู่ในหมู่คนกลุ่มที่สองนี้”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “หากมีผู้อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณอยู่จริงและฟื้นตื่นขึ้นในยามนี้ ผลกระทบที่เกิดจะต้องร้ายแรงเป็นแน่ อย่าลืมว่าการจองจำแห่งยุคมืดในมหาทวีปคังชิงยังไม่ได้สลายสิ้น”
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งพื้นฐานการฝึกฝนดี ยิ่งตกเป็นเป้าของการจองจำแห่งยุคมืดได้ง่าย”
กล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็เงยขึ้นมองขึ้นไปยังนภาราตรี “การจองจำแห่งยุคมืดนับได้ว่าเป็นหายนะอย่างหนึ่ง ยามมันแข็งแกร่ง ก็เพียงพอจะทำให้ผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิรู้สึกกลัว บ้างก็ถูกฆ่า ไม่ก็หนีออกจากมหาทวีปคังชิง”
“ส่วนการจองจำแห่งยุคมืดทุกวันนี้ แม้จะอ่อนแอลง แต่ก็ไม่ได้สลายหายไปอย่างแท้จริง และอาจเป็นภัยต่อผู้ที่อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณ”
“ทว่าด้วยกาลเวลาที่ผันผ่าน เมื่อการจองจำแห่งยุคมืดหายไปโดยสมบูรณ์ ภัยคุกคามทั้งหมดนี้ก็จะหายไปด้วยเช่นกัน ยามนั้น ผู้อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณซึ่งกบดานอยู่ในโลกอาจจะกล้าปรากฏกาย”
หลังจากฟังจบ แววตาของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็อดฉายประกายพิกลอย่างช่วยไม่ได้ ซูอี้ดูกังวลเกี่ยวกับการจองจำแห่งยุคมืด การตระหนักถึงเรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจ
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็เงยหน้าขึ้น หยิบแผ่นหยกโบราณขึ้นมาส่งให้ซูอี้ และกล่าวว่า “สหายเต๋า นี่คือรายชื่อผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณรุ่นที่สองเท่าที่สามารถตรวจสอบได้ มีทั้งหมดสิบสามชื่อ หากเจ้ากลับต้าโจวและพบพวกเขาระหว่างทาง ระวังตัวไว้ก่อนเป็นยอดดี”
ซูอี้รับแผ่นหยกโบราณมาดู
สิบสามชื่อในแผ่นหยกมีทั้งชายและหญิง ซึ่งมาจากขุมอำนาจเต๋าโบราณต่าง ๆ และมีรูปวาดประกอบ
“น่าจะมีผู้ใดนอกจากสิบสามคนนี้อีกหรือไม่?”
ซูอี้เก็บจิตสัมผัสและถามอย่างระมัดระวัง
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าว “ใช่ นี่เป็นแค่สิ่งที่ข้าและราชวงศ์เซี่ยรู้ ต้องมีมากกว่านั้นแน่”
ซูอี้พยักหน้า
หลังจากคุยกันต่อพักหนึ่ง จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็กลับไป
ซูอี้ตกอยู่ในภวังค์ความคิดทันที …เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาเยือนก่อนกำหนด เรื่องประหลาดมากมายก็ย่อมต้องเกิดในมหาทวีปคังชิง ณ กาลต่อไป
เฉกเช่นที่กล่าวว่า ทุกพลังอันถูกผนึกไว้จะปรากฏขึ้นอย่างแล้วอย่างเล่า
ทุกสิ่งที่เคยถูกจองจำจะทะลวงพันธนาการออก!
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ในกาลต่อมา ปราณวิญญาณ วาสนา โอกาสสัมพันธ์ และขุมอำนาจกลุ่มเต๋าโบราณจะอุบัติขึ้นในมหาทวีปคังชิง…
ในขณะเดียวกัน ผนังกั้นมิติซึ่งกั้นระหว่างโลกต่างภพภูมิก็จะแตกสลายลงทีละจุด ผู้ฝึกตนจากโลกอื่นจะปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ!
“ทุกลางบอกเหตุคือโหมโรงสู่แสงสว่างแห่งโลกกว้าง อย่างมากสุดก็หนึ่งปี เรื่องใหญ่นี้จะบังเกิด…”
ซูอี้พึมพำกับตนเอง
จู่ ๆ ประตูก็ถูกเคาะอีกครั้ง
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย คืนนี้ช่างครึกครื้นนัก
ไม่นานจากนั้น เฒ่าบอดและฉือเจี่ยนซู่ก็มาเยือน
“ผู้น้อยเฒ่าพบคุณชายซู!” ชายชราตาบอดคำนับซูอี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
ฉือเจี่ยนซู่ก็กล่าวอย่างสุภาพ “สหายเต๋าซู”
ซูอี้โบกมือกล่าว “อย่าสุภาพไปเลย ว่ามาเถิดว่าเหตุใดจึงมาที่นี่?”
“ผู้อาวุโสท่านนี้บอกว่าเขาต้องการรับข้าเป็นศิษย์ จึงอยากถามความเห็นของสหายเต๋า”
ฉือเจี่ยนซู่กล่าวอย่างขวานผ่าซาก
สตรีผู้มีนัยน์ตาคมกริบราวคมมีดมีลักษณะนิสัยตรงไปตรงมาเช่นนี้เสมอ
“เจ้ากังวลว่าจะถูกเขาหลอกหรือไร? หรือไม่เชื่อว่ามีสิ่งที่ดีเช่นนี้อยู่ในโลกด้วย?”
ซูอี้ทำสายตาแปลก ๆ ภาพลักษณ์ของชายชราตาบอดดูเชื่อไม่ได้เกินไปจริง ๆ…
“ทั้งสองอย่าง”
ฉือเจี่ยนซู่ตอบสั้นกระชับและง่ายดาย
เฒ่าบอดที่ได้ยินเช่นนั้นดูอับอายเล็กน้อย แล้วถูจมูกยิ้มขมขื่น
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “อย่าห่วงเลย มรดกเชื้อสายของเขาสามารถสานต่อได้เฉพาะผู้มีกระดูกหยินยมโลกเท่านั้น เขาไม่กล้าโกหกเจ้าด้วยเรื่องใหญ่อย่างการสานต่อจากรุ่นสู่รุ่นเช่นนี้หรอก”
ฉือเจี่ยนซู่ดูผ่อนคลายขึ้นทันที “งั้นข้าก็โล่งใจ”
ชายชราตาบอดเองก็ยิ้มกริ่ม ประคองกำปั้นให้ซูอี้อย่างตื่นเต้น “คุณชายซู ขอบคุณที่ช่วยเราค้นหาเมล็ดพันธุ์ยอดเยี่ยมเช่นนี้ให้! บุญคุณใหญ่หลวงเช่นนี้ ผู้น้อยจะไม่มีวันลืม!”
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก พลางกล่าวว่า “เอาล่ะ หากไม่มีสิ่งอื่นใด ข้าจะไปพักก่อน”
เฒ่าบอดรีบพูด “คุณชายซู ช้าก่อน”
ซูอี้หันมามอง
ชายชราตาบอดกล่าวว่า “ไม่นานนี้ ผู้น้อยได้พบชายชราผู้หนึ่ง เอ่อ ไม่สิ เป็นนักพรตเต๋าชรา คนผู้นี้มีบรรยากาศพิลึกพิสดาร ดูเหมือนจะมาจากภพภูมิมืดมิด”
ซูอี้พลันมีสีหน้าสนใจขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าพูดต่อเลย”
ชายชราตาบอดกล่าวว่า “นักพรตเฒ่าผู้นี้ดูไม่ค่อยโดดเด่น ทว่าเมื่อมองดี ๆ จะพบกิเลสตัณหามากมาย ทว่าคุณชายซู ท่านก็รู้ว่าเชื้อสายของเราฝึกวิชา ‘เนตรมารตะเกียงผี’ เมื่อข้าเห็นคนผู้นี้ ข้าก็สังเกตเห็นทันทีว่ามีกลิ่นเหม็นแห่งทะเลทุกข์!”
“กลิ่นเหม็นแห่งทะเลทุกข์…”
ซูอี้หรี่ตา
ในดินแดนมืดมิดมีสถานที่ต้องห้ามมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือทะเลทุกข์
ทะเลทุกข์นี้กล่าวกันว่าไร้ขอบเขต ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า ‘ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง’
ที่แห่งนั้น กระทั่งผู้คนในขอบเขตจักรพรรดิยังไม่กล้าผลีผลามเข้าไป
เหตุผลนั้นก็คือเหนือทะเลทุกข์มีกลิ่นเน่าเหม็นซึ่งสามารถกัดกร่อนพื้นฐานฝึกฝน และทลายทั้งกายและใจของผู้ฝึกตนลงได้!
ในอดีตชาติของซูอี้ เขาก็เคยใช้ดาบของเขาข้ามทะเลทุกข์นี้ ดังนั้นเขาย่อมกระจ่างแก่ใจว่าผู้ซึ่งสามารถรอดจากทะเลทุกข์ได้ต้องไม่ธรรมดา
“สิ่งที่ทำให้ข้าประหลาดใจกว่าเก่านั้นคือ เมื่อนักพรตเต๋าเฒ่าผู้นี้เห็นผู้น้อย เขาก็ดูจะสังเกตบางอย่างได้ และเป็นผู้เข้ามาพูดคุยกับผู้น้อยเอง”
ชายชราตาบอดดูพิลึกเล็กน้อย “และยามที่ข้ากำลังพูดคุยกับคนผู้นี้ ผู้น้อยก็ได้ยินเขาพูดเกี่ยวกับสหายเต๋าซูโดยไม่ตั้งใจ”
ซูอี้แปลกใจ “เขารู้จักข้าหรือ?”
ชายชราตาบอดตอบกลับด้วยสีหน้าพิลึก “นักพรตเฒ่ากล่าวว่า วันแรกที่คุณชายซูเข้าสู่นครหลวงจิ๋วติ่ง เขาก็เห็นแล้วว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา จึงใช้สมบัติลับเพื่อแทรกแซงชะตาของท่าน ทว่าแทนที่จะได้รับปริศนาใด ๆ สมบัติลับในมือเขากลับถูกทำลาย…”
ซูอี้เลิดคิ้ว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาอยู่หนใดยามพบข้าครั้งแรก?”
ชายชราตาบอดมุมปากกระตุก ตอบว่า “หน้าประตูใหญ่ของฮ่วนซีชา”
ฉือเจี่ยนซู่เห็นว่าซูอี้ดูมึนตึงฉับพลัน ใครเล่าจะไม่รู้ว่าฮ่วนซีชา… เป็นหนึ่งในหอโคมเขียวอันลือชื่อที่สุดในนครหลวงจิ๋วติ่ง?
ไฉนซูอี้จึงจะไปใส่ใจถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของฉือเจี่ยนซู่?
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพลันกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นชายชราผู้วางแผนเข้าฮ่วนซีชาโดยไม่เสียเงินนี่เอง”
ชายหนุ่มจำได้
ณ วันแรกที่เข้าสู่นครหลวงจิ๋วติ่ง เขาได้เข้าไปยังฮ่วนซีชาเพื่อช่วยเหลือเยว่ซือฉาน และก่อนจะเข้าไปในฮ่วนซีชา มีนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งถูกต่อยตี โยนออกมานอกฮ่วนซีชา
ยามนั้น นักพรตเฒ่าสบถว่า ‘หากไม่จ่ายเงินก็ไม่ใช่การค้าประเวณี’ ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะได้มากมาย
“คุณชายซูพูดถูก ตาเฒ่าผู้นั้นบ้ากามและต่ำตมยิ่ง ทว่าที่มาของเขาต้องไม่ธรรมดา”
ชายชราตาบอดกล่าว “และข้าสงสัยว่าเขาน่าจะมาหาคุณชายซูเองในภายหน้า”
ซูอี้กล่าว “เขาหมายหัวข้าอยู่หรือ?”
ชายชราตาบอดกล่าวว่า “ยามนั้น เขาบอกว่าเพราะคุณชายซู สมบัติลับของเขาจึงถูกทำลาย และเขาจะต้องมาขอให้คุณชายซูชดใช้ ข้าว่าสิ่งที่ตาเฒ่าผู้นั้นสนใจต้องไม่ใช่สมบัติลับที่พังไปหรอก แต่มีจุดประสงค์อื่น”
ซูอี้ครุ่นคิดหนัก
จนยามนี้ เขาได้พบคนสองผู้ซึ่งมาจากภพภูมิมืดมิด
หนึ่งคือชายชราตาบอดผู้มีเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ
อีกหนึ่งคือศิษย์คนที่เจ็ดของเขา เสวียนหนิง
บนมหาทวีปคังชิงนี้ มีขุมอำนาจโบราณอีกที่ซึ่งมีต้นกำเนิดเกี่ยวพันกับภพภูมิมืดมิด ซึ่งก็คือโถงวิญญาณหยินทมิฬ
โถงแห่งนี้สืบสายเลือดจากเผ่าอสรพิษผี หนึ่งในเก้าสายเลือดแห่งภพภูมิมืดมิด
และยามนี้ จากสิ่งที่ชายชราตาบอดกล่าว นักพรตเฒ่าน่าจะมาจากภพภูมิมืดมิด และเป็นไปได้สูงว่าจะเคยข้ามทะเลทุกข์ ดินแดนต้องห้ามแห่งนั้นมาก่อน!
หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร
ทว่าเห็นได้ชัดว่านักพรตเฒ่าผู้นี้หมายหัวเขาอยู่!
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้ต้องใส่ใจ
“เจ้ารู้นามของเขาหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
ชายชราตาบอดกล่าว “เขาบอกว่าตนมีชีวิตย่ำแย่ หายนะเป็นเพื่อนคู่กาย ต้องระหกระเหินไม่อาจสลัดโชคร้ายหายนะออกจากตน ในอดีต คนมากมายเรียกเขาว่านักพรตเฒ่าหมิงยา”
ซูอี้ลูบคางครุ่นคิด “หมิงยา? นี่คือวิหคแห่งลางร้ายอันดับหนึ่งเลยนะ หากเป็นเทพแห่งโรคระบาด ผู้คนก็คงหลบเลี่ยงอย่างกลัวเกรง ทว่านักพรตเฒ่ากลับใช้มันเป็นชื่อ น่าสนใจดีนี่”
“เช่นนั้นเขาได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้าหรือไม่?” ซูอี้ถาม
สีหน้าของชายชราตาบอดเปลี่ยนแปลงไปชั่วขณะ และกล่าวว่า “แม้ข้าจะไม่ได้เอ่ยถึง แต่ข้าก็รู้สึกว่าตาเฒ่านั่นต้องสังเกตเห็นเบาะแสบางอย่าง หาไม่ เมื่อเราบังเอิญพบ เขาคงไม่เดินเข้ามาคุยกับผู้น้อยเอง”
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “นอกจากนั้น เขาได้กล่าวอันใดอีกหรือไม่?”
ชายชราตาบอดส่ายหน้า
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็ไม่ได้ถามอันใดอื่น
หากนักพรตเฒ่าหมิงยาหมายหัวเขาอยู่จริง อีกฝ่ายจะมาเยือนในไม่ช้าก็เร็ว
ยามนั้น ค่อยถามออกไปให้ชัดเจน
ทันใดนั้น ชายชราตาบอดซึ่งกำลังจะพูดบางอย่างดูจะสัมผัสบางสิ่งได้ เขาเงยหน้ากะทันหัน เบ้าตากลวงโบ๋มองไปยังศาลาห่างออกไป
“คุณชายซู ผู้ใดอยู่ที่นั่นหรือ?”
ชายชราตาบอดแปลกใจ
ซูอี้มองขึ้นไปและพบว่าสถานที่ซึ่งชายชราตาบอดจ้องมองนั้นคือศาลาที่พำนักของเยว่ซือฉาน
ก่อนจะรอให้ซูอี้ถาม เขาก็เห็นว่าบนฟ้าลึกขึ้นไปเหนือศาลา มีลำแสงอันโปร่งใสราวน้ำแข็งทอดลงมากะทันหัน