บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 595 ก่อเรื่องแล้วจากไปเงียบ ๆ
ตอนที่ 595: ก่อเรื่องแล้วจากไปเงียบ ๆ
ตอนที่ 595: ก่อเรื่องแล้วจากไปเงียบ ๆ
เหนือศาลา
บังเกิดคลื่นกระเพื่อมแห่งพลังพิสดาร สร้างเป็นบุปผาน้ำแข็งประหลาดสีขาวหิมะเช่นหนึ่งดอก กระจ่างใสแวววาวท่ามกลางค่ำคืนดำเยี่ยงหมึก
หากมองใกล้ ๆ จะพบว่าบุปผาน้ำแข็งนี้ถูกรายล้อมด้วยระลอกคลื่นหมอก มวลอากาศรอบข้างบิดม้วนปั่นป่วน
ชายชราตาบอดสีหน้าเปลี่ยน “ตราลับประทับมิติ!”
เพิ่งสิ้นคำ เขาก็เห็นซูอี้ยกดาบในมือขึ้นฟาดฟันผ่านนภา
ฉัวะ!
ปราณดาบซึ่งบรรจุกลิ่นอายของดาบเก้าคุมขังพลิ้วผ่านนภาราวสายฟ้าฟาด
เกิดเสียงกัมปนาท และบุปผาน้ำแข็งก็ระเบิดราวกับทำจากแก้ว เปลี่ยนเป็นละอองแสงโปรยปราย
แทบจะในยามเดียวกัน ลึกเข้าไปในท้องนภา ดูเหมือนจะมีเสียงครืนเบา ๆ แว่วออกมา
ซูอี้เมินสิ่งเหล่านี้ เขาพุ่งไปทางห้องของเยว่ซือฉาน
แต่เดิม ชายชราตาบอดตั้งใจติดตาม ทว่าหลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ละทิ้งความคิด
“ผู้อาวุโส สิ่งใดคือตราลับประทับมิติ?”
ฉือเจี่ยนซู่อดถามไม่ได้
“มันคือตราประทับที่ควบแน่นจากพลังแห่งมิติ มีเพียงผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้นที่บรรลุและใช้มันได้”
สีหน้าของเฒ่าบอดดูไม่แน่ใจ “กล่าวโดยรวมแล้ว เมื่อตราลับประทับมิติปรากฏก็เหมือนเป็นประตูมิติ แม้จะเป็นผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิของโลกอื่น อีกฝ่ายก็จะสามารถใช้วิชาลับ ‘ตราลับประทับมิติ’ นี้เปิดช่องมิติระหว่างสองโลกได้”
ฉือเจี่ยนซู่สูดหายใจเฮือก พลางกล่าวว่า “แปลว่าเมื่อครู่นี้ มีบุคคลในขอบเขตจักรพรรดิพยายามเปิดประตูมิติมายังที่นี่หรือ?”
ชายชราตาบอดส่ายหน้าตอบ “พลังของบุคคลระดับจักรพรรดิผู้นี้น่ากลัวเกินไป ไม่ใช่สิ่งที่ประตูมิติจะทนรับได้ ในความคิดข้าตราลับประทับมิติของบุคคลนี้น่าจะเป็นการเปิดเส้นทางเพื่อรับและชี้นำบางสิ่ง”
“เส้นทางเพื่อรับและชี้นำบางสิ่ง?”
ฉือเจี่ยนซู่ฉงนใจ
“ถูกต้อง”
เบ้าตาว่างเปล่าของชายชราตาบอดจับจ้องศาลาที่พำนักของเยว่ซือฉาน “ในโลกแห่งหนึ่งซึ่งไม่ใช่โลกของมหาทวีปคังชิง มีผู้ใดสักผู้สัมผัสกลิ่นอายของผู้ที่อยู่ในศาลานั้นได้ จึงพยายามสร้างประตูมิติเพื่อชี้นำผู้ที่อยู่ในศาลานั้นจากไป”
ฉือเจี่ยนซู่ตกใจ
แม้ว่านางจะเป็นผู้แข็งแกร่งจากยุคโบราณ แต่น้อยครั้งที่นางจะได้ประสบความลับเช่นนี้ นางจะคิดได้เช่นไรว่าปรากฏการณ์สุดยอดเมื่อครู่จะเกี่ยวพันกับวิชา ‘ตราลับประทับมิติ’?
ขณะเดียวกัน
ในศาลา
เยว่ซือฉานมองซูอี้ผู้บุกเข้ามาในห้องของนางอย่างตกใจ กล่าวว่า “ศิษย์พี่ซู เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
หญิงสาวงดงามราวภาพวาด ล้ำเลิศราวนางสวรรค์ ยามนางเอื้อนเอ่ยวาจา นางก็ลุกขึ้นจากการทำสมาธิโดยไม่รู้ตัว
ซูอี้ถาม “ยามเจ้าทำสมาธิก่อนหน้านี้ ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใดผิดปกติเลยหรือ?”
เยว่ซือฉานครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงตอบว่า “ยามที่ข้าทำสมาธิก่อนหน้านี้ ข้าสัมผัสได้เพียงสัญญาณการเลื่อนขอบเขต นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลย”
ซูอี้อดมองเยว่ซือฉานขึ้นลงรอบหนึ่งอย่างจริงจังไม่ได้
ในยามก่อนเมื่อนางอยู่บนเกาะเซียนพระสุเมรุ ระดับการฝึกฝนของนางยังอยู่เพียงแค่ขอบเขตรวบรวมดาราขั้นสมบูรณ์แบบ และนางก็มีรากฐานพร้อมสรรพสำหรับการเข้าสู่วิถีวิญญาณนับแต่นั้น!
แค่ว่า ‘ตราลับประทับมิติ’ ที่เขาเห็นเมื่อครู่ทำให้ซูอี้งุนงงเล็กน้อย
กล่าวโดยหลักเหตุผล เขาเคยรักษาเยว่ซือฉานด้วยตนเองอยู่ระยะหนึ่ง และรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า
หากสตรีผู้นี้มีพลังพิสดารอันใด เขาคงค้นพบมันนานแล้ว
ทว่ายามนี้กลับมี ‘ตราลับประทับมิติ’ มุ่งเป้ามายังเยว่ซือฉาน ซึ่งผิดปกติมาก
“ศิษย์พี่ซู เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
เยว่ซือฉานกล่าวเสียงต่ำ นางไม่สบายใจกับสายตาของซูอี้เล็กน้อย
“ก่อนหน้านี้เกิดตราลับประทับมิติขึ้น”
ซูอี้ครุ่นคิดนิดหน่อย และกล่าวถึงภาพที่เคยเกิดขึ้น “ข้าสงสัยว่าผู้ใช้ตราลับประทับมิตินั้นมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ”
เยว่ซือฉานดูเคลือบแคลง จากนั้นนางก็ขมวดคิ้ว “ตราลับประทับมิติซึ่งดูเหมือนบุปผาน้ำแข็งปรากฏที่นี่? ไม่ใช่ว่า…”
ซูอี้เลิกคิ้วถาม “เจ้าคาดเดาสิ่งใดได้หรือ?”
เยว่ซือฉานเงียบไปครู่หนึ่ง จึงตอบว่า “ไม่โกหกต่อศิษย์พี่ซู ข้าไร้พ่อแม่นับแต่เด็ก จึงถูกแม่เลี้ยงดูแลมา นางสอนวิถียุทธ์แก่ข้า สอนให้ข้าฝึกดาบ ยามข้าอายุเจ็ดปี แม่เลี้ยงได้ตายไปด้วยโรคร้าย ข้าไม่ได้ตระหนักเลยว่ามีความลึกลับบางอย่างอยู่ในวิญญาณจนกระทั่งฝึกวิถียุทธ์จนถึงขอบเขตไร้แพร่งพราย”
“ปรากฏว่ามันซ่อนอยู่ในวิญญาณ”
จู่ ๆ ซูอี้ก็หันมาถาม “ขอข้าดูได้หรือไม่”
เยว่ซือฉานพยักหน้า “ได้”
ทันใดนั้น จิตสัมผัสของซูอี้ก็แผ่ออกมา แทรกซึมสู่ห้วงความนึกคิดของเยว่ซือฉานราวกลุ่มเส้นหนวด
เยว่ซือฉานดูราวถูกไฟดูด ร่างบอบบางของนางสั่นเล็กน้อย ทั่วร่างรู้สึกอึดอัด
เพราะถึงอย่างไร ห้วงความนึกคิดนั้นเป็นของส่วนตัวและเปราะบางเกินไป หากไม่เชื่อใจ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็คงเป็นไปไม่ได้ในการเข้าสู่ห้วงความนึกคิดของผู้อื่น
และเมื่อจิตสัมผัสของซูอี้แทรกเข้าไป วิญญาณของเยว่ซือฉานก็เกิดความรู้สึกประหลาดอันน่าอัศจรรย์ซึ่งเกินพรรณนาอย่างยิ่ง วิญญาณทั้งสองสัมผัสราวมัจฉาพึ่งวารี สนิทสนมยากแยกจาก
การสั่นไหวจากวิญญาณนั้นทำให้นัยน์ตากระจ่างของเยว่ซือฉานเหม่อลอย ร่างอรชรอ้อนแอ้นดูราวถูกไฟช็อตจนชาหมดเรี่ยวแรง รู้สึกแปลกเกินบรรยาย
ครู่หนึ่งจากนั้น ซูอี้ก็เก็บจิตสัมผัสของเขา
จู่ ๆ เยว่ซือฉานก็ถอนหายใจโล่งอกยาวเหยียด ทว่าความรู้สึกโหวงเหวงบอกไม่ถูกกลับเพิ่มพูนขึ้นในใจ
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวเขินอายเล็กน้อย ใบหน้าจิ้มลิ้มละเอียดอ่อนของนางร้อนดั่งเพลิงโลมเลีย และขึ้นสีแดงเรื่อ
“ความรู้สึกนี้… น่าอายจริง ๆ…”
เยว่ซือฉานดูขวยเขิน
“ว่าแล้วเชียว ตราลับประทับมิตินี้มาเพื่อเจ้า”
แววตาของซูอี้ต่างออกไป
ก่อนหน้านี้ เมื่อจิตสัมผัสของเขาเข้าสู่ห้วงความนึกคิดของเยว่ซือฉาน เขาก็พบตราประทับลึกลับนั่นทันที
ตราประทับนั้นกระจ่างใสราวหิมะน้ำแข็ง รูปร่างคล้ายดอกผีเสื้อเบ่งบาน ให้บรรยากาศลึกลับโบราณ
นี่คือวิชาลับ ‘ตราลับประทับวิญญาณ’
มีเพียงผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้นที่สร้างตราลับเยี่ยงนี้ได้ เพราะมันจำเป็นต้องมีเสี้ยวเจตจำนงซึ่งเป็นของบุคคลในขอบเขตจักรพรรดิอยู่ด้วย!
และหากซูอี้เดาถูก คงจะมีบุคคลในขอบเขตจักรพรรดิผู้ทิ้งตราลับประทับวิญญาณนี้ไว้ในห้วงความนึกคิดของเยว่ซือฉานนับแต่นางยังเล็ก
และตราลับประทับวิญญาณนี้เองที่เป็นสิ่งดึงดูด ‘ตราลับประทับมิติ’!
“มาหาข้า?”
เยว่ซือฉานงุนงง
ซูอี้กล่าว “ใช่ น่าจะเป็นเจ้าของตราลับประทับวิญญาณในวิญญาณของเจ้าเมื่อครั้งอดีตที่ใช้ตราลับประทับมิติเปิดประตูมิติมารับเจ้าไปจากที่นี่”
นัยน์ตาประกายดาวของเยว่ซือฉานเบิกกว้าง “มารับข้า?”
ซูอี้กล่าว “เจ้าไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนหรือ?”
เยว่ซือฉานพยักหน้า
ซูอี้รีบบอกทุกสิ่งที่รู้แก่เยว่ซือฉาน
ตัวอย่างเช่น เจ้าของตราลับประทับวิญญาณนี้คือบุคคลในขอบเขตจักรพรรดิ ผลวิเศษของตราลับประทับมิติและอื่น ๆ
หลังได้ยินเช่นนี้ เยว่ซือฉานก็อดตะลึงไม่ได้ ใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยความงุนงง
“แน่ใจได้ว่าประสบการณ์ชีวิตของเจ้าถูกกำหนดให้ยากลำบาก และผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิที่อยากนำเจ้าไปที่อื่นนั้นเป็นไปได้มากว่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของเจ้า”
ซูอี้ครุ่นคิด “และคนผู้นี้ก็พยายามใช้ตราลับประทับมิติเปิดประตูมิติขึ้นในคืนนี้ เพียงการกระทำก็พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในมหาทวีปคังชิง หาไม่ เขาคงไม่จำเป็นต้องทำเช่นที่ว่า”
“เพราะถึงอย่างไร เขาก็เป็นผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ การใช้ตราลับประทับมิติเปิดประตู ไม่เพียงต้องสิ้นเปลืองพลังมากมาย แต่ยังต้องรับความเสี่ยงมหาศาลด้วย”
การเปิดประตูมิตินั้นแสนง่าย ผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิคนใดก็ทำได้
ทว่าความเสี่ยงจากการทำเช่นนั้นมีมากมาย
เพราะถึงอย่างไร การเปิดประตูมิติข้ามโลกนั้นเป็นไปได้สูงมากที่จะพบพานหายนะเกินคาดเดา เช่นพายุสุญญะ พิรุณสิ้นกาลและอื่น ๆ
เมื่อเปิดประตูมิติออกแล้วโชคร้ายพบพานอำนาจเช่นนี้ ต่อให้แข็งแกร่งเยี่ยงผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิก็ยังบาดเจ็บสาหัส หรือกระทั่งถูกฆ่า!
“อย่างนั้นหรือ… ตลอดหลายปีมานี้ ข้าคิดว่าข้าไร้ญาติมาแสนนาน…”
เยว่ซือฉานดูมีสีหน้าสับสน
สิ่งที่ซูอี้กล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อจิตใจของนาง
“อย่าเศร้าใจเพราะมันเลย”
ซูอี้ยิ้ม “ข้าคิดว่าเจ้าควรดีใจนะ อย่างน้อยเจ้าก็รู้แล้วว่ามีความลับซุกซ่อนอยู่ในชีวิตของเจ้า ไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจะได้รับคำตอบ”
หลังจากชะงักไปนิดหน่อย เขาก็กล่าวต่อ “แม้ว่าข้าจะขัดจังหวะการลงมือของอีกฝ่ายในคืนนี้ แต่นั่นเพราะเหตุการณ์เกิดกะทันหันนัก เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ข้าจึงจำต้องหยุดมันให้เร็วที่สุด”
เยว่ซือฉานพยักหน้า ใบหน้าขาวงดงามอ่อนโยนลง จากนั้นจึงกล่าวคำออก “ข้าเข้าใจแล้ว”
ซูอี้ยิ้มและกล่าวว่า “ทำนายได้ว่าไม่นานหรอก อีกฝ่ายจะมาหาเจ้าอีกครั้ง ยามนั้น หากเจ้าแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ประสงค์ร้าย เจ้าจะจากไปกับมันก็ย่อมได้”
“จากไป?”
หัวใจของเยว่ซือฉานบีบแน่น
หากนางจากไป ก็เท่ากับออกจากมหาทวีปคังชิง!
นางไม่เคยคิดถึงเรื่องเยี่ยงนี้มาก่อน
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “แน่นอน หากเจ้าไม่ต้องการ ข้าก็จะไม่ให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น สั้น ๆ ก็คือ ทุกสิ่งขึ้นกับใจเจ้า”
เยว่ซือฉานส่งเสียงในลำคอ
ซูอี้เห็นได้ว่าสตรีผู้นี้กำลังอยู่ในภวังค์ ดูจะยากสำหรับนางในการประมวลความตกใจต่อข่าวเหล่านี้ชั่วขณะ สิ่งที่นางต้องทำในยามนี้ก็คือสงบจิตตนลง
“นี่ก็ดึกแล้ว เจ้าพักก่อนเถิด หากมีสิ่งใดก็มาหาข้าได้ ไม่ต้องเขินอาย”
ซูอี้กล่าว
“ตกลง”
เยว่ซือฉานพยักหน้า
ซูอี้หันหลังจากไป
เมื่อกลับมาสู่สวนน้อย เฒ่าบอดและฉือเจี่ยนซู่ยังคงรอคอยอยู่ที่เดิม
“คุณชายซู ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่?”
ชายชราตาบอดรีบถาม
“ไม่ต้อง”
ซูอี้กล่าว “เจ้าวางแผนใดไว้ต่อจากนี้?”
ฉือเจี่ยนซู่มองชายชราตาบอดอย่างคาดหวัง และกล่าวว่า “หากเป็นไปได้ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะไปยังตำหนักบรรพชนกับข้า ทว่าข้าไม่รู้ว่าผู้อาวุโสจะเต็มใจหรือไม่”
ชายชราตาบอดอารมณ์ดี จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “แน่นอน ข้าเต็มใจ!”
ซูอี้หัวเราะ เขาจะไม่เห็นได้อย่างไรว่าทัศนคติของฉือเจี่ยนซู่ต่อชายชราตาบอดเปลี่ยนไปแล้ว?
ต่อมา หลังจากพูดคุยกันสักพัก ชายชราตาบอดและฉือเจี่ยนซู่ก็กล่าวขอตัวลา
ซูอี้กลับห้องของเขา
วันนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย
ทว่าเรื่องเหล่านี้จะไม่มีผลใดต่อกิจวัตรฝึกฝนและกฎเกณฑ์ในชีวิตของซูอี้
เหมือนเช่นเคย หลังกลับเข้าห้อง เขาก็เริ่มทำสมาธิฝึกฝน
วิถีฝึกฝนนี้สั่งสมมาตามกาล นานแสนนาน
ต้องใช้ความเพียรอย่างมากในการทำสิ่งที่น่าเบื่อนี้ซ้ำ ๆ
การฝึกฝนก็เช่นกัน
ทว่า ในสายตาของซูอี้ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้เทียบได้กับการฝึกฝน ดังนั้นมันจึงไม่เคยให้ความรู้สึกน่าเบื่อ
เช้ารุ่งขึ้นสว่างกระจ่างใส
ซูอี้และคณะเก็บข้าวของ ออกจากสวนน้อยนภาเมฆซึ่งพำนักอยู่เดือนกว่า เดินทางออกจากนครหลวงจิ๋วติ่งไปตามทางกลับสู่ต้าโจว
นี่คือวันที่สามเดือนสิบเอ็ด
เมื่อคิดถึงประสบการณ์นี้ในนครหลวงจิ๋วติ่งขึ้นมา ซูอี้ก็กล่าวคำหนึ่งในใจอย่างอดไม่ได้
ก่อเรื่องแล้วจากไปเงียบ ๆ!
สนุกดีเหมือนกัน