บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 596 ที่มาของจักรพรรดิผีหมิงหลัว
ตอนที่ 596: ที่มาของจักรพรรดิผีหมิงหลัว
ตอนที่ 596: ที่มาของจักรพรรดิผีหมิงหลัว
ห้าวันจากนั้น
วันที่แปดเดือนสิบเอ็ด
ชายแดนฝั่งใต้ของต้าเซี่ย เมืองซานอิ่น
เมืองซานอิ่นเป็นที่รู้จักในนาม ‘เมืองผี’
ยามเมื่อซูอี้มาถึงต้าเซี่ย เมืองแรกที่เขาเข้าไปก็คือเมืองซานอิ่น
และในเมืองผีในซานอิ่นนี้เองที่เขาได้พบชายชราตาบอดผู้มีเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ
ณ หน้าต่างบานหนึ่งที่ชั้นสองของโรงเตี๊ยม
ซูอี้ เยว่ซือฉาน เก๋อเฉียน หยวนเหิง และไป๋เวิ่นฉิงกำลังดื่มกันอยู่
“สามเดือนก่อน ข้าและนายท่านได้พบแม่นางไป๋ในหุบเขาเมฆาเขียวที่เขาอวิ๋นหมางแถว ๆ นี้”
หยวนเหิงทอดถอนใจ “ยามนั้นมีสหายเต๋าหลิงอวิ๋นเหอและแม่นางชิงหยาอยู่ด้วย …ทว่ายามนี้เมื่อข้าย้อนคิดถึงประสบการณ์ในต้าเซี่ย ข้าก็รู้สึกราวกับฝันไป”
ไป๋เวิ่นฉิงอดหัวเราะไม่ได้ หัวใจของนางเองก็รู้สึกตื้นตัน
ยามที่นางเดินทางกับซูอี้ ทำให้นางเข้าใจลึกซึ้งว่าบางครั้ง การอยู่กับบุคคลที่ถูกต้องก็สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเองได้!
สามเดือนก่อน นางยังคงเป็นอสรพิษจิตวิญญาณหิมะซึ่งยังไม่อาจเปลี่ยนร่างได้อยู่เลย
ทว่ายามนี้ นางอยู่ในขั้นปลายของขอบเขตรวบรวมดาราแล้ว!
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ไป๋เวิ่นฉิงอดทอดถอนใจไม่ได้
หนึ่งคนบรรลุเซียน สุนัขไก่รอบข้างพลอยขึ้นสวรรค์!
“ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะมากเพียงไร ก็ไม่เท่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดต่อโลกในภายหน้าหรอก”
ซูอี้ดื่มสุราหนึ่งจอกพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
ห้าวันที่ผ่านมา พวกเขาออกจากนครหลวงจิ๋วติ่ง เดินทางผ่านชายแดนแคว้นเขตมากมาย และยังได้พบความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยได้พบพานมาก่อนเต็มไปหมด
ปราณวิญญาณทั่วฟ้าดินเพิ่มขึ้นทุกวัน
แม้จะยังเบาบางมาก แต่แนวโน้มความเปลี่ยนแปลงนี้ได้เริ่มส่งผลต่อผู้ฝึกตนในโลกแล้ว!
ลึกเข้าไปในป่าเขา สัตว์ปีศาจนับไม่ถ้วนต่างทลายพันธนาการผ่านเขตแดนต่าง ๆ
ในหมู่ขุมอำนาจหลัก ยังมีผู้ฝึกตนไม่ทราบจำนวนที่ติดค้างคอขวดอยู่ทุกปี และค่อย ๆ ตระหนักถึงร่องรอยมหาวิถีทั่วหล้าฟ้าดิน ก่อนจะเริ่มตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงขอบเขตของพวกเขา
กระทั่งเหล่านักรบซึ่งถูกส่งมายังโลกปุถุชนยังได้รับผลประโยชน์มากมายจากการเพิ่มพูนปราณวิญญาณในโลกนี้ด้วย
สาเหตุนั้นง่ายดาย เพราะในอดีตมหาทวีปคังชิงขาดแคลนปราณวิญญาณปริมาณมาก!
กระทั่งอาณาจักรใหญ่ในมหาทวีปคังชิงอย่างต้าเซี่ยยังขาดแคลนปราณวิญญาณ มีเพียงขุมอำนาจผู้ปกครองเลื่องชื่อ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลือนามเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งได้
ทว่ายามนี้แตกต่างออกไป ปราณวิญญาณทั่วฟ้าดินเพิ่มสูงทุกวันคืน ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกตนบนโลกจึงได้รับเพียงผลประโยชน์!
นี่คือโชคชะตาฟ้าประทานโดยแท้ แจกจ่ายแบ่งปันถ้วนทั่วทุกที่
เป็นความจริงที่ทุกวันนี้ ปราณวิญญาณบนโลกก็ยังคงไม่เข้มข้นเท่าไรนัก
แต่ด้วยการเกิดของความเปลี่ยนแปลงนี้ บรรยากาศแห่งมหาวิถีทั่วหล้านภาสวรรค์ก็เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
นี่ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนบนโลกสามารถทำความเข้าใจในมหาวิถีได้มากขึ้นกว่าเก่า!
ในขณะเดียวกัน ในหมู่ขุนเขาและลำธารบนโลก วัตถุวิญญาณและโอสถวิญญาณมากมายก็เริ่มก่อร่างขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ จำนวนของมันเพิ่มขึ้นมากเกินยามใด
ราวดอกเห็ดที่งอกหลังฝนพรำ!
นี่คือความเปลี่ยนแปลงแห่งฟ้าดิน
แม้ว่าจะเป็นเพียงการเริ่มต้นและไม่ได้ดึงแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาก็ตามที แต่ขอเพียงสถานการณ์นี้ดำเนินต่อ โลกหล้าจะเปลี่ยนผันอย่างสะเทือนปฐพี
รูปแบบการใช้ชีวิตของโลกและสรรพชีวิตเองก็จะได้รับผลมหาศาล!
เมื่อได้ยินวาจาของซูอี้ เยว่ซือฉานและเก๋อเฉียนต่างสะท้อนใจ
ในห้าวันที่ผ่านมา กระทั่งพวกเขายังตระหนักดีว่าบรรยากาศระหว่างสวรรค์และโลกแปรผันต่างออกไป
เทียบกับแต่ก่อน ยามพวกเขาฝึกฝน การสัมผัสบรรยากาศแห่งมหาวิถีทั่วหล้าก็ทำได้ง่ายขึ้นจริง ๆ
จำไว้ว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะคาดฝันว่าการเปลี่ยนแปลงสุดขั้วใดจะเกิดยามแสงสว่างแห่งโลกกว้างสาดส่องลงมา และสิ่งเหลือเชื่อใดจะเกิดตามมา
“คำนวณเวลาแล้ว แม่นางซินจ้าวน่าจะกลับไปยังวังเทพสวรรค์เมฆาเป็นที่เรียบร้อย”
เยว่ซือฉานกล่าวเบา ๆ
ซูอี้พยักหน้า
หลังจากเดินทางออกจากนครหลวงจิ๋วติ่ง เหวินซินจ้าวก็เดินทางกับพวกเขาสองวัน ก่อนจะแยกจากไปลำพัง
ก่อนจากไป ทุกคนต่างเห็นว่าสตรีผู้ชดช้อยสง่างามผู้นี้ไม่ค่อยเต็มใจนัก
“ไปศาลหลักเมืองกันเถิด ก่อนจะออกเดินทางต่อ”
ครู่ถัดมา ซูอี้ดื่มสุราในจอกแล้วลุกขึ้นเดินออกจากโรงเตี๊ยม
การกลับมายังต้าโจวครานี้ของเขา ซูอี้ไม่ได้รีบร้อนนัก
ค่อยเป็นค่อยไป
มองทิวทัศน์ ทัศนาโลกหล้า มองการปรากฏของชีวิต การผันผวนแห่งโลกา
สิ่งที่เห็นและสัมผัสคือการฝึกฝน
…
หมู่ธูปเทียนจุดอยู่ ณ หน้าศาลเจ้าหลักเมืองส่งไอควันโขมง ผู้คนคลาคล่ำ ส่วนใหญ่มักเป็นคนหนุ่มสาว
สองฝั่งประตูศาลมีโคลงบทหนึ่งจารึกไว้
‘โลกมนุษย์สามแดน สร้างกุศลหรือทำความชั่วขึ้นอยู่กับเจ้า’
‘อดีตผ่านไปปัจจุบันแทนที่ เมืองผีเคยละเว้นใคร’
เมื่อซูอี้แรกมาเยือนเมืองซานอิ่น เขาก็มายังศาลเจ้าหลักเมืองนี้เช่นกัน เหตุผลที่เขาอยากมาที่นี่อีกครั้งนั่นก็เพราะรูปเคารพซึ่งประดิษฐานอยู่ในศาล
ไม่นานนัก ซูอี้และคณะก็มาถึงโถงสักการะในศาล
ในห้องโถง มีรูปสลักเทพเจ้าสูงเก้าจั้ง
รูปเคารพนั้นเป็นสตรีผู้มีกิริยาท่าทางอ่อนช้อยสง่างาม ใต้เอวของนางมีอสรพิษรัดพัน มือข้างหนึ่งประทับท่าทางในขณะที่อีกมือถือโคมทรงบงกชไว้
ยามนี้ ผู้ศรัทธาชายหญิงต่างเรียงแถวเข้าสู่โถงหลัก จุดธูปเซ่นไหว้ คุกเข่าภาวนา สีหน้าเคร่งในธรรมและเปล่งบทสวดอ้อนวอนจากปาก
เมื่อได้มาเห็นรูปสลักนี้อีกครั้ง หัวใจของซูอี้ก็รู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย
เขาอดคิดถึงสตรีคิ้วโก่ง สวมรัดเกล้า ชุดคลุมกระเรียน และโคมทรงบงกชในมือไม่ได้
เผ่าปีศาจงูคือหนึ่งในเก้าสายเลือดแห่งยมโลก ในสายตาเหล่าภูตผีแล้ว เผ่าปีศาจงูยังเป็นที่รู้จักในนามเจ้าแห่งโคม และมีฐานะสูงส่งอีกด้วย
และสตรีนามเย่อวี๋ผู้นั้นก็คือราชินีจักรพรรดินีผู้แรกในประวัติศาสตร์เผ่าปีศาจงู!
“ไปกันเถิด”
ครู่ต่อมา ซูอี้ก็สงบความคิดและหันหลังจากไป
รูปสลักนี้ไม่ใช่ ‘เย่น้อย’ และเป็นแค่ภาพ ‘ผู้ถือโคม’ แห่งเผ่าปีศาจงู
เยว่ซือฉานและคณะต่างงุนงง ไม่ทราบว่าซูอี้กระทำอันใด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม
ทันทีที่เขาเดินออกนอกศาลเจ้าหลักเมือง ซูอี้พลันสังเกตว่าในหมู่ผู้คนมีหญิงงามชุดดำยืนปะปนอยู่ผู้หนึ่ง
ทว่าเมื่อนางพบซูอี้ สตรีชุดดำก็สูดหายใจเฮือกและก้าวออกมาราวรวบรวมความกล้า โค้งให้เขาพลางกล่าว “เสวียนจื่อพบสหายเต๋าซู”
สตรีชุดดำผู้นี้ แท้จริงคือเสวียนจื่อ ธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งโถงวิญญาณหยินทมิฬ
ทายาทผู้หนึ่งแห่งปีศาจงู!
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย หัวใจรู้สึกแปลก ๆ เล็กน้อย เขาย่อมรู้ว่าไม่มีทางที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อจะปรากฏขึ้นตรงนี้โดยบังเอิญ
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็กล่าวว่า “เจ้ามาหาข้าเพื่อการใด?”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อกล่าว “ข้า… ข้ามีความเคลือบแคลงหนึ่งในใจเสมอ และอยากถามสหายเต๋าซูด้วยตนเอง”
ซูอี้มองไปรอบ ๆ พลางกล่าว “เดินไปคุยไปเถิด”
กล่าวจบ เขาก็เดินตรงออกไป
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อเดินตาม ส่วนพวกเยว่ซือฉาน พวกเขาต่างถอยห่าง ไม่เข้าไปร่วมวงสนทนาระหว่างทั้งสอง
“เจ้าอยากถามหรือว่าเหตุใดข้าจึงไว้ชีวิตเจ้า?”
ระหว่างทาง ซูอี้กล่าวลอย ๆ
“ถูกต้อง”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อพยักหน้า “หากเป็นไปได้ ขอสหายเต๋าช่วยสงเคราะห์ด้วย”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ก่อนจะตอบคำถามนี้ บอกข้าได้หรือไม่ว่าในฐานะทายาทเผ่าปีศาจงู เจ้ามายังมหาทวีปคังชิงนี้ได้เช่นไร?”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้เพียงว่านานมาแล้ว ผู้ก่อตั้งโถงวิญญาณหยินทมิฬ จักรพรรดิผีหมิงหลัวมาจากยมโลก ท่านได้เดินทางมายังมหาทวีปคังชิงพร้อมกลุ่มภูตพรายและปีศาจงูที่แข็งแกร่ง”
“ในหมู่ภูตผีและปีศาจงูนี้มีทั้งหมดสิบสามคน อีกนามหนึ่งคือสิบสามทูตสวรรค์ และข้าก็เป็นทายาทคนหนึ่งของ ‘ทูตสวรรค์หมีเหอ’ ที่มากับขบวนครานั้น”
“กล่าวอีกนัยคือ แม้ข้าจะเป็นทายาทของเผ่าปีศาจงู แต่ข้าก็เกิดและโตในมหาทวีปคังชิง ไม่เคยได้ไปเยือนยมโลก ความเข้าใจทั้งหมดของข้าเกี่ยวกับที่นั่นล้วนมาจากคำบอกเล่าของญาติผู้ใหญ่ทั้งสิ้น”
ได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็ครุ่นคิด พลางกล่าวว่า “อย่างนี้เอง”
เขายกมือขึ้น หยิบม้วนภาพออกมาส่งให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อม้วนหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ดูม้วนภาพนี้ที บุคคลในนี้คือจักรพรรดิผีหมิงหลัวหรือไม่?”
เสวียนจื่อตกใจ รีบเปิดม้วนภาพออกดู
ภาพในม้วนภาพคือแม่น้ำสีเลือดซึ่งมีแท่นปทุมสีดำลอยอยู่
ชายชุดดำสวมหงอนขนนกนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นปทุมเหนือแม่น้ำโลหิต ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังผอมบางในภาพ
แม่น้ำโลหิตนี้กว้างใหญ่เชี่ยวกราก แท่นปทุมลอยผลุบโผล่ และชายชุดดำก็หันหลังให้ทุกสิ่ง แม้จะมีเพียงหนึ่งผู้เดียวดาย ทว่ากลับให้ความรู้สึกว้าเหว่อ้างว้างเฉกนั่งโดดเดี่ยวบนสวรรค์ชั้นเก้า
ภาพวาดนี้ ซูอี้ได้รับมาจากตำหนักฮูหยินซีฮวาในอาณาจักรโบราณชิงไหว
ยามนั้น ซูอี้เห็นได้ว่าแม้ภาพวาดนี้จะแสนธรรมดาไม่ใช่สมบัติล้ำค่า แต่เนื้อหาในภาพวาดนั้นน่าสนใจมาก
แม่น้ำสีเลือดนั้นคือ ‘แม่น้ำบาปสีเลือด’ อันลือนามที่สุดในยมโลก ซึ่งมีที่มาจากแดนชำระบาป สายน้ำไหลไปบรรจบกับทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต น้ำในแม่น้ำนี้เต็มไปด้วยบาปอันชั่วร้าย ไม่ว่าสรรพชีวิตใดแตะต้องวารีนี้ย่อมถูกกัดกร่อนมอดม้วยไร้ยกเว้น
มีเพียงบุคคลในขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้นที่จะเป็นอิสระจากผลกระทบและการกัดกร่อนจากพลังของแม่น้ำบาปสีเลือด!
“ใช่แล้ว นี่คือภาพวาดของจักรพรรดิผีหมิงหลัว”
เสวียนจื่อพยักหน้า
ซูอี้ถาม “เขามีความสัมพันธ์อันใดกับเผ่าปีศาจงูของเจ้า?”
เสวียนจื่อตกใจ จากนั้นจึงกล่าวว่า “เดิมที จักรพรรดิผีหมิงหลัวก็มาจากเผ่าปีศาจงู ทว่าเขาเป็นทายาทสายตรงผู้หนึ่ง เนิ่นนานก่อนจะมายังมหาทวีปคังชิง เขาก็เป็นบุคคลระดับสูงสุดในเผ่าปีศาจงูแล้ว กล่าวกันว่า…”
กล่าวถึงจุดนี้ นางก็กล่าวด้วยสีหน้าสุดชื่นชม “กล่าวกันว่าพี่สาวของท่านจักรพรรดิผีหมิงหลัวคือจักรพรรดินีเพียงหนึ่งเดียวของเผ่าปีศาจงูของข้าจนยามนี้!”
ไม่ว่าซูอี้จะเยือกเย็นเพียงไร ยามได้ยินดังนี้ เขาก็อดตกใจไม่ได้
จักรพรรดิผีหมิงหลัวคือน้องชาย… ของเย่น้อย!?
ทันใดนั้น สีหน้าซูอี้พลันพิลึกพิลั่น จากนั้นเขาก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจักรพรรดิผีหมิงหลัว มายังมหาทวีปคังชิงนี้ตั้งแต่ยามใด?”
เสวียนจื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวคำ “จากที่โถงวิญญาณหยินทมิฬของข้าจารึกไว้ในหนังสือโบราณจากยมโลก จักรพรรดิผีหมิงหลัวน่าจะมายังโลกแห่งนี้เมื่อสามหมื่นแปดพันปีก่อน”
“สามหมื่นแปดพันปีก่อน…”
ซูอี้ครุ่นคิด
เมื่อห้าร้อยปีก่อน เขาเลือกเวียนวัฏสงสารเกิดใหม่
และสามหมื่นแปดพันปีก่อน เขาก็เป็นผู้ปกครองเก้ามหาแดนดินเพียงผู้เดียวมานานแล้ว ดาบของเขาสยบใต้หล้า ทว่ายามนั้น…
เดี๋ยวก่อน!
ยามนั้น เขาเคยบุกเดี่ยวไปยังยมโลกเพื่อสำรวจความลับแห่งวัฏสงสาร
ผีเฒ่าแบกโลงตกปลาอยู่ในสระแห่งการกำเนิดใหม่ผ่านทะเลทุกข์เข้าสู่แม่น้ำเหลือง…
และยังเป็นในครานั้นที่เขาช่วยเย่น้อยให้รอดจากมหาหายนะ ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งวิถีลึกล้ำในทันที และกลายเป็นหนึ่งจักรพรรดินีผู้แรกและผู้เดียวในเผ่าปีศาจงูนับแต่บรรพกาล!
เมื่อความทรงจำในอดีตชาติหลั่งรินต่อเนื่องสู่ใจ ในที่สุด ซูอี้ก็ดูจะจำได้ว่าผู้ใดคือจักรพรรดิผีหมิงหลัว สีหน้าของเขาพิลึกพิสดารขึ้นเรื่อย ๆ และมุมปากกระตุกเล็กน้อย
คงไม่ใช่เจ้าคนสมควรตายที่เอาแต่เรียกเขาเป็นพี่เขยทุกวันหรอกใช่หรือไม่?