บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 597 สิ่งที่เห็นมิจำเป็นต้องจริงแท้
ตอนที่ 597: สิ่งที่เห็นมิจำเป็นต้องจริงแท้
ตอนที่ 597: สิ่งที่เห็นมิจำเป็นต้องจริงแท้
เย่น้อยมีน้องชายนามเย่ซุ่น
น้องชายผู้นี้มีนิสัยประหลาดขวางโลก เย่อหยิ่งไร้ระเบียบ เป็นราชันย์ปีศาจประจำเผ่าปีศาจงู
นับแต่พบพานซูอี้ เย่ซุ่นก็ยิ่งเย่อหยิ่งเกินต้าน
ซูอี้ยังจำได้ว่าเมื่ออดีตชาติ สมัยที่เย่ซุ่นยังอยู่ในยมโลก ขอเพียงเขาไปก่อเรื่องภายนอก เขาจะขานนามซูเสวียนจวินทันที
ทั้งยังกล้าเรียกเขาเป็นพี่เขย!
ยามนั้น เนื่องจากการกระทำของเย่ซุ่น ความเข้าใจผิดมากมายจึงบังเกิด
ยามเมื่อผู้แข็งแกร่งในยมโลกรับรู้เรื่องนี้ พวกเขาทั้งหลายต่างส่งของขวัญยินดีเพื่อฉลองการแต่งงานระหว่างเขาและเย่น้อย…
กระทั่งผู้เฒ่าบางคนจากเผ่าปีศาจงูยังแกล้งสับสนในเรื่องนี้ ไม่ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องทั้งหมดแต่อย่างใด
และยังเป็นเพราะเหตุนี้ ซูอี้จึงต้องจัดการกับเจ้าหนูเย่ซุ่นนี่อย่างเด็ดขาด
ทว่าเจ้าเด็กนี่ช่างขี้หลงขี้ลืม หลังถูกสั่งสอน ความจำก็คงอยู่ได้ไม่นานเท่าไร
เมื่อมาย้อนคิดถึงความหลังทั้งหมดนี้ ซูอี้ก็ยังอดหัวเราะขำขันไม่ได้
แค่ว่า เมื่อเขาคิดถึงชายหนุ่มผู้นั้น ก็พบว่าเป็นไปได้มากที่อีกฝ่ายจะเป็นผู้ก่อตั้งโถงวิญญาณหยินทมิฬ จักรพรรดิผีหมิงหลัว…
นี่ทำให้ซูอี้รู้สึกตะขิดตะขวงเล็กน้อย
“นามของเขาคือเย่ซุ่นหรือ?”
ซูอี้ถาม
เสวียนจื่อตะลึงไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “สหายเต๋าก็เคยได้ยินนามของจักรพรรดิผีหมิงหลัวหรือ?”
ว่าแล้ว
ซูอี้แสดงสีหน้ากระจ่างแจ้งในทันที กล่าวว่า “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเหตุใดข้าจึงไว้ชีวิตเจ้า?”
เสวียนจื่อกล่าว “อยากสิ”
ทันใดนั้น นางก็ตระหนักบางสิ่ง เบิกตากว้างและกล่าวว่า “หรือว่ามัน มันเกี่ยวกับจักรพรรดิผีหมิงหลัวหรือ?”
ซูอี้กล่าวลอยชาย “มันเกี่ยวกับพี่สาวของเขาน่ะ”
ปฐมจักรพรรดินีแห่งเผ่าปีศาจงู?
เสวียนจื่อรู้สึกราวได้ยินเรื่องน่าขัน ซึ่งไม่อาจเชื่อมโยงชายหนุ่มเช่นซูอี้กับจักรพรรดินีในตำนานผู้ลือนามในยมโลกเมื่อหลายหมื่นปีก่อนได้เลย
ความแตกต่างนั้นมากเกินไป!
“ลืมเสียเถิด ในเมื่อสหายเต๋าไม่อยากบอกเหตุผลก็ไม่เป็นไร”
เสวียนจื่อถอนหายใจเบา ๆ
นางคิดว่าวาจาของซูอี้เป็นเพียงข้ออ้างอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูอี้ตะลึง แต่ก็ไม่ได้อธิบายมากไปกว่านี้
แม้เขาจะบอกเรื่องในอดีตชาติให้เสวียนจื่อฟัง นางก็คงยากจะเข้าใจได้อยู่ดี
หลังครุ่นคิดได้ ซูอี้ก็ถามว่า “เย่ซุ่นไปอยู่ใดเมื่อการจองจำแห่งยุคมืดปรากฏขึ้นสามหมื่นปีก่อน?”
เมื่อเห็นเขาขานนามของจักรพรรดิผีหมิงหลัวห้วน ๆ เสวียนจื่อก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ครู่หนึ่ง นางยิ้มแห้ง ๆ ชายผู้นี้โอหังเพียงนี้เลยหรือ?
“กล่าวกันว่ายามเมื่อการจองจำแห่งยุคมืดปรากฏ จักรพรรดิผีหมิงหลัวได้พาสิบสามทูตสวรรค์ออกค้นหาบ่อโบราณโกลาหล”
เสวียนจื่อกล่าว “ทว่าจากนั้นมา พวกเขาก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย… ดังนั้นในช่วงปีต่อ ๆ มา จากการกัดกร่อนของการจองจำแห่งยุคมืด โถงวิญญาณหยินทมิฬของพวกข้าจึงแตกสลาย…”
กล่าวถึงเรื่องนี้ นางก็อดถอนหายใจยาวไม่ได้
สำรวจบ่อโบราณโกลาหล?
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย บ่อโบราณโกลาหลที่ว่านั่นคือเวิ้งเก้าดารา!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเย่ซุ่นหาสถานที่ดังกล่าวไม่เจอ เพราะถึงอย่างไร มีเพียงราชันย์ปีศาจพระสุเมรุแห่งหอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุเท่านั้นที่บรรลุหนทางสู่เวิ้งเก้าดารา
ทว่าแล้วยามนั้น เย่ซุ่นไปที่ใด?
หรือเขาเองก็ตกเป็นเหยื่อของการจองจำแห่งยุคมืด?
ยามนี้ เสวียนจื่อเหมือนจะจำบางอย่างขึ้นได้ จึงกล่าวว่า “แต่ข้าก็ยังได้ยินจากเหล่าผู้เฒ่าด้วยว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่จักรพรรดิผีหมิงหลัวและคณะจะกลับสู่ยมโลก ทว่าไม่มีผู้ใดยืนยันจริงเท็จได้”
ซูอี้พยักหน้า และไม่ได้คิดอีก
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมาแสนนาน หากภายหน้ามีโอกาส เขาก็ไม่รังเกียจจะตรวจสอบ
ทว่ายามนี้ แม้เขาจะอยากตรวจสอบ ทว่าก็ไร้เบาะแส
“ข้าฆ่าสังหารโม่ซิงเจ๋อบนเกาะเซียนพระสุเมรุ เจ้ามีเจตนาล้างแค้นให้โถงวิญญาณหยินทมิฬหรือไม่?”
ซูอี้เปลี่ยนเรื่อง
ดวงตาคู่งามของเสวียนจื่อหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าว “สหายเต๋า ไม่ว่าเช่นไร ผู้เป็นผู้นำปัจจุบันของโถงวิญญาณหยินทมิฬก็สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณทั่วโลกหล้าได้ และยามนี้กำลังสั่งสมกำลังเพื่อรับมือแสงสว่างแห่งโลกกว้าง ในชั่วขณะนี้ ข้าจึงไม่น่าจะมีเรื่องรบกวนสหายเต๋าอีก”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าผู้นำคนนั้นจะไม่ถูกโทสะบังตาสินะ”
เสวียนจื่อลังเลเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวว่า “สหายเต๋า เจ้าจะวางใจไม่ได้นะ ท่านผู้นำเคยกล่าวว่าไม่ช้าก็เร็ว… เขาจะมา ดังนั้นเรื่องคงไม่จบโดยง่าย”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “งั้นหรือ ข้าจะรอคอยวันที่ข้าไปเป็นแขกเยือนโถงวิญญาณหยินทมิฬของเจ้า”
เสวียนจื่อ “…”
“เอาล่ะ หากไม่มีสิ่งอื่นใด เช่นนั้นก็พอแค่นี้เถิด”
ซูอี้กล่าว
ยามนี้ พวกเขามาถึงประตูเมืองซานอิ่น
“สหายเต๋า ภาพนี้เป็นของเจ้า”
เสวียนจื่อส่งภาพวาดคืน
ซูอี้โบกมือกล่าว “ข้ารู้แล้วว่าเขาคือผู้ใด เก็บไว้ก็ไร้ค่า เจ้าควรนำมันกลับไป”
เขาไม่คิดจะเก็บภาพของเจ้าเด็กเหลือขอเย่ซุ่นนี่ไว้
“ไปกันเถิด”
ซูอี้งอร่าง ทะยานสู่เขาอวิ๋นหมางไกลออกไป
เยว่ซือฉานและคณะตามเขาไปติด ๆ
ดวงตาคู่งามของเสวียนจื่อซึ่งมองไล่หลังพวกเขาเจือความซับซ้อน
แน่นอน นางไม่เชื่อหรอกว่าซูอี้จะเลือกไว้ชีวิตนางเพื่อปฐมจักรพรรดินีในตำนานแห่งเผ่าปีศาจงู
ทว่านางกลับสังหรณ์ว่าซูอี้ผู้นั้นมีความเกี่ยวพันกับเผ่าปีศาจงูของพวกนางแน่นอน!
“กระทั่งในโถง ยังมีน้อยคนนักที่รู้จักนามของจักรพรรดิผีหมิงหลัว ทว่าซูอี้ดูจะรู้อยู่นานแล้ว หลังกลับไปครานี้ จะหาเบาะแสใดจากหนังสือโบราณของโถงได้บ้างหนอ?”
เสวียนจื่อครุ่นคิด
“แม่นาง”
ทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏจากอากาศธาตุตรงหน้าเสวียนจื่อ ทำให้นางก้าวถอยหลังโดยไม่ตั้งตัว
ยามเมื่อมองมา ก็พบว่าผู้มาเยือนคือนักพรตเฒ่าในชุดพรตขาดวิ่น!
“มีสิ่งใดหรือ?”
เสวียนจื่อมีทีท่าระแวดระวัง
นักพรตเฒ่ากล่าวยิ้ม ๆ “แม่นางไม่ต้องกลัว นักพรตต่ำต้อยผู้นี้ทะนุถนอมสตรีเพศเป็นที่สุด จะไม่มีทางทำสิ่งใดไม่น่าดูเป็นแน่”
ขณะกล่าว ดวงตาของเขาก็กวาดไปทั่วร่างของเสวียนจื่อ
จาบจ้วงหยาบโลนยิ่ง!
เสวียนจื่อรู้สึกขยะแขยงและต่อต้านในใจ นางจึงหันหลังเดินจาก
“เอ้อ แม่นาง อยู่ที่นี่ก่อน นักพรตต่ำต้อยผู้นี้ต้องการขอคำแนะนำจากแม่นาง…”
ทว่าก่อนนักพรตเฒ่าจะพูดจบ เสวียนจื่อก็กลายเป็นลำแสงทะยานหายลับนภาไปแสนไกลแล้ว
“นักพรตต่ำต้อยผู้นี้น่าขยะแขยงเพียงนั้นเลยหรือ?” นักพรตเฒ่าแตะใบหน้าของตน โกรธเคืองยิ่ง
“ไก่ได้พลอย!”
หลังลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถอนหายใจและทะยานสู่เขาอวิ๋นหมาง
…
เมื่อเดินทางออกจากต้าเซี่ยมา ซูอี้และคณะก็มุ่งสู่ต้าโจวทันที
เจ็ดวันต่อมา วันที่สิบห้าเดือนสิบเอ็ด
ในอาณาจักรต้าฉี
กลางดึก
ดวงจันทร์กระจ่างราววงล้อน้ำแข็ง แขวนเหนือนภารัตติกาล
ซากศพเกลื่อนกลาดบนสนามรบ โลหิตหลั่งรินบรรจบเป็นแม่น้ำ
สายลมเย็นยะเยือกพัดโชยหวีดหวิว ราวเสียงร่ำไห้โอดครวญใต้ราตรี
“ไม่ว่าอย่างไร โลกใบนี้ก็จะไม่เหมือนเดิมอีกหน…”
ซูอี้ยืนบนขุนเขาลูกหนึ่งท่ามกลางความมืดยามราตรี มองสนามรบนองเลือดห่างออกไปพลางขมวดคิ้วน้อย ๆ
นับแต่ออกจากต้าเซี่ย พวกเขาก็ข้ามอาณาจักรปุถุชนสามแห่ง และระหว่างทางก็เห็นศึกมากมาย
และยังมีสงครามขนาดใหญ่เกิดขึ้นอยู่บ้าง!
เหตุผลนั้นแสนง่าย เพราะปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินค่อย ๆ ฟื้นตัว โอสถวิญญาณและวัตถุวิญญาณจึงเกิดเพิ่มขึ้นในหมู่ขุนเขาลำธาร
กระทั่งหุบเขาบางแห่งที่ดูปกติดาษดื่นในอดีตยังเริ่มแผ่รังสีน่าอัศจรรย์!
เพื่อแย่งชิงโอสถวิญญาณและสมบัติล้ำค่า การนองเลือดย่อมเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
เพื่อปกครองขุนเขาอันเปี่ยมล้นด้วยปราณวิญญาณล่วงหน้า ขุมอำนาจผู้ฝึกตนตามที่ต่าง ๆ ยังเริ่มต่อสู้กันโดยไม่สนหน้าตา
คราหนึ่ง ซูอี้ได้เห็นว่าพื้นดินของเมือง ๆ หนึ่งทรุดลงแตกสลายลง จนบังเกิดเป็นสระน้ำวิญญาณผุดขึ้น ดึงความสนใจผู้ฝึกตนมากมายให้ฆ่าฟัน และเมืองใหญ่ก็กลับกลายเป็นหุบเขาซากทะเลโลหิต
เขายังเคยเห็นด้วยว่าในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ขุมอำนาจผู้ฝึกตนเกิดการปะทะกับสัตว์ปีศาจเพื่อแย่งชิงหุบเขาจิตวิญญาณ ต่อสู้ฆ่าฟันจนซากศพบังนภา ตะวันจันทราไม่อาจสาดแสง
สถานการณ์เช่นนี้ยังปรากฏขึ้นถ้วนทั่วโลกหล้า!
ปั่นป่วนนองเลือด ชีวาสิ้นสูญไร้ค่า!!!
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับโลกหลังการฟื้นฟูปราณวิญญาณแห่งฟ้าดิน
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกฝนศาสตร์ยุทธ์ในโลกปุถุชน พวกเขาต่างเริ่มรวมพลชิงทรัพยากรที่ปรากฏขึ้นทั่วหล้า ใช้ทุกวิถีทางเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของตน
โลกนี้รักษาความสงบสุขมาได้เนิ่นนาน ทว่ามันเริ่มปั่นป่วนแล้ว
เช่นยามนี้ ในสนามรบนองเลือดไกลออกไป การปะทะหลั่งเลือดเกิดขึ้นระหว่างสองขั้วอำนาจผู้ฝึกตนเพื่อชิงหุบเขาเปี่ยมปราณวิญญาณลูกหนึ่ง ทิ้งไว้เพียงปฐพีคุกรุ่นและซากศพเรี่ยราด
“ไม่รู้เลยว่าต้าโจวจะเป็นเช่นไร…”
หยวนเหิงกังวลเล็กน้อย
ศึกระหว่างผู้ฝึกตนนั้นราวสงครามเทพเจ้า พวกเขาจะนำหายนะมาสู่ปุถุชนแห่งโลก และสร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อโลกหล้า
ต้าโจวนั้นเป็นเพียงอาณาจักรชายขอบ เมื่อเกิดจลาจล มันย่อมมอดไหม้เป็นตอตะโกแน่แท้
“กระแสโดยรวมเป็นเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดทำสิ่งใดกับมันได้ มีเพียงการตามกระแสและเสริมความแข็งแกร่งของตนเท่านั้น เราจึงจะสามารถยืนหยัดในภายหน้าและสยบหล้าได้”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
ภาพเช่นนี้ ในอดีตชาติเขาได้เห็นมามากมาย จึงย่อมไม่แปลกใจเมื่อได้เห็นอีก
“ศิษย์พี่ซู ดูสิ”
เยว่ซือฉานโพล่งขึ้น ดวงตากระจ่างใสมองไปยังสนามรบไกลออกไป
มีเงาร่างหนึ่งเยื้องย่างสู่สนามรบนองเลือดใต้แสงจันทร์อันเต็มไปด้วยซากศพ
เมื่อมองใกล้ ๆ ก็พบว่าเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมผ้าผู้หนึ่ง ในมือถือหม้อสีเลือด
หลังจากมาถึงสนามรบ ชายหนุ่มก็มองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง นั่งลงขัดสมาธิ แล้ววางหม้อสีเลือดไว้ตรงหน้าตน
เขาประสานมือเข้าหากัน พลางพึมพำบางอย่างจากริมฝีปาก
สายลมหยินพลันอุบัติขึ้นในสนามรบจนมองเห็นได้ด้วยตา วิญญาณร้ายละล่องทั่วบริเวณ
ทันใดนั้น ในหมู่ซากศพที่นอนระเกะระกะทั่วสนามรบ เงาของวิญญาณติดค้างเงาแล้วเงาเล่าปรากฏขึ้น พุ่งทะยานลงสู่หม้อสีเลือดตรงหน้าชายหนุ่มราวถูกลากจูง
“ชายผู้นี้เรียนสิ่งเลวร้ายนับแต่ยังน้อย จึงต้องรวบรวมเหล่าสัมภเวสีมาฝึกฝน นี่ต่างอันใดกับฝึกวิชามาร?”
หยวนเหิงขมวดคิ้ว
“สิ่งที่เห็นไม่จำเป็นต้องจริงแท้ ดูต่อไปเถิด”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด
หยวนเหิงตกใจ เขาเข้าใจผิดหรือ?
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ม่านหมอกลงปกคลุมทั่วสนามรบ วิญญาณสัมภเวสีล่องลอยมากมาย ไม่รู้ว่าถูกดึงลงสู่หม้อสีเลือดตรงหน้าชายหนุ่มในชุดคลุมผ้าไปมากเพียงใด
ทันใดนั้น กลุ่มแสงเจิดจ้าก็ฉายผ่านนภารัตติกาลจากไกล ๆ
พวกเขาคือกลุ่มผู้ฝึกตนอันขึงขังถมึงทึง
ก่อนตัวจะมา เสียงตวาดอย่างโกรธเคืองก็แว่วมาจากรัตติกาลแล้ว
“กล้านัก! ผู้ใดกันกล้าฝึกฝนวิชามารชั่วร้ายที่นี่!?”