บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 599 ความดีความชั่ว การแยกแยะแห่งมหาวิถี
ตอนที่ 599: ความดีความชั่ว การแยกแยะแห่งมหาวิถี
ตอนที่ 599: ความดีความชั่ว การแยกแยะแห่งมหาวิถี
สีหน้าของกลุ่มชายวัยกลางคนในชุดคลุมเปลี่ยนไป ต่างก็มองไปที่ซูอี้แขกไม่ได้รับเชิญด้วยความไม่พอใจ เจ็บใจจนกัดฟันกรอด ๆ
เห็นอยู่ว่ากำลังจะหนีได้อยู่แล้ว แต่กลับถูกคนยื่นขามาขวาง จะทำให้พวกเขาไม่โกรธได้เช่นใด?
“นายท่าน!”
หยวนเหิงแสดงความคารวะด้วยท่าทีจริงจัง
ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ สะดุ้งในใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด
ในสายตาของเขา มากสุดซูอี้ก็มีอายุมากกว่าตนเองเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น นับได้ว่าเป็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
ทว่าใครเลยจะคาดคิดว่าคนหนุ่มคนนี้จะเป็นนายของผู้อาวุโสตรงหน้าท่านนั้น!?
ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ทำให้ชายวัยกลางคนในชุดคลุมและคณะราวกับถูกน้ำเย็นราด ไฟโกรธที่สุมอกมลายหายไปสิ้น รู้สึกเย็นวาบราวกับร่วงตกไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง
นายท่าน!?
พวกเขาตื่นตะลึงในคำขานเรียกของหยวนเหิงเช่นกัน
แต่ซูอี้ไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้ กลับเบนสายตามองไปที่ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ กล่าวขึ้นมา “เจ้าจงไปฆ่าพวกเขาด้วยตนเอง”
“ข้า…” ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ ลังเล
ซูอี้กล่าว “หากว่าเจ้าไม่ทำเช่นนี้ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้ และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ถึงเวลานั้น เจ้าคิดว่าพวกเขาจะฆ่าเจ้าเพื่อระบายความโกรธแค้นหรือไม่?”
ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ สะดุ้งสุดตัว
“ไม่! พวกเราสามารถสาบานได้ พวกเราจะไม่ทำเช่นนั้นเด็ดขาด!”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมและคณะรีบร้องตะโกน
“ตอนนี้ไม่ แต่วันข้างหน้าเล่า?”
หยวนเหิงสบถเสียงหัวเราะ “อาจเป็นเพราะมีคำสาบาน พวกเจ้าจึงจะไม่ลงมือด้วยตนเอง แต่จะยืมมือคนอื่นมาฆ่าไม่ได้เลยเช่นนั้นหรือ?”
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเตือนสติชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ ว่าควรจะต้องทำเช่นใด
ซูอี้ชายตามองไปที่หยวนเหิง
หยวนเหิงหุบปากในทันใด และกล่าวเบา ๆ “นายท่าน ข้าเพียงแค่เป็นห่วงว่าสหายน้อยท่านนี้จะคิดผิด”
ซูอี้เบนสายตามองไปที่ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ “เจ้าต้องตัดสินใจเลือกแล้ว”
ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พุ่งเข้าหา สีหน้าสับสนตัดสินใจไม่ได้
นิ่งเงียบไปนาน เขากัดฟันแน่นราวกับตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ก้าวเท้าออกมาข้างหน้าตั้งท่าจะลงมือ
“สู้ตายกับพวกเขา!”
ผู้ชายวัยกลางคนในชุดคลุมตวาดเสียงดัง
ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ พลังดาบปรากฏขึ้นทั่วบริเวณ
ฉัวะ!
หัวคนเจ็ดหัวร่วงหล่นกับพื้นพร้อมกับเลือด
รวดเร็วเฉียบขาด!
ภาพเหตุการณ์คาวเลือดนี้ทำให้ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ ถึงกับนิ่งตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
ซูอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่หยิบขวดสุราน้ำเต้าออกมาจิบคำหนึ่ง จากนั้นรออยู่เงียบ ๆ
นานมาก ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ จึงเงยหน้าขึ้นมองไปที่ซูอี้ โค้งคารวะพลางกล่าว “ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่สั่งสอน ผู้น้อยเข้าใจแล้ว!”
ซูอี้กล่าว “อ้อ เจ้าเข้าใจว่าอย่างไร?”
“ต่อศัตรู จะมีใจเวทนาสงสารไม่ได้”
ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ ตอบ
“ยังขาดไปอีกหน่อย”
ซูอี้ส่ายหน้า “สำหรับผู้ฝึกตนในรุ่นข้า ไม่เคยมีคำว่ากฎระเบียบ และไม่เคยมีกฎเกณฑ์เป็นที่พึ่ง ซึ่งนี่ก็หมายความว่า เรื่องใด ๆ ในโลกนี้ใช่ว่านอกจากดำแล้วก็คือขาว ความดีความชั่วก็เช่นกันยากนักจะตัดสิน หากว่าเจ้าสนทนากับศัตรูด้วยเหตุผล ก็ต้องมีคุณสมบัติพอที่จะกล่าวกันด้วยเหตุผล”
ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ มีสีหน้าสับสนราวกับเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว แต่กลับไม่เข้าใจกระจ่าง
…เช่นนี้จึงเป็นปฏิกิริยาที่ปกติที่สุด
การรับรู้ของคน ๆ หนึ่งใช่ว่าใช้คำพูดประโยคเดียวก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เหตุผลในโลกมีอยู่มากมาย ทว่ารู้แล้วแต่ทำยาก
“ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่า ต้องแข็งแกร่งเท่านั้น จึงสามารถทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องใช่หรือไม่ขอรับ?”
ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ ถาม
ซูอี้ชี้ไปที่หัวใจของหนุ่มน้อย และกล่าวต่อ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ข้าเพียงแค่จะบอกเจ้าว่า บนหนทางการฝึกตน ค่าของความดีความชั่ว เขตแบ่งระหว่างดำกับขาว ต้องอาศัยแต่หัวใจของเจ้าเท่านั้นมาตัดสิน”
“เหมือนเช่นคืนนี้ ข้าช่วยเจ้าฆ่าศัตรู ในสายตาของเจ้า ข้าย่อมต้องเป็นคนดี ทว่าในสายตาของศัตรูเจ้า ข้าก็คือคนชั่ว ในสถานการณ์เช่นนี้ หากมีจุดยืนที่ต่างกัน ความดีหรือความชั่ว ดำหรือขาว ถูกหรือผิดเหล่านี้ก็จะมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ซูอี้ก็กล่าวออกมา “เคยมีอสูรเฒ่าตนหนึ่งกล่าวคำพูดประโยคนี้เอาไว้ คนในโลกต่างก็เรียกข้าว่าอสูร ทว่าในสายตาของข้า ศัตรูเหล่านั้นไม่ใช่มารร้ายแล้วเป็นอันใด? เพียงแค่มีจุดยืนที่ต่างกันเท่านั้น นี่ก็คือการแก่งแย่งแห่งมหาวิถี”
“ในสำนักพุทธมีหลวงจีนเฒ่ารูปหนึ่งบอกว่าหากว่าเขาสำเร็จเป็นพุทธะ จะฉุดช่วยสรรพชีวิตให้สำเร็จเป็นพุทธะ หากว่าเขาเป็นอสูร ก็จะฉุดช่วยสรรพชีวิตให้เป็นอสูร เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? ยังคงเป็นเรื่องของจุดยืน การแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างสายวิถีแต่ละสายก็มาจากสาเหตุนี้
พูดถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ถอนใจ “นี่ก็คือภูมิการฝึกตน ไม่มีกฎระเบียบ ไม่มีกฎข้อบังคับ ความดีความชั่ว สีดำสีขาว ทั้งหมดนี้สุดท้ายก็ล้วนต้องใช้กำลังตัดสินทั้งสิ้น”
หยวนเหิงรู้สึกตกใจมาก เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนายท่านพูดมีหลักการเป็นเหตุเป็นผลอย่างละเอียดลออเช่นนี้
หลังลิ้มรสชาติให้ดีแล้ว เขากลับได้แต่ลอบส่ายหน้า เรื่องในโลกการฝึกตน ก็เป็นเช่นนี้!
ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ มีสีหน้าสับสน คำพูดของซูอี้สร้างความกระทบกระเทือนอันใหญ่หลวงต่อการรับรู้ของเขา มีแต่จะทำให้เขารู้สึกสับสนยิ่งขึ้น
เขาถามขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ “หากว่าไม่แยกแยะความดีความชั่ว ไม่แยกแยะสีขาวกับสีดำเช่นนี้ จะดี…จริง ๆ หรือ?”
ซูอี้ตบไหล่ของหนุ่มน้อยเบา ๆ ก่อนจะกล่าว “ทำความดีนั้นเป็นเรื่องที่ดี มิเช่นนั้น เหตุใดคืนนี้ข้าต้องช่วยเจ้าด้วย? ที่ข้ากล่าวไปเมื่อก่อนหน้านี้ ต้องการจะบอกแก่เจ้าว่า บนหนทางการฝึกตนที่ไม่แยกแยะความดีความชั่ว ไม่แยกแยะสีขาวกับสีดำเช่นนี้ สิ่งที่เจ้าต้องทำคือหลังจากที่เข้าใจความเป็นจริงแล้ว ค่อยรักษาปณิธานเดิม”
“ไม่ใช่ทำเหมือนเมื่อในอดีตที่ยังคงเห็นใจสงสารเวลาอยู่ต่อหน้าศัตรู”
พูดจบ ซูอี้ก็ลูบจมูกพูดเยาะเย้ยตัวเอง “จบเพียงเท่านี้ก็แล้วกัน ข้าไม่อยากจะทำตัวเป็นคนที่ชอบพูดเหตุผลเหมือนอย่างเฉินผิงอันเช่นนั้น เจ้าไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวและผ่านการขัดเกลามา ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ส่วนคนที่ผ่านประสบการณ์มาก็ไม่จำเป็นต้องฟัง”
หยวนเหิงสงสัยขึ้นมา เฉินผิงอันคือใคร?
แต่เห็นได้ชัดว่า เวลานี้ซูอี้ไม่อยากจะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อีก
ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ สูดหายใจลึก ๆ แล้วกล่าว “ผู้อาวุโส ข้าจะจดจำคำพูดของท่าน ตอนนี้ข้าอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่วันข้างหน้า ข้าจะต้องเข้าใจจนกระจ่างให้ได้!”
มองเห็นสีหน้ามุ่งมั่นจริงของหนุ่มน้อยแล้ว ซูอี้นึกขึ้นได้หยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง สลักเคล็ดวิชาหนึ่งลงไปในนั้นแล้วยื่นให้
“ในแผ่นหยกแผ่นนี้คือวิชาในวิถีเบี่ยงเบน ชื่อว่า ‘บทครรภ์ลี้ลับเหล่าอสูร’ ลึกล้ำยิ่งกว่าเคล็ดวิชาที่เจ้ากำลังฝึกฝนในตอนนี้ไม่รู้เท่าใด มันนับเป็นบททดสอบจิตใจขนานหนึ่ง”
ซูอี้ยื่นแผ่นหยกให้กับหนุ่มน้อยชุดเรียบ ๆ พลางกล่าวด้วยสายตาลุ่มลึก “จำไว้ให้ดี ยึดมั่นในปณิธาน มิเช่นนั้น ฝึกฝนวิชานี้ จะทำให้เจ้าร่วงตกไปสู่วิถีอสูร แน่นอน เจ้าสามารถเลือกที่จะไม่ฝึกได้”
“หยวนเหิง พวกเราควรต้องไปได้แล้ว”
พูดจบ ซูอี้หมุนตัวเดินจากไป
หยวนเหิงรีบตามไปติด ๆ
ชายหนุ่มในชุดเรียบ ๆ กำแผ่นหยก บนใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน รู้สึกแต่เพียงว่าเรื่องราวที่พบเจอในวันนี้ช่างน่าอัศจรรย์ราวกับฝันไป
ห่างไกลออกไป จู่ ๆ เสียงของหยวนเหิงก็ถ่ายทอดมา
“สหายน้อย เจ้ามีชื่อว่าอะไร?”
“เสิ่นลี่”
ชายหนุ่มพลันถามขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ “ขอเรียนถามท่านทั้งสองมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด?”
เพียงแต่ว่า ขณะที่เสียงสิ้นสุดลง ร่างของซูอี้กับหยวนเหิงก็หายลับไปท่ามกลางราตรีอันมืดสลัวประดุจน้ำหมึกเช่นนี้
หนุ่มน้อยยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นสักครู่ จากนั้นกล่าวพึมพำขึ้นมาเบา ๆ “คืนนี้ ข้าเสิ่นลี่คงจะพบกับเทพเซียนจริง ๆ เข้าแล้ว…”
——
คืนหนาวดึกสงัด แสงจันทร์นวลผ่อง
ซูอี้กับคนอื่น ๆ ออกเดินทางกันต่อ
พวกของเยว่ซือฉานกับเก๋อเฉียนรู้เรื่องราวความเป็นมาทั้งหมดจากปากของหยวนเหิงแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ในสิ่งที่ซูอี้พูดทั้งหมดนั้นแล้ว แต่ละคนต่างก็มีความคิดต่างกันไป
“คุณชายซู เพราะเหตุใดท่านจึงประทานวิชา… พลังอสูรให้กับเสิ่นลี่?”
เก๋อเฉียนไม่เข้าใจ
“ฝ่ายใด ๆ ในโลก ไม่ว่าพุทธ ขงจื่อ เต๋า ปีศาจ ผี อสูร หรือสายวิถีอื่น ๆ สำหรับวิถีแห่งการฝึกตนแล้ว ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำ”
ซูอี้เอ่ย “ฝึกฝนสืบทอดวิถีพุทธ ก็ไม่เห็นว่าใคร ๆ ที่สามารถสำเร็จพุทธะจะมีความเมตตาได้ เช่นเดียวกัน ฝึกฝนวิชาอสูรก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องกลายเป็นอสูรร้ายที่ทำแต่เรื่องชั่วเท่านั้น”
“การแบ่งแยกความดีความชั่วสีขาวสีดำนั้น เพียงแค่พูดถึงสภาวะจิตใจกับหนทางการปฏิบัติเท่านั้น ทลายจุดนี้ไปได้ จึงจะสามารถหยิบเอาข้อดีของคนอื่นมาเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ถึงเวลานั้นจึงสามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่า ‘ความยิ่งใหญ่’ แห่งมหาวิถีคืออะไร”
พูดจบ เขาก็เบนสายตามองไปที่เก๋อเฉียน ก่อนกล่าวขึ้นว่า “เหมือนเช่นเจ้า สิ่งที่รับสืบทอดมาคือวิถีปิศาจ แตกต่างอะไรไปจากวิชาอสูรที่เสิ่นลี่ฝึก?”
เก๋อเฉียนนิ่งเงียบไป ตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด
“หากคิดต่อไปอีก มีแต่จะกระทบต่อจิตวิถีของเจ้า” ซูอี้กล่าวเตือน
เก๋อเฉียนสะดุ้งสุดตัว สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ซู เป็นเพราะเหตุใด?”
เวลานี้ แม้กระทั่งเยว่ซือฉานก็อดถามขึ้นมาไม่ได้แล้ว
“การทะเลาะเบาะแว้งใด ๆ ที่พัวพันถึงมหาวิถี ล้วนมีผลกระทบต่อปณิธาน”
ซูอี้เอ่ยขึ้นมา “ต้องการขอมหาวิถี จะต้องสัมผัสและรับรู้ด้วยตนเอง รักษาปณิธาน จึงสามารถบุกเบิกมหาวิถีของตัวเองได้”
เยว่ซือฉานครุ่นคิด
ช่วงระหว่างที่พูดคุยกันไปเรื่อย ๆ นี้ คนทั้งหมดบินผ่านแนวเทือกเขาหลายลูกแล้ว
“ไปพักผ่อนกันที่วัดแห่งนั้น ฟ้าสว่างแล้วค่อยเดินทางกันต่อ”
หลังจากนั้นสองชั่วยาม ซูอี้กวาดตามอง มองเห็นตำแหน่งหนึ่งมีวัดร้างเก่าแก่อยู่วัดหนึ่ง จึงให้ทุกคนบินไปที่นั่น
วัดร้างแห่งนี้เป็นดั่งที่วัดร้างควรเป็น ใยแมงมุมเกาะรุงรัง รูปปั้นเทพหักพังไปนานแล้ว เห็นได้ชัดว่าร้างมานานมากแล้ว
หยวนเหิงกับไป๋เวิ่นฉิงทำความสะอาดเสร็จ จุดกองไฟ ใช้หนังสัตว์มาปูรองจนนิ่มแล้วจึงเชิญซูอี้มานั่ง
ดึกสงัดมากแล้ว ฟ้ามืดครึ้มลงทุกที เสียงร้องคำรามของสัตว์ป่าดังมาจากไกล ๆ เป็นพัก ๆ ให้ความรู้สึกวังเวงน่ากลัว
ทว่าไม่อาจทำอะไรพวกของซูอี้ได้
ซูอี้นั่งสมาธิ
นับตั้งแต่ออกจากอาณาจักรต้าเซี่ยจนถึงตอนนี้ ผ่านไปประมาณสิบวันแล้ว ตลอดทางมานี้นอกจากข้ามน้ำข้ามเขาแล้ว ซูอี้ก็ไม่เคยว่างเว้นจากการฝึกฝน และยังคงรักษาความเคยชินในการฝึกตนเหมือนเคยไม่มีเปลี่ยนแปลง
กอปรกับในตัวของเขามีทรัพยากรการฝึกตนพร้อมสรรพ
จนถึงตอนนี้ ระดับการฝึกตนของเขาได้บรรลุถึงขอบเขตรวบรวมดาราขั้นกลางอย่างพร้อมสมบูรณ์แล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมดาราขั้นสุดท้ายได้
ถึงเวลานั้น สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือเรื่องที่ต้องผ่านภัยพิบัติแห่งแปรเปลี่ยนวิญญาณ
สำหรับผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดคนใดก็ตาม หากจะก้าวเข้าสู่หนทางแห่งวิถีวิญญาณ ภัยพิบัติแห่งการแปรเปลี่ยนวิญญาณเป็นภัยพิบัติใหญ่ที่ไม่ว่าใครก็ต้องเผชิญทั้งสิ้น
เมื่อก้าวข้ามไปได้ ก็จะก้าวสู่หนทางแห่งวิถีวิญญาณที่สูงยิ่งขึ้นได้นับแต่นั้น เรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนยิ่งใหญ่
ทว่าหากก้าวข้ามไปไม่ได้ ร่างจะไม่บุบวิถีไม่สลายกลายเป็นเศษดิน ก็สามารถรอดชีวิตมาได้จากภัยพิบัติใหญ่ ค่อยเริ่มฝึกฝนใหม่
ภัยพิบัตินี้มีอันตรายยิ่งนัก แม้กระทั่งอยู่ในเก้ามหาแดนดินที่มีผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดารานับหมื่น ๆ คน ตัวตนที่สามารถบรรลุขอบเขตได้สำเร็จในครั้งแรกนั้นยังมีไม่ถึงหนึ่งส่วน!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือยิ่งเป็นผู้ที่มีรากฐานแน่นหนา มีพรสวรรค์สูงส่ง ภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณที่จะได้เจอก็ยิ่งน่ากลัว!
เมื่อชาติก่อน ซูอี้เคยศึกษาและขบคิดเกี่ยวกับภัยพิบัติแห่งการแปรเปลี่ยนวิญญาณ จึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่า รากฐานและพื้นฐานมหาวิถีที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตอย่างตนเองเช่นนี้ ภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณที่จะต้องเผชิญจะต้องมีความน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้
และอาจถึงขั้นเกินกว่าความเข้าใจและการคาดเดาของตัวเองอีกด้วย!
เพราะอย่างไรเสีย ในช่วงเวลาที่ผ่านมาของเก้ามหาแดนดิน บนหนทางแห่งวิถีต้นกำเนิดยังไม่เคยมีตัวตนที่สกัด ‘เมล็ดพันธุ์เต๋าสุดขั้ว’ ออกมาได้
และนี่ก็หมายความว่า เมื่อเขาต้องผ่านภัยพิบัติขึ้นมาจริง ๆ อันตรายที่ต้องเจอะเจอก็ไม่อาจคาดเดาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
“แต่ว่า ถึงเวลานั้น หากสามารถผ่านพ้นภัยพิบัติแห่งโลกกว้างที่ไม่เคยมีมาก่อนได้ เมื่อข้าก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้อย่างแท้จริง จะต้องมีพื้นฐานมหาวิถีที่เหนือกว่าคนในขอบเขตเดียวกันอย่างแน่นอน…”
ซูอี้ครุ่นคิดไปพลาง ฝึกฝนไปพลาง ในใจเริ่มรู้สึกรอคอยวันที่ภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณจะมาถึง!