บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 60 คนเก็บสมุนไพรกับสันเขามารดาภูตผี
ตอนที่ 60 คนเก็บสมุนไพรกับสันเขามารดาภูตผี
“ซูอี้ เจ้ามันไร้หัวใจนัก!”
หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หนานอิ่งกัดฟันแน่น พร้อมขว้างน่องไก่ในมือลงกับพื้นและรีบออกจากลานบ้านไปในทันที
นางเลือกหนีหาย
ซูอี้หันกลับและกลับเข้าไปยังลานบ้าน มองดูน่องไก่แห้งเหี่ยวขึ้นราที่อยู่บนพื้น เมื่อคิดว่าในตอนนั้นตัวเองเคยตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้ เขาก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง
กระนั้นแล้ว ครั้งยังเยาว์วัย ผู้ใดกันจะกล้าพูดว่าจะไม่มีทางได้พบสตรีอันย่ำแย่เช่นนี้?
หลังส่ายศีรษะ ซูอี้ก็ตรงกลับเข้าไปในห้อง
เขาเริ่มนับตรวจสอบของที่ตัวเองได้มา
ทั้งหมดวางบนโต๊ะ
ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงสิบแปดฉบับ สมุนไพรวิญญาณสามชนิด คัมภีร์วิชาอีกหนึ่งเล่ม ไผ่วิญญาณหยกขจีสามลำ และหน่อไม้อีกหน่อหนึ่ง
ของตอบแทนทั้งหมดนี้ กล่าวได้ว่าล้ำค่ายิ่ง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีเงินถึงหนึ่งแสนแปดหมื่นซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของชายหนุ่มตอนนี้ เงินจำนวนเท่านี้กลับไม่สามารถทำประโยชน์ให้เขาได้มากนัก
อย่างที่เขารู้ ในเมืองกว่างหลิง มีขายแต่สมุนไพรธรรมดา ๆ หรือต่อให้มีสมุนไพรวิญญาณหลุดมาขายบ้างราคามันก็ยังสูงลิ่ว
แค่สมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่ง ยังอาจขายในราคาสามหมื่นตำลึง!
ส่วนสมุนไพรวิญญาณระดับสอง มูลค่าอาจเป็นเงินราวแปดหมื่นตำลึง
อย่างไรก็ตาม สมุนไพรวิญญาณเหล่านั้นใช่ว่าจะหาซื้อได้ง่าย แม้กระทั่งในตลาดของมหานครอวิ๋นเหอ สมุนไพรวิญญาณระดับสองยังถือว่าหาได้ยากพอสมควร และมักจะถูกซื้อตัดหน้าด้วยราคาสูงทันทีที่มันวางขาย
ด้วยเหตุนี้ ฟู่ซานจึงเคยบอกเอาไว้ว่าการใช้ศิลาวิญญาณเพื่อซื้อสมุนไพรวิญญาณนั้นจะง่ายดายกว่า
เพราะสำหรับผู้บ่มเพาะแล้ว ศิลาวิญญาณและสมุนไพรวิญญาณ ต่างเป็นของสำคัญในการบ่มเพาะ และไม่อาจขาดได้
เช่นสมุนไพรวิญญาณสามชนิดที่อยู่ตรงหน้าซูอี้ ล้วนเป็นสมุนไพรวิญญาณระดับที่หนึ่ง
ในทางกลับกัน หน่อไม้วิญญาณนี้เป็นของคุณภาพดี และสามารถจัดได้ว่าอยู่ในระดับที่สอง
‘เมื่อใดไปถึงมหานครอวิ๋นเหอ ค่อยเปลี่ยนตั๋วเงินเป็นศิลาวิญญาณก็แล้วกัน’
ซูอี้คิดกับตนเอง
ในมหานครอวิ๋นเหอ เงินหนึ่งหมื่นตำลึงสามารถแลกศิลาวิญญาณระดับหนึ่งได้
ศิลาวิญญาณลำดับที่หนึ่งจำนวนร้อยก้อน สามารถแลกศิลาวิญญาณลำดับที่สองได้หนึ่งก้อน
เมื่อไปถึงมหานครอวิ๋นเหอในอนาคต เขาคงต้องหาเงินให้ได้มากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงมีทรัพยากรบ่มเพาะไม่เพียงพอ
หลังจากครุ่นคิดไปอีกครู่หนึ่งซูอี้ก็วางตั๋วเงิน สมุนไพรวิญญาณ และตำราเคล็ดวิชาเอาไว้บนโต๊ะ
จากนั้นเขาก็เดินออกมาที่ลานบ้าน ก่อนนั่งบนม้านั่งหินใต้ต้นแคฝรั่ง และตัดไผ่วิญญาณหยกขจีด้วยดาบสุดแดนดิน
เวลาผ่านไปไม่นาน ซูอี้ก็ได้ฝักดาบจากไผ่วิญญาณหยกขจี
มันยาวสามฉื่อ หนาพอ ๆ กับแขนเด็ก เขียวใสเป็นประกาย ดูราวกับหยก
เมื่อใส่ดาบสุดแดนดินเข้าไป จะมีเพียงด้ามจับที่ปรากฏ นับว่าเหมาะสมยิ่ง
ถัดจากนั้น ซูอี้ก็ใช้ตอกไม้ไผ่สีเขียวถักเป็นห่วงเชือกยืดหยุ่น ผูกมันเอาไว้แน่นกับปากของฝักดาบ เพื่อสามารถห้อยไว้ข้างเอวได้
ซูอี้ยกฝักดาบไม้ไผ่วิญญาณหยกขจีที่ทำเสร็จแล้วขึ้น สายตามองพิจารณา
ภายใต้แสงจากฟากฟ้า มันเป็นสีเขียวสดงดงาม โปร่งแสงประหนึ่งก้อนหยกงามงด ยามเมื่ออยู่ในมือ ยังรับรู้ได้ถึงสัมผัสเรียบเนียนและเย็นเยือก ให้ความรู้สึกสบายเกินเทียบเปรียบ
กระนั้นกลับดูไม่คล้ายฝักดาบ แต่เป็นประหนึ่งท่อนไม้ไผ่
ซูอี้ทดลองชักดาบออกจากฝักและสะบัดข้อมือ
วิ้งงง!
ดาบสุดแดนดินของซูอี้ถูกฟันออกไป ส่งเสียงกรีดผ่านอากาศ
“ไม่เลว ใช้เป็นไม้เท้าไผ่ได้ในเวลาปกติ และยังสะดวกเวลาจะชักดาบมาฆ่าศัตรูในการต่อสู้ด้วยเช่นกัน งดงามและมีประโยชน์ยิ่งกว่าฝักดาบทั่วไป…”
ซูอี้พอใจไม่น้อย
แม้ดาบสุดแดนดินจะเป็นเพียงศาสตราที่อยู่ในระดับคาบกึ่งระหว่างศาสตราธรรมดาและศาสตราวิญญาณ แต่ตราบที่มันอยู่ในฝักดาบไผ่วิญญาณหยกขจี ส่วนคมและเนื้อดาบจะได้รับการบำรุงและแปรเปลี่ยนไป
มันคือเหตุผลที่ซูอี้สร้างฝักดาบนี้ขึ้น
ต่อมา เขาผ่าไผ่วิญญาณหยกขจีที่เหลืออยู่ทีละต้น เขาผ่าให้เป็นซีกไม้ไผ่ยาวเจ็ดชุ่น สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้ทั้งหมดสามสิบหกซีก
พวกมันเหล่านี้คือวัสดุวิญญาณ สามารถใช้แกะสลักสร้างเป็นยันต์ระดับต่ำเพื่อใช้วางค่ายกลสังหารศัตรู ขับไล่ภูตผี และบ่มเพาะ…
อย่างสุดท้าย ซูอี้ทำปิ่นปักผมไม้ไผ่อีกอันหนึ่งให้ตัวเอง
แน่นอนว่าเขาเหลาส่วนสีเขียวของปิ่นไม้ไผ่ออก ทำให้ปิ่นปักผมนี้เป็นสีขาวราบเรียบแต่ดูหรูหรา
หากใส่ปิ่นสีเขียว สีสันบนหัวอาจทำให้ผู้คนเข้าใจผิดอย่างเลี่ยงไม่ได้
ซูอี้หยุดยืนหน้าคันฉ่องสำริดที่อยู่ในห้อง
ตัวเขาในคันฉ่อง สองมือไพล่หลัง ผมยาวถูกเกล้ามวยและปักไว้ด้วยปิ่นสีขาว ดาบและฝักไผ่ห้อยเฉียงอยู่ที่เอว ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
ประสบการณ์และความรู้สึกจากอดีตชาติ เป็นผลให้เขายิ่งมีบุคลิกไม่เหมือนผู้ใด แตกต่างจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง
“จะอย่างไรตัวข้าชาตินี้ก็อายุเพียงสิบเจ็ดปี ยังเป็นหนุ่มอยู่ จึงไร้ร่องรอยชราเฒ่าเหมือนเช่นที่ชาติก่อนมี”
ซูอี้พยักหน้าด้วยความพอใจ
“รูปลักษณ์ของนายท่านทำให้หว่านเอ๋อร์นึกถึงแปดคำว่า ‘หนึ่งเดียวในโลก หาสองไม่ได้’ ขึ้นมา”
คำชมเขินอายของชิงหว่านดังมาจากในน้ำเต้าปลุกวิญญาณ ดูเหมือนตอนนี้ความกล้าของนางเพิ่มขึ้นมามากแล้ว จึงกล้าพูดออกมา
“ก็แค่ดูดีที่เปลือกนอก มีเพียงสตรีเช่นพวกเจ้าที่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้จนเกินควร”
ซูอี้ลอบส่ายหน้าอย่างไม่นึกเห็นด้วย ถ้อยคำกล่าวออก “เตรียมตัวให้พร้อม ไม่ช้าข้าจะพาเจ้าไปยังสันเขามารดาภูตผีในเวลาอันใกล้”
จากนั้นเขาก็ตรงไปที่โต๊ะ ก่อนจะเริ่มทำยันต์จากซีกไม้ไผ่
…
ในช่วงเย็น
หูเฉวียนพาคนเก็บสมุนไพรชื่อ ‘กัวปิ่ง’ มาที่เรือนเล็กเหมยอำพัน
กัวปิ่งชรามากแล้ว เส้นผมเหลือหร็อมแหร็ม ร่างสูงของเขาค่อนข้างผอมแห้ง
เขาสวมหมวกใบหนึ่ง ใต้หมวกนั้นคือใบหน้าที่น่ากลัว ครึ่งหน้าของเขาแดงบวม ส่วนอีกครึ่งหนึ่งช้ำเป็นสีดำ ใบหน้าที่ดูบูดเบี้ยวยิ่งทำให้ดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
“ท่านเขย ผู้เฒ่ากัวผู้นี้เป็นหนึ่งในคนเก็บสมุนไพรที่มีประสบการณ์มากที่สุดในเมือง เมื่อหลายปีที่ผ่านมา เขาเคยถูกภูตผีแถวสันเขามารดาภูตผีหลอกหลอนอยู่ครั้งหนึ่ง”
พบเห็นซูอี้ หูเฉวียนจึงอธิบาย “ทั้งเมือง มีเพียงผู้เฒ่ากัวเท่านั้นที่คุ้นเคยกับสันเขามารดาภูตผีมากที่สุด พูดได้ว่าเขารู้ที่ทางที่นั่นเป็นอย่างดีราวกับรู้หลังมือของตัวเอง”
“ท่านหูชมข้าเกินไปแล้ว ตั้งแต่ข้าบาดเจ็บเพราะผีที่อยู่ในสันเขามารดาภูตผี นี่ก็เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ข้าห่างจากสันเขามารดาภูตผี”
กัวปิ่งที่ยืนใกล้เคียงมีเสียงแหบแห้ง ไม่มีเรี่ยวแรง คล้ายว่าจะอ่อนแรงอย่างถึงที่สุด
เมื่อมองกัวปิ่งหัวจรดเท้าแล้ว ซูอี้พลันถามขึ้น “ที่เจ้าเจอในตอนนั้นใช่ ‘ผีร้ายหยิน’ หรือไม่?”
“ผีร้ายหยิน?”
กัวปิ่งสับสน เขาเป็นแค่คนธรรมดา หาได้ทราบเรื่องราวของภูตผีไม่
ซูอี้กล่าวตอบราบเรียบ “ผีร้ายหยิน เป็นหนึ่งในผีชั้นต่ำสุด ถือกำเนิดในหลุมศพโสโครก”
“ผู้ใดซึ่งถูกปราณภูตผีนี้แปดเปื้อน จะถูกพิษหยินไฟครามเล่นงาน คล้ายกับ ‘หยินหยางบิดเบี้ยว’ ในร่าง และต้องทรมานจากการที่กำลังวังชาถูกพิษร้ายกัดกินทั้งกลางวันและกลางคืน รวมถึงเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส”
“ในเวลาสามวัน จะกลายเป็นเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก”
เมื่อได้ยินดังนี้ หูเฉวียนอดตกใจไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องประหลาดที่ไม่เคยได้ทราบมาก่อนเช่นนี้
กัวปิ่งตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดูกระเตื้องขึ้นมาทันที สีหน้านั้นปรากฏความหวัง เขากล่าวด้วยเสียงสั่น “ท่านเขย ถ้าอย่างนั้นท่านมีวิธีรักษาอาการบาดเจ็บนี้หรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้าตอบตามปกติ “เจ้าถูกพิษมาเป็นสิบปีแล้ว และพิษหยินไฟครามได้กัดกินอวัยวะภายในของเจ้าไปมาก มันไม่ง่ายที่จะกำจัดพิษออกไปได้ทั้งหมด”
กัวปิ่งทรุดลงนั่งคุกเข่าและก้มหัวขอร้องว่า “ท่านเขย ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย สิบปีมานี้ข้าทรมานเจียนตาย และเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสทุกวัน หากไม่ใช่เพราะยังต้องดูแลเมียและลูก ข้าคงฆ่าตัวตายไปนานแล้ว!”
“หากท่านเขยสัญญาว่าจะช่วยข้า ข้ายินดีจะพาท่านไปที่สันเขามารดาภูตผีด้วยตัวเอง!”
ซูอี้มองที่หูเฉวียนและกล่าวคำ “ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้ เจ้านำยาให้เขาไปต้มกินได้ ภายในประมาณครึ่งปี พิษในร่างกายของเขาจะถูกกำจัดออกจนหมด”
หูเฉวียนพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว
ทางด้านกัวปิ่งเกิดตื่นเต้นรุนแรง จนต้องก้มหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า กล่าวขอบคุณซูอี้อย่างสุดซึ้ง
“ผู้เฒ่ากัว ทักษะทางการแพทย์ของท่านเขยได้รับการยกย่องอย่างยิ่งจากท่านหมออู๋ ในเมื่อท่านเขยออกปากช่วยเจ้าเช่นนี้แล้ว เจ้าก็จงหมั่นกินยาอย่าได้ขาดจนกว่าอาการจะหายก็แล้วกัน”
หูเฉวียนพยุงกัวปิ่งให้ลุกขึ้นก่อนจะกล่าวคำต่อ “และถ้าหากเจ้าสำนึกบุญคุณท่านเขยจริง เช่นนั้นก็บอกทุกอย่างเรื่องสันเขามารดาภูตผีให้ท่านเขยได้ทราบ”
กัวปิ่งพยักหน้าหลายครั้ง คำเอ่ยถาม “ท่านเขย ท่านตั้งใจจะไปสันเขามารดาภูตผีจริงหรือ?”
“ถูกต้อง” ซูอี้ตอบอย่างเรียบเฉย
“สันเขามารดาภูตผีนั้นซับซ้อนและอันตราย แค่คำพูดอย่างเดียวคงไม่อาจบรรยายสถานการณ์ได้ ข้ายินดีจะนำทางให้ท่านด้วยตัวเอง!”
หูเฉวียนเร่งร้อนกล่าว “ท่านเขย ที่อันตรายแบบนั้นไม่ใช่ที่ที่ควรไป ท่าน…”
ซูอี้ขัด “ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมข้าอีก”
จากนั้นเขาจึงพูดกับกัวปิ่งว่า “พรุ่งนี้ตอนเช้า เจ้ามาที่สำนักแพทย์ซิ่งหวง แล้วนำข้าไปที่สันเขามารดาภูตผี เจ้าวางใจได้ ข้าจะพาเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย”
กัวปิ่งตกลงโดยไม่ลังเล
เมื่อเห็นดังนี้ หูเฉวียนจึงทำได้เพียงถอนหายใจ เพราะรู้ว่าตนเองคงไม่อาจเกลี้ยกล่อมซูอี้ได้
หลังเสร็จเรื่องราว เพื่อความปลอดภัย ยามฟ้ามืดซูอี้ตระเตรียมของบางสิ่งเพื่อใช้ขับไล่วิญญาณร้าย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดระหว่างเดินทาง
เช้าวันรุ่งขึ้น
ซูอี้ถือซีกไม้ไผ่ไว้ในมือ ผูกน้ำเต้าปลุกวิญญาณไว้ที่เอว และปักปิ่นไว้มวยผม ก่อนจะเดินออกจากลานบ้านไป
เมื่อมาถึงด้านนอกสำนักแพทย์ซิ่งหวง กัวปิ่งที่สวมหมวกก็รอเขาอยู่ก่อนแล้ว
แต่เมื่อทั้งสองกำลังจะออกเดินทาง ทันใดนั้นก็มีเสียงจากบนถนนมาแต่ไกล
“กัวปิ่งอยู่ที่นี่นี่เอง พบเจอตัวเสียที!”
ซูอี้มองไป ก่อนจะเห็นคนกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาแต่ไกล
คนที่นำมาคือเหวินเจวี๋ยหยวน
พบเห็นซูอี้ยืนข้างกัวปิ่ง รูม่านตาของเหวินเจวี๋ยหยวนหดลง ใบหน้าแข็งค้างเล็กน้อย
กัวปิ่งไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ ก่อนจะโค้งคำนับด้วยความเคารพ “นายน้อยตามหาข้ามีเรื่องราวใดหรือ?”
เขาเป็นคนเก็บสมุนไพรของตระกูลเหวิน ส่วนเหวินเจวี๋ยหยวนคือบุตรชายของผู้นำตระกูลสายตรง จึงไม่มีทางที่เขาจะไม่ยำเกรง
เหวินเจวี๋ยหยวนดูเคร่งขรึมจริงจังก่อนจะกล่าวออก “มีชนชั้นสูงจากเขตปกครองอวิ๋นเหอวางแผนจะไปเดินดูสันเขามารดาภูตผี เขาต้องการคนที่คุ้นเคยกับที่นั่นเพื่อนำทางให้ เท่าที่ข้ารู้ กัวปิ่ง มีเพียงเจ้าในเมืองกว่างหลิงที่สามารถนำทางได้”
กัวปิ่งอึ้ง พร้อมหันมองยังซูอี้ที่อยู่ข้างกายอย่างไม่ทันรู้ตัว
“กัวปิ่ง ท่าทีของเจ้าคืออะไร?”
เหวินเจวี๋ยหยวนขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ต้องกังวล เมื่อใดที่เรื่องราวเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าจะได้รางวัลไม่น้อย!”
กัวปิ่งรีบอธิบาย “นายน้อย ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าสัญญากับท่านเขยเมื่อวานนี้แล้ว และตั้งใจจะไปที่สันเขามารดาภูตผีในตอนนี้”
“ว่าอะไรนะ!?”
ครั้งนี้เป็นฝ่ายเหวินเจวี๋ยหยวนที่ตกตะลึง เขาพลันหันมองซูอี้และกล่าวเสียงแข็ง “เจ้าจะไปสันเขามารดาภูตผีทำอะไร?”
แม้ท่าทีของเขาราวไม่สนใจ แต่หลังผ่านเรื่องราวทั้งหลายจากงานประลองประตูมังกร ยามเผชิญหน้าซูอี้อีกครั้ง เขาก็ไม่อาจหาญกล้าแสดงท่าทีผู้เหนือกว่าเช่นแต่ก่อน
ซูอี้ยักไหล่พลางกล่าวอย่างเฉยเมยตอบ “ธุระของข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
เหวินเจวี๋ยหยวนเลิกคิ้วด้วยโทสะ ทว่าพริบตาควบคุมสะกดลงไว้
สายตาเขาจับจ้องยังซูอี้พร้อมกล่าวคำชัดถ้อย “ซูอี้ แม้ตอนนี้การบ่มเพาะของเจ้าฟื้นคืนกลับมาแล้วและไม่ธรรมดา จนแม้แต่ท่านเจ้าเมืองฟู่ซานยังให้ความสำคัญแก่เจ้า”
“แต่อย่าได้ลืมเลือน ตัวเจ้านั้นยังเป็นบุตรเขยของตระกูลเหวิน!”
ถ้อยคำบุตรเขย มันถูกเน้นกระแทกชัดรุนแรง