บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 600 ลองดูก็ได้
ตอนที่ 600: ลองดูก็ได้
ตอนที่ 600: ลองดูก็ได้
หยวนเหิงนั่งสมาธิใกล้กับประตูวัดร้าง
กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของเขาทำให้สัตว์ป่าและมดแมลงในพื้นที่บริเวณนี้ตกใจกลัวจนถอยหนีไปกันหมด
ด้วยเหตุนี้ รอบ ๆ วัดร้างจึงแลดูสงบเงียบเป็นพิเศษ
อืม?
ทันใด หยวนเหิงก็ลืมตาและออกจากสมาธิ มองดูท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป
บนท้องฟ้าที่มืดมิดราวกับน้ำหมึก พลันมีแสงเย็นวาบสาดส่องลงมา และค่อย ๆ กลายเป็นดอกไม้น้ำแข็งลึกลับอย่างช้า ๆ กลางอากาศ
นี่…
หยวนเหิงลุกขึ้นในทันใด
“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป เพียงแค่ตราลับประทับมิติเท่านั้น”
เสียงราบเรียบของซูอี้ดังขึ้น
หยวนเหิงหันหน้าไป ไม่รู้ว่าซูอี้มายืนข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน สองมือไพล่หลัง กำลังมองดูท้องฟ้ามืดมิดที่อยู่ไกลออกไป
เกิดเสียงดังเช่นนี้ เยว่ซือฉาน เก๋อเฉียน ไป๋เวิ่นฉิง ต่างก็สะดุ้งและพากันออกจากสมาธิแล้วลุกเดินไปหา
“ศิษย์พี่ซู นั่นคงไม่ใช่…”
ใบหน้างดงามของเยว่ซือฉานเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ไม่ผิด คนที่ครั้งก่อนคิดจะชักนำเจ้าให้จากไปคนนั้น”
ซูอี้มองไปที่เยว่ซือฉาน “เจ้าตัดสินใจแล้วหรือยัง?”
“ข้า…”
เยว่ซือฉานลังเล ดวงตาสดใสมีแต่ความสับสน
ท่าทีลังเลตัดสินใจไม่ได้ของหญิงสาวทำให้ซูอี้รู้สึกสงสารเอ็นดูขึ้นมา จากนั้นเขาก็กล่าวขึ้นว่า “ตรวจสอบพื้นเพของฝ่ายตรงข้ามแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย ไม่ว่าจะอย่างไร จงจำไว้เพียงว่า ข้าจะยืนอยู่ข้างกายเจ้าไปตลอด”
ริมฝีปากอิ่มเอิบสีชมพูของเยว่ซือฉานขมุบขมิบ สุดท้ายจึงส่งเสียงอืมออกมา
ซูอี้เบนสายตากลับไปมองดูท้องฟ้าอีกครั้ง
ครั้งนี้ เขาไม่ได้ขัดขวาง
ดอกไม้น้ำแข็งอันขาวสะอาดบริสุทธิ์ทั้งดอกเบ่งบานขึ้นในทันใด แสงสว่างเจิดจ้าผุดให้เห็นเป็นพัก ๆ กลายเป็นรูปลักษณะประตูสูงประมาณจั้งกว่า ๆ
กลางอากาศรอบด้านประตูเกิดคลื่นมิติ จากนั้นพลังเร้นลับก็แผ่กระจายออกมา
เก๋อเฉียนกับคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึง
เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นช่องทางมิติที่สามารถทะลุผ่านระหว่างสองโลกได้เช่นนี้ พลังและปรากฏการณ์เช่นนั้นราวกับปาฏิหาริย์
“คงจะเป็นฝีมือของผู้เป็นจักรพรรดิขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ไม่เช่นนั้นช่องทางมิติที่สร้างขึ้นคงจะไม่แข็งแรงถึงเพียงนี้”
ซูอี้แสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา “ดูท่าทางแล้ว ตัวตนที่ทิ้งตราประทับในจิตวิญญาณของเยว่ซือฉานมีระดับวิถีที่ไม่ธรรมดาเลย”
สามขอบเขตใหญ่ในทางแห่งวิถีลึกล้ำ หรือเรียกอีกอย่างได้ว่าขอบเขตจักรพรรดิ
แบ่งออกเป็น หยั่งเห็นลึกล้ำ รู้แจ้งลึกล้ำ และสานพันธะลึกล้ำ
ในเก้ามหาแดนดิน ผู้เป็นจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ มีคุณสมบัติพอที่จะควบคุมดูแลสายวิถีระดับสูงสุดสายใดสายหนึ่ง สามารถเรียกลมเรียกฝน มีอานุภาพยิ่งใหญ่ใต้หล้า
ผู้เป็นจักรพรรดิขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ น้อยมากที่จะปรากฏตัวให้ใครได้เห็น ส่วนใหญ่แล้วจะเก็บตัวไม่ออกไปไหน ปิดตนฝึกฝนทีหนึ่งเป็นเวลายาวนานนับร้อยนับพันปี
ตัวตนเช่นนี้มักจะเป็นเสาหลักปักสมุทรของสายวิถีระดับสูงสุดสายใดสายหนึ่ง ถึงแม้ไม่ได้ดูแลเรื่องราวในสำนัก แต่ทว่าสามารถสร้างความหวาดกลัวให้แก่ศัตรูใหญ่ภายนอกได้
ส่วนขอบเขตสานพันธะ…
หรือเรียกอีกอย่างได้ว่าขอบเขตมหาจักรพรรดิ เป็นผู้นำยิ่งใหญ่สูงสุดซึ่งตั้งตระหง่านในเก้ามหาแดนดิน เป็นต้นไม้ใหญ่ในสายตาของผู้ฝึกตนในขอบเขตจักรพรรดิ! แต่ละคนเปรียบได้ดั่งหินดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตบนหนทางมหาวิถี มีอานุภาพทั่วฟ้าทั่วแผ่นดิน ทุกฝ่ายล้วนเกรงกลัว
ตัวตนเช่นนี้พบเจอได้ยากที่สุดเช่นกัน
ซูอี้เมื่อชาติก่อน ถูกยกย่องให้เป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน อาจารย์แห่งหมื่นวิถี เพียงคนเดียวก็สามารถสยบทั่วทั้งเก้ามหาแดนดิน เป็นใหญ่อยู่บนหนทางแห่งวิถีลึกล้ำเพียงผู้เดียว ยิ่งใหญ่สยบจักรพรรดิทั้งหลาย
แม้แต่ตัวตนเก่าแก่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิก็ยังต้องก้มหัวให้!
ทว่าตอนนี้ ตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำกำลังใช้ตราประทับมิติเป็นตัวนำ บุกเบิกช่องทางมิติที่ไปสู่มหาทวีปคังชิง ต่อให้พลังที่อีกฝ่ายใช้จะน่าอัศจรรย์ถึงเพียงไหน แต่ไหนเลยจะทำให้ซูอี้รู้สึกหวาดกลัวได้?
ทันใด เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านในช่องทางมิติท่ามกลางท้องฟ้ายามมืดมิด
เก๋อเฉียนกับคนอื่น ๆ เริ่มระมัดระวังตัวขึ้นมา
ไม่รอให้พวกเขาได้ตั้งตัวก็เห็นแสงเจิดจ้าส่องสว่าง ร่างสูงเพรียวร่างหนึ่งเดินออกมาจากด้านในช่องทางมิตินั้น ปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ
ฝนดาวซ่านกระเซ็นจากรอบตัว ประกายแสงปกคลุมไปทั่วแผ่นฟ้าจนส่องสว่างไปทั่ว
เก๋อเฉียน หยวนเหิง กับไป๋เวิ่นฉิงต่างก็กลั้นหายใจ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พุ่งเข้ามาหา ร่างกายเกร็งแน่นจนตัวแข็งทื่อ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไป
รุนแรงมาก!!
เจ้าของร่างสูงนั้นคือสตรีที่มีรูปโฉมราวกับหญิงสาว สวมชุดกระโปรงสีดำ ผมยาวถูกมวยขึ้นสูง คอยาวระหงขาวเนียน ดวงตาสดใส ฟันขาวสะอาด สวยโดดเด่นเกินใคร
ข้างเอวคอดของนาง ห้อยดาบสีเงินเล่นหนึ่ง ดาบส่องประกายไปทั่วเล่ม พลังดุจดั่งดาบคมข้ามแดน ร้ายกาจและน่ากลัวยิ่งนัก
“นักดาบหญิงขอบเขตสยายวิญญาณ!”
ซูอี้ไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนก ราวกับรู้ว่าช่องทางมิติที่สร้างขึ้นจากตราประทับมิติเช่นนี้ไม่อาจรองรับพลังขอบเขตจักรพรรดิได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องล่มสลาย
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีดำเพิ่งปรากฏตัวขึ้น สายตาก็จับจ้องไปที่พวกของซูอี้อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ชั่วครู่เดียวพวกของเก๋อเฉียนราวกับถูกดาบคมจ่อคอหอย ขนลุกซู่ไปทั้งตัว!
ไม่ใช่เพราะสายตานั้นน่ากลัว แต่เป็นเพราะอานุภาพในตัวของหญิงสาวช่างน่าครั่นคร้ามจนเกินไป
มีแต่สายตาของซูอี้เท่านั้นที่ยังคงราบเรียบ ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ แม้แต่น้อย
เขาเพียงแต่ขมวดคิ้วน้อย ๆ
สตรีผู้ข้ามภูมิมาคนนี้ ไม่เก็บพลังในตัวเลยสักนิด จะอวดตนมากเกินไปเสียแล้ว!
เวลานี้เอง เมื่อสตรีชุดสีดำมองเห็นเยว่ซือฉาน ความปีติยินดีก็ผุดขึ้นในสายตาคู่นั้น จากนั้นจึงโค้งคารวะกลางอากาศอย่างนอบน้อม
“หญิงรับใช้ชิงซวงมารับนายหญิงน้อยกลับบ้านเจ้าค่ะ!”
ประโยคเดียวทำให้พวกของเก๋อเฉียนถึงกับงุนงง หญิงสาวอานุภาพน่ากลัวที่ข้ามภูมิมาคนนี้เป็นเพียงแค่หญิงรับใช้เท่านั้น!?
อีกทั้ง นางยังเรียกแม่นางซือฉานว่า… นายหญิงน้อย?
นี่มันเรื่องอันใดกัน?
“นายหญิงน้อย?”
เยว่ซือฉานตะลึง รู้สึกคาดไม่ถึงเช่นกัน
หญิงสาวน่ารักที่เรียกตัวเองว่าชิงซวงยังคงทำท่าน้อมคารวะอยู่เช่นนั้น พร้อมกับกล่าวอ่อนโยน “นายหญิงน้อย นายท่านคาดไว้แล้วว่าในใจของท่านจะต้องเกิดความสงสัยขึ้นมากมายเป็นแน่ ขอเพียงท่านตามข้ากลับไป นายท่านจะไขข้อสงสัยทั้งหมดให้กับท่านเจ้าค่ะ”
เรื่องนี้ทำให้เยว่ซือฉานรู้สึกงงงวยอย่างมาก จึงกล่าวออกไปตามจิตใต้สำนึก “เจ้า…จำคนผิดแล้วกระมัง?”
ชิงซวงเหลือบตาขึ้น มองไปที่เยว่ซือฉาน กล่าว “นายหญิงน้อย ในจิตวิญญาณของท่านมีตราประทับดวงหนึ่งใช่หรือไม่?”
เยว่ซือฉานพยักหน้า
“ตราประทับนี้คือสิ่งที่นายท่านสลักไว้กับมือหลังจากที่ท่านคลอดออกมา ประทับพลังความตั้งใจของนายท่านไว้บนนั้น”
ชิงซวงพูด “เพราะเช่นนี้ เวลาที่นายท่านใช้ตราประทับมิติสร้างช่องทางมิติขึ้นมาจึงสามารถสัมผัสกลิ่นอายของท่านเจอได้ในทันที”
“เช่นนั้นหรือ…”
ใบหน้างดงามของเยว่ซือฉานมีแต่ความสับสนไม่นิ่ง คำตอบเช่นนี้เหมือนกับที่ซูอี้เคยบอกกับนางในตอนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน
อย่างไม่ต้องสงสัย แสดงว่าที่ซูอี้สันนิษฐานในตอนนั้นเป็นความจริง
ฝ่ายตรงข้าม… อาจจะมารับตัวเองเป็นการเฉพาะจริง ๆ ก็เป็นได้!
“นายท่านที่เจ้าพูดถึงนั้นคือใคร?”
เยว่ซือฉานสูดหายใจลึก ๆ ระงับอารมณ์ความรู้สึกภายในใจ
ฉับพลันชิงซวงแสดงสีหน้าเคารพศรัทธาออกมา ก่อนจะกล่าว “บิดาของท่าน ‘จักรพรรดิดาบธุลีราตรี’!”
จักรพรรดิดาบธุลีราตรี?
เก๋อเฉียนกับคนอื่น ๆ ต่างก็ตะลึง ตื่นตระหนกไม่หาย
ใครเลยจะคาดคิดว่า บิดาของเยว่ซือฉานจะเป็นถึงตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ!?
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจรู้สึกสงสัย
เขาในตอนนี้รู้และเข้าใจเกี่ยวกับกองกำลังกลุ่มเต๋าโบราณในมหาทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นปีก่อน
ยกตัวอย่างเช่น ‘เก้าราชันย์แห่งคังชิง’ มีใครบ้าง สายวิถีและสำนักระดับสูงสุดเหล่านั้นมีจำนวนเท่าใด… เป็นต้น
ทว่าไม่เคยได้ยินฉายา ‘จักรพรรดิดาบธุลีราตรี’ มาก่อน
เช่นนี้อาจมีความเป็นไปได้สองประการ หากไม่ใช่เพราะการรับรู้ในเรื่องราวเมื่อสามหมื่นปีก่อนของตนเองมีขีดจำกัด
ก็ต้องเป็นเพราะจักรพรรดิดาบธุลีราตรีไม่ได้เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิในมหาทวีปคังชิง!
“หึ บิดาของข้าคือใคร ยังจะต้องให้คนนอกมาบอก ช่าง… น่าขันเหลือเกิน…”
เยว่ซือฉานส่งเสียงเย้ยหยันตัวเองออกมา
น้อยนักที่หญิงสาวผู้เย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็งคนนี้จะแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่ารับความจริงนี้ไม่ได้
ชิงซวงกล่าวเบา ๆ “นายหญิงน้อย เรื่องนี้มีที่มา เป็นเหตุผลที่พูดไม่ได้จริง ๆ หากไม่ใช่เพราะถูกบังคับ นายท่าน… ก็ไม่อาจตัดใจทอดทิ้งนายหญิงน้อยผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขได้”
เยว่ซือฉานนิ่งเงียบ
นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามีเรื่องอื่นแอบแฝง?
เพียงแต่ว่า นางอยู่โดดเดี่ยวคนเดียวมาตั้งแต่เล็กจนเคยชิน หลายปีมานี้ไปไหนมาไหนเพียงลำพัง พเนจรไปเรื่อย ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า ตัวเองยังมีญาติใกล้ชิดอยู่บนโลก
เมื่อได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ในตอนนี้แล้ว จะให้รับได้… ได้อย่างไรกัน?
น้อยใจเช่นนั้นหรือ?
ไม่เชิง!
โกรธเช่นนั้นหรือ?
ก็ไม่ใช่!!
เพียงแต่ว่าไม่อาจรับความเป็นจริงได้ หัวใจปิดกั้นขึ้นมาก็เท่านั้น
ชิงซวงกล่าวเบา ๆ “นายหญิงน้อย อันที่จริงช่วงก่อนหน้านี้ นายท่านได้ใช้เคล็ดลับในการบุกเบิกช่องทางมิติเพื่อรับนายหญิงน้อยกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่ไม่นึกเลยว่า ตอนนั้นราวกับมีใครสักคนซึ่งมีพลังแข็งแกร่งมากทำลายช่องทางมิติ จึงทำให้ยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้”
เยว่ซือฉานยังคงนิ่งเงียบ
เช่นนี้ทำให้ชิงซวงรู้สึกร้อนใจขึ้นมา กล่าว “นายหญิงน้อย ช่องทางมิตินี้สามารถอยู่ได้เพียงแค่ครึ่งเค่อเท่านั้น ได้โปรดตามข้ากลับไปด้วยกัน เมื่อพบนายท่านแล้ว เชื่อว่านายท่านจะต้องไขข้อสงสัยให้นายหญิงน้อยได้อย่างแน่นอน”
เยว่ซือฉานเงยหน้าขึ้นในทันใด ดวงตางดงามคู่นั้นมองไปที่ชิงซวง พลางกล่าว “หากว่าข้าไม่กลับไปเล่า?”
ชิงซวงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “นายหญิงน้อย ถ้าเช่นนั้นผู้น้อยจำเป็นจะต้องจับตัวท่านกลับไป”
ถึงแม้คำพูดที่พูดจะแฝงด้วยความรู้สึกผิด ทว่าท่าทีนั้นกลับไม่อ่อนข้อแม้แต่น้อย!
ซูอี้คอยดูเหตุการณ์อยู่ข้าง ๆ มาโดยตลอด เห็นเช่นนี้แล้วจึงมองไปที่เยว่ซือฉาน ก่อนกล่าว “เจ้าตัดสินใจจะไม่กลับไปจริง ๆ รึ?”
เยว่ซือฉานตะลึงนิ่ง สีหน้าสับสนฉายบนใบหน้า ก่อนกล่าว “ข้า… ข้าก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะทำเช่นใดดี”
สายตาของซูอี้ผุดประกายความเอ็นดูสงสารขึ้นมา จากนั้นจึงกล่าว “ข้าเคยบอกไว้แล้ว หากว่าเจ้าไม่อยากจะไป ในโลกนี้ไม่มีใครสามารถพาเจ้าไปไหนได้ หากว่าเจ้า…”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ กลางอากาศที่ไกลออกไป ชิงซวงตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าจริงจัง “สหายน้อยท่านนี้ โปรดระวังคำพูดด้วย อย่าได้พูดทำลายในสิ่งที่ดีงาม”
ต่อหน้าซูอี้ ท่าทีของนางดูน่าหวาดกลัวขึ้นมาในทันใด
ความเป็นจริงแล้ว นับตั้งแต่ที่นางปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ เพียงแค่กวาดตามองดูพวกของซูอี้เท่านั้นและไม่ได้ให้ความสนใจอีก ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
เวลานี้เมื่อเห็นว่าซูอี้ทำท่าจะเข้ามาแทรก นางจึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาในทันใด เพียงแค่ตัวตนในขอบเขตรวบรวมดาราเท่านั้น กลับไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ช่างไม่รู้จักประมาณตนเสียเลยจริง ๆ!
“ไม่เกรงใจ?”
ซูอี้ยิ้ม ๆ “ขอเพียงคืนนี้มีข้าอยู่ อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้นายของเจ้ามาด้วยตนเอง ก็ไม่อาจพาตัวแม่นางซือฉานกลับไปด้วยได้ หากไม่เชื่อ ก็ลองดูได้”
เป็นคำพูดสบาย ๆ ทว่าเต็มไปด้วยความดูแคลน
ท่าทีเอาเรื่องเช่นนั้น ทำให้ชิงซวงถึงกับนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ สงสัยว่าตัวเองฟังผิดไปหรือไม่
เมื่อไรกันที่ตัวตนในขอบเขตรวบรวมดารากล้าแสดงความโอหังได้ถึงเพียงนี้?
หากไม่พูดถึงฐานะกับภูมิหลังของนาง พูดกันเพียงแค่ระดับการฝึกตน เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดในโลกนี้ต้องเงยหน้ามองด้วยความเกรงกลัว!
ทว่าตอนนี้ ถูกซูอี้ดูแคลนเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกว่ากำลังถูกท้าทาย
แน่นอน หากว่าเพียงเท่านี้ชิงซวงยังไม่คิดจะเอาเรื่องด้วยหรอก
ทว่าคำพูดของซูอี้ประโยคนี้ แม้กระทั่งนายของนางก็ยังไม่อยู่ในสายตา เช่นนี้ทำให้ชิงซวงไม่อาจทนไหว
“นายท่านของข้าเป็นถึงบุคคลระดับใด ตัวตนเล็ก ๆ อย่างเจ้าจะมาพูดลบหลู่เช่นนี้ได้อย่างไร? ในเมื่อเจ้าบอกว่าให้ลอง ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะลอง!”
ชิงซวงพูดน้ำเสียงเย็นชา ทว่าความน่ากลัวพุ่งสูงเสียดฟ้า!!