บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 604 เขาขี่เต่าทะเลเข้ามา!
ตอนที่ 604: เขาขี่เต่าทะเลเข้ามา!
ตอนที่ 604: เขาขี่เต่าทะเลเข้ามา!
ห้าวันต่อมา
วันที่ยี่สิบ เดือนสิบเอ็ด
นอกมหานครอวิ๋นเหอ แคว้นกุ่น อาณาจักรต้าโจว
แสงสายัณห์สาดส่อง ตะวันตกทาบทับดั่งสีเลือด
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
เสียงคำรามเข่นฆ่าดังเป็นระลอก สะท้อนอยู่ในผืนฟ้าแผ่นดิน
ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตปรมาจารย์นำทัพใหญ่เข้ามาต่อสู้ดุเดือดกับสัตว์อสูรกลุ่มหนึ่งนอกประตูเมือง
สัตว์อสูรรวมตัวกันเป็นพรรคพวกสมัครสมาน เปรียบดั่งคลื่นน้ำที่แทบจะล้อมพื้นที่รอบนอกของมหานครอวิ๋นเหอไว้จนหมด
มองไปแล้วไม่เห็นที่สิ้นสุด
บรรดาผู้แกร่งขอบเขตปรมาจารย์เหลืออยู่เพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น แต่ละคนนำทัพผู้ฝึกยุทธ์จำนวนหลักร้อยต่อสู้สุดชีวิต
บนกำแพงมหานครอวิ๋นเหอในระยะไกล หลายร่างยืนเรียงรายกัน สายตากำลังจ้องมองมาด้วยความตึงเครียด
ผู้นำตระกูลหยวน หยวนอู่ทงก็เป็นหนึ่งในนั้น หน้าตาเขาฉายแวววิตกกังวล
เสียงเข่นฆ่ากันจากที่ไกล ๆ ดังสะท้านนภา เลือดไหลเป็นทาง กองทัพสัตว์อสูรประชิดขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าโดนขวางอยู่นอกเมือง ทิ้งไว้เพียงซากศพโลหิตเต็มพื้น
แต่จำนวนของสัตว์อสูรมีมากเกินไป ราวกับฆ่าอย่างไรก็ฆ่าไม่หมด พวกมันพุ่งเข้ามาจากที่ไกล ๆ เรื่อย ๆ
ศึกครานี้ ดำเนินมาสามวันเต็มแล้ว
จนบัดนี้ ผู้แกร่งในมหานครอวิ๋นเหอสูญสิ้นไปแล้วไม่รู้กี่ราย กระนั้นปวงชนยังไม่เห็นความหวังที่จะชนะได้เลย
“เวลาเพียงหนึ่งเดือนสั้น ๆ ใต้หล้านี้… ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง…”
มีคนบนกำแพงเมืองถอนหายใจออกมา ด้วยสีหน้าอาดูร
คนอื่น ๆ ต่างถอนหายใจออกมาเช่นกัน
หนึ่งเดือนก่อน โดยปราศจากวี่แววใด ๆ ทุกหนแห่งในอาณาจักรต้าโจวทยอยเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ท่ามกลางขุนเขาลำธาร ทะเลสาบและมหาสมุทร กลุ่มสัตว์อสูรออกมาอาละวาดในโลกมนุษย์ดุจเกลียวคลื่นซัดสาด
โดยเฉพาะแปดมหาขุนเขาปีศาจ ซึ่งได้กลายเป็นสถานที่น่ากลัวโกลาหล ผู้ฝึกตนโลกอื่นพากันเดินทางเข้ามา ยึดครองดินแดนสถาปนาตนเป็นผู้ปกครอง ส่งทหารออกไปพิชิตแดนดิน
เพียงหนึ่งเดือนสั้น ๆ อาณาเขตต้าโจวได้ตกอยู่ในภาวะบ้านเมืองแตกแยก ทุกข์ยากประหนึ่งตกนรกทั้งเป็น
ทุกหนแห่งมีการนองเลือด ประชาชนข้นแค้น
ผนวกกับฝูงสัตว์อสูรทะลักทลาย จวบจนบัดนี้ ไม่รู้ว่ามีเมืองที่พ่ายให้กับสัตว์อสูรไปแล้วเท่าใด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่ประชาชนธรรมดาเลย กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ในโลกหล้าต่างผวากันทุกผู้!
“ข้าได้ยินมาว่า ภายในแคว้นกุ่นมีเขตปกครองเกินครึ่งพังทลายลงท่ามกลางการจู่โจมของสัตว์อสูร หากพวกเราหยุดไม่อยู่ มหานครอวิ๋นเหอนี้….. คงถึงกาลอวสาน”
ผู้อาวุโสสำนักดาบชิงเหอ โจวฮวายชิวทอดถอนใจ
“เหล่าลูกศิษย์ในสำนักเป็นอย่างไรบ้าง”
มู่ชางถู เจ้าสำนักดาบชิงเหอถาม
“เรียนเจ้าสำนัก ลูกศิษย์ภายในสำนักสามารถล่าถอยออกไปได้ทุกเมื่อ”
โจวฮวายชิวตอบเสียงขรึม
“ดี!”
มู่ชางถูพยักหน้า “หนนี้หากมหานครอวิ๋นเหอหยุดไม่ไหวจริง ๆ เจ้าจงพาเหล่าลูกศิษย์ออกนำทางไปแคว้นกุ่น ฝากตัวกับตำหนักเทียนหยวน”
โจวฮวายชิวเอ่ยอย่างขมขื่น “นับแต่หลายเดือนก่อนที่พวกหนิงซือฮวา เจ้าตำหนักเทียนหยวนจากไป ตำหนักเทียนหยวนในเวลานี้ไร้ซึ่งผู้นำ ช่วงที่ผ่านมาตกทุกข์ได้อยากเฉกเช่นเดียวกับเรา สถานการณ์ที่นั่นน่ากลัวว่าจะไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าใด…”
ทุกคนเงียบกันหมด อารมณ์ดิ่งเศร้า
ตำหนักเทียนหยวนเป็นหนึ่งในสิบตำหนักใหญ่แห่งอาณาจักรต้าโจว
กระทั่งตำหนักยิ่งใหญ่เช่นนี้ยังตกระกำลำบาก แค่คิดก็รู้แล้วว่าอันตรายที่บรรดาสำนักเล็ก ๆ ต้องพบเจอน่าพรั่นพรึงเพียงใด
อย่างเช่น… สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า!
“ข้าได้ยินมาว่าครึ่งเดือนก่อน ราชวงศ์โจวและสำนักดาบมังกรเร้นต่างศิโรราบต่อ ‘ตำหนักมารเทียนอวี้’ ซึ่งเป็นกลุ่มเต๋าจากโลกอื่นแล้ว บางที อีกไม่นาน ผู้แข็งแกร่งจากตำหนักมารเทียนอวี้จะช่วยเราพิทักษ์ความวิกฤตในแผ่นดินนี้กระมัง”
ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ไหว
ตำหนักมารเทียนอวี้!
เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าทุกคนต่างก็แสดงออกมาหลากหลายอารมณ์
หนึ่งเดือนก่อน แผ่นดินอาณาจักรต้าโจวไม่มีผู้ใดรู้จักกลุ่มเต๋าวิถีปราชญ์นี้ ทว่าบัดนี้ ทุกคนในใต้หล้าต่างรู้จักกลุ่มเต๋านี้ดี
…ว่าเป็นกลุ่มเต๋าจากโลกอื่น ผู้แข็งแกร่งภายใต้กลุ่มเต๋านี้อย่างแย่ที่สุดก็อยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญ!
พวกเขาข้ามโลกมาทะลวงผ่านผนังกั้นมิติ ณ ส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือน ก็ทยอยยึดครองห้าในแปดมหาขุนเขาปีศาจ!
กระทั่งบางกลุ่มในสิบตำหนักแห่งอาณาจักรต้าโจว ก็ได้ทยอยศิโรราบต่อตำหนักมารเทียนอวี้แล้ว
และไม่นานที่ผ่านมา ข่าวที่ราชวงศ์โจวและสำนักมังกรเร้นศิโรราบต่อตำหนักมารเทียนอวี้พร้อมกันได้แพร่งพรายออกไปทั่วอาณาจักร!
ใต้หล้าจลาจล สรรพสิ่งแตกดับ การเปลี่ยนแปลงรุนแรงเช่นนี้ ผู้ใดเล่าจะไม่ตกตะลึง
เวลานั้น หยวนอู่ทงแค่นเสียงเย็น “ต่างเผ่าพันธุ์ ย่อมมีใจเป็นอื่น อภิมหาการเปลี่ยนแปลงคราวนี้ของแผ่นดิน ถึงส่งผลให้บรรดาผู้ฝึกตนโลกอื่นมีโอกาสแทรกซึมเข้ามาในต้าโจว พวกเขา… มีหรือจะใจดีช่วยพวกเรา”
“แต่ด้วยกำลังของต้าโจวในตอนนี้ จะต้านทานการรุกรานจากตำหนักมารเทียนอวี้ได้อย่างไร”
ผู้นำตระกูลจาง จางจือเหยียนสายตาวูบไหว “นี่แหละความเป็นไปของใต้หล้า ผู้จำนนรอด ผู้ต่อต้านตาย นี่เพิ่งผ่านไปได้หนึ่งเดือน อาณาจักรยังโกลาหลถึงเพียงนี้ ต้าโจวในอนาคต ย่อมมีตำหนักมารเทียนอวี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่!”
หยวนอู่ทงขมวดคิ้ว
“แย่แล้ว!”
ทันใดนั้น เจ้าสำนักดาบชิงเหอมู่ชางถูสีหน้าเปลี่ยนไปทันควัน “ทุกท่าน รีบตามข้าไปสังหารอสูรเถิด!”
ขณะที่คุยกันอยู่ ร่างของเขาก็วูบไหว และพุ่งออกจากกำแพงเมืองไป
ผู้คนเงยหน้ามอง ก็เห็นสนามรบไกล ๆ มีสัตว์อสูรลมปราณน่ากลัวปรากฏตัวขึ้นมากมาย บุกประจัญบานจนกองทัพผู้ฝึกยุทธ์ล่าถอยไม่เป็นท่า!
ระหว่างที่ถอยทัพ ผู้ฝึกยุทธ์จำนวนไม่น้อยถูกสัตว์อสูรเป็นฝูงกัดทึ้งกลืนกิน
ภาพนองเลือดมากมายเหล่านั้น ไม่รู้ว่าทำให้ผู้ใดใจสะท้านบ้าง
“ไป!”
จังหวะเวลาเช่นนี้ เหล่าคนใหญ่คนโตบนกำแพงเมืองไม่อาจชักช้า พากันบุกจู่โจม
ทว่า…
คล้อยตามกาลที่ล่วงเลย สัตว์อสูรได้ปรากฏขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พลังก็แกร่งขึ้นเช่นกัน!
มู่ชางถู โจวฮวายชิว หยวนอู่ทง และจางจือเหยียนซึ่งเป็นเหล่าคนโตคนใหญ่ในมหานครอวิ๋นเหอทวีความกดดัน ต่างคนต่างมีสีหน้าหนักอึ้งยิ่งขึ้น
“ทุกคน เราต้านต่อไปไม่ไหวแล้ว ตราบเท่าที่มีชีวิต ย่อมมีความหวัง ถอยเถิด!”
ใครบางคนตะโกน
“ถอย? รอบด้านมหานครอวิ๋นเหอเต็มไปด้วยสัตว์อสูรล้นภูเขา พวกเราอาจหนีพ้น แต่ภรรยาลูกเต้า ญาติสนิทมิตรสหาย คนในตระกูล… จะทำอย่างไร?”
บางคนตาแดง
“เช่นนั้นก็สู้ตาย! ต่อให้ต้องตาย อย่างน้อยข้าขอเข่นฆ่าให้สะใจ!”
หยวนอู่ทงกัดฟัน สีหน้าเหี้ยมโหด
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ผู้ใดยังสนความเป็นความตายอยู่อีก
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
เสียงคำรามดังก้องนภา โลหิตที่หลั่งไหลในฟ้าดินผืนนี้ประหนึ่งรูปภาพ แสนอนาถา
บรรดาสัตว์อสูรแข็งกร้าวไม่เกรงกลัวความตาย บุกกันเข้ามาดั่งเกลียวคลื่น ต้อนเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ให้ต้องล่าถอยกลับไปเรื่อย ๆ จวบจนใกล้ถึงประตูใหญ่ของเมือง
มิหนำซ้ำ ยังมีสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งโบยบินอยู่บนน่านฟ้า พยายามบุกเข้าไปในเมือง สิ่งที่รอต้อนรับพวกมันคือฝนธนูทิ่มแทงดั่งน้ำตก
แสงตะวันตกไกล ๆ เปรียบดั่งสีเลือด ราตรีมืดครึ้มใกล้เข้ามาทุกที
ฟ้าดินหม่นหมอง เบื้องหน้ามหานครอวิ๋นเหอเกิดปรากฏการณ์นองเลือด โหดร้ายน่าเวทนาประหนึ่งวันสิ้นโลกกำลังฉายให้ได้เห็น
พรวด!
หยวนอู่ทงบาดเจ็บที่หน้าอก เขาโดนกรงเล็มคมข้างหนึ่งบาดจนท้องแทบเปิด
ใบหน้าของเขาซีดเผือด โซเซถอยหลัง
เมื่อได้ทอดสายตามอง ก็เห็นว่ารอบด้านเต็มไปด้วยร่างของสัตว์อสูร มากประหนึ่งบดบังฟ้าดิน เห็นแล้วสิ้นหวังอย่างอดไม่ได้
“โฮก!”
เสียงคำรามสะท้านฟ้าดังก้อง ม่านตาของหยวนอู่ทงหดลงเฉียบพลัน
สัตว์อสูรคล้ายราชสีห์ประดุจพยัคฆ์ รูปร่างเท่าเรือนบ้าน สูงหลายจั้ง พุ่งดุดันเข้ามา
กรงเล็บที่ง้างขึ้นยาวหลายฉื่อ คมกริบชวนพรั่นพรึง!
และพื้นที่รอบ ๆ มีสัตว์อสูรฝูงหนึ่งรายล้อมเข้ามา
ศัตรูอยู่ทั่วสารทิศ!
สถานการณ์เช่นนี้ กระทั่งผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากอย่างหยวนอู่ทงยังรู้สึกสิ้นหวัง เผยสีหน้าขมขื่น
ปรมาจารย์แล้วอย่างไร?
ท้ายสุดก็เป็นปุถุชนคนหนึ่ง!
และในเสี้ยวอึดใจนั้น…
เสียงอสูรคำรามทุ้มต่ำล่องลอยพลันดังสนั่นอยู่ทั่วฟ้าดิน ประหนึ่งกลองยาวที่เทวดาบรรเลง ดั่งกึกก้องอยู่ในโลกมนุษย์ท่ามกลางแสงสายัณห์หม่นหมอง
พรวด!
ร่างของสัตว์อสูรมหึมาที่พุ่งมาอยู่เบื้องหน้าหยวนอู่ทงแข็งทื่อ ราวกับตกตะลึงอย่างแสนสาหัส จากนั้นก็นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่กับพื้น ปากส่งเสียงคำรามเศร้าโศก
จากนั้น สัตว์อสูรที่อยู่ปิดล้อมหยวนอู่ทงอยู่ต่างก็ส่งเสียงอาดูร ตกใจกลัวจนหมอบคลานกับพื้น ตัวสั่นงึกงัก แต่ละตัวไม่กล้าขยับเขยื้อน
“นี่มัน…”
หยวนอู่ทงตาเบิกกว้าง
นาทีที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย กลับได้รับโอกาสรอด ความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้ ส่งผลให้หยวนอู่ทงเกือบคิดไปว่าตัวเองฝันอยู่
“นี่มัน?”
“สวรรค์!”
“เหตุใดสัตว์อสูรเหล่านี้ถึง…”
เวลานั้น เสียงเกรียวกราวดังอยู่ในสนามรบ
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่อสู้ด้วยชีวิตต่างมีสีหน้าตะลึงระคนสับสน มองสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย
และได้เห็นกองทัพสัตว์อสูรอันท่วมท้นภูเขาเลากาต่างมีสภาพเหมือนสูญเสียพลังรบไปในชั่วพริบตา ล้มคุกคลานอยู่บนแผ่นดินนองเลือดอย่างพร้อมเพรียง ส่งเสียงร้องอื้ออึง ตัวสั่นระริก
แสงสายัณห์ก่อนตะวันลับตา สาดส่องอยู่ในปฐพีผืนนี้ ทาบทับวูบไหวอยู่บนใบหน้าของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ ประดุจรูปปั้นดินที่ยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น
นี่มัน… เกิดอะไรขึ้น?
กลุ่มคนบนกำแพงเมืองต่างตะลึงกับภาพนี้
ก่อนหน้านี้ หลังจากพวกเขาได้ยินเสียงอสูรคำรามแล้ว ก็เป็นกองทัพสัตว์อสูรนับพันนับหมื่นต่างหมอบราบกับพื้นประหนึ่งฝูงต้นข้าวที่เบนโค้งเพราะแรงลม
“ดูสิ!”
ทันใดนั้น ใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาเสียงหลง “นั่นมัน…”
ฝูงชนหันมองตามสัญชาตญาณ
และได้เห็นท่ามกลางแสงสายัณห์ ริมแม่น้ำต้าฉางซึ่งห่างออกไปไกลพ้น เต่าทะเลขนาดหลายร้อยจั้งตัวหนึ่งก้าวเข้ามา
สี่เท้าของมันเปรียบเสมือนเสา ร่างใหญ่ดุจภูผา แสงท้องฟ้ายามเย็นสีส้มสะท้อนกับร่างดำทะมึนเป็นประกายเงาจนคล้ายความฝัน
และทุกที่ที่มันผ่าน เหล่าสัตว์อสูรล้วนตัวสั่นระริก ถอยห่างด้วยความหวาดกลัว หลีกทางให้เป็นบริเวณกว้างขวาง
ตึง! ตึง! ตึง!
พสุธาสั่นไหว กลิ่นอายน่ายำเกรงที่แผ่ซ่านออกจากเต่าทะเลตัวนั้นสยบทุกคนในที่นี้
กระทั่งเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ห่างออกไปไกลยังหยุดหายใจ ใบหน้าออกซึ่งความหวาดผวา
อสูรตัวนี้น่ากลัวปานใดกัน
“มีคน… บนหลังของอสูรตัวนั้นมีคน!”
บนกำแพงเมือง คนหนุ่มผู้หนึ่งร้องลั่นด้วยความตกใจ สีหน้าเหลือเชื่อ
ฝูงชนแตกตื่น ต่างทอดสายตามองไป
รับชมเห็นบนแผ่นหลังเต่าทะเลตัวขนาดร้อยจั้งมีเงาคนอยู่มากมาย
หญิงสาวดวงหน้าพริ้งเพราสง่างามนางหนึ่ง
คนหนุ่มในชุดคลุมเต๋าสีเหลืองคนหนึ่ง
หญิงสาวและคนหนุ่มต่างยืนตระหง่านอยู่ข้างกายชายหนุ่มชุดสีเขียวครามซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายในท่าทีเกียจคร้าน
ใต้แสงตะวันตกดิน พวกเขาสามคนขี่เต่าทะเลเข้ามา สรรพสัตว์หมอบกราบ!
ภาพเช่นนี้ สะท้านจิตใจผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนในที่นี้อย่างรุนแรง
“นี่… นี่มันเทพเซียนเดินดินรึ?”
“คงใช่กระมัง…”
“ถ้าอย่างนั้น พวกเรารอดแล้วใช่หรือไม่?”
ไม่ทราบว่าผู้ฝึกยุทธ์จำนวนเท่าใดรู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าไม่ใช่ความจริง และมองด้วยความนิ่งอึ้ง
ในตอนนั้น เมื่อได้เห็นชายหนุ่มชุดเขียวครามซึ่งนั่งเก้าอี้หวายอยู่บนหลังเต่าทะเล ผู้นำตระกูลหยวนอย่างหยวนอู่ทงอ้าปากค้างเล็กน้อย
เขาขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว ราวกับไม่อยากเชื่อ
นั่นมัน… คุณ… คุณชายซู!?