บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 607 ราชาวิญญาณพฤกษา
ตอนที่ 607: ราชาวิญญาณพฤกษา
ตอนที่ 607: ราชาวิญญาณพฤกษา
เครื่องรางลับสีดำนี้มีรูปร่างเฉพาะตัว มันคล้ายกับโซ่ทว่ามีอักขระแปลกประหลาดสลักอยู่บนพื้นผิวจนทั่ว
ซูอี้ถือสิ่งนี้ไว้ในมือของเขา และมองดูมันชั่วขณะหนึ่ง เขารับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่ามันคือสิ่งที่เอาไว้ใช้งานเพื่อขอความช่วยเหลือ!
“เมื่อใดมีโอกาสเหมาะ ข้าจะบดขยี้เครื่องรางนี้และดูว่าจะสามารถดึงดูดเหยื่อจากตำหนักมารเทียนอวี้ได้กี่ตัว…”
ซูอี้ลอบคิดในใจก่อนจะเก็บเครื่องรางและธงวิญญาณ
ส่วนสมบัติอื่น ๆ ของหลู่เจิง เขาไม่ได้สนใจที่แลมองอีก
“ไปกันเถิด”
ซูอี้เหลือบมองหยวนอู่ทงและคนอื่น ๆ จากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไปในความมืดมิดของยามราตรี
หยวนเหิงและคนอื่น ๆ ติดตามไปอย่างใกล้ชิด
“ปรมาจารย์ซูโปรดรักษาตัวเองด้วย!”
หยวนอู่ทงโค้งกายประสานมือคารวะ
“ปรมาจารย์ซูโปรดรักษาตัว!”
มู่ชางถูและคนอื่น ๆ ต่างก็ร่วมโค้งกายคารวะเช่นกัน
แม้ซูอี้จะจากไปโดยไม่เอ่ยร่ำลา
แต่ใครเล่าจะกล้าตำหนิติเตียน?
ต้องรู้ว่าหากวันนี้ซูอี้และพรรคพวกไม่ยื่นมือช่วยเหลือ ป่านนี้ทั้งมหานครอวิ๋นเหอ… เกรงว่ามันคงไปอยู่ในท้องของเหล่าสัตว์อสูรที่บ้าคลั่งจนหมดแล้ว!
นอกมหานครอวิ๋นเหอ ริมฝั่งแม่น้ำ
ค่ำคืนช่างเย็นเยียบ ทุ่งโล่งทั้งสี่ทิศว่างเปล่าชวนให้เปลี่ยวเหงา
ซูอี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าท้ายที่สุดเขาตัดสินใจเดินทวนไปตามแม่น้ำ
เดินทิศทางทวนแม่น้ำต้าฉางเช่นนี้มันหมายถึงมุ่งหน้าไปยังเมืองกว่างหลิง
มันเป็นสถานที่ที่ซูอี้ปลุกความทรงจำของชีวิตก่อนขึ้น และเปี่ยมไปด้วยความทรงจำมากมายของชีวิตนี้
“นายท่านเราจะไปที่ใดกันหรือ?”
หยวนเหิงอดไม่ได้ที่จะถามระหว่างทาง
“ต้าโจวนี้ในอนาคต… ข้าเกรงว่าข้าจะไม่กลับมาอีก ข้าจะขอท่องดูมันเป็นครั้งสุดท้ายเสียหน่อย”
ซูอี้ตอบกลับอย่างเรียบเฉย
ต้าโจวถือได้ว่าเป็น ‘บ้านเกิด’ ชีวิตใหม่ของเขา
แต่มันไม่ใช่บ้านเกิดที่แท้จริง
ในอนาคต การแสวงมรรคาเต๋าสูงสุดนั้นชีวิตย่อมถูกลิขิตให้ต้องขยับย้ายไปจากอาณาจักรเล็กจ้อยแห่งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซูอี้คิดใช้โอกาสนี้เตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ ประหนึ่งเป็นการอำลา
ส่วนอนาคต… ที่ใดที่อยู่แล้วสุขใจที่นั่นคือบ้านเกิดของข้า…
…
เช้าตรู่
นอกเมืองกว่างหลิง
เมื่อมองไปที่กำแพงเมืองที่คุ้นเคยนี้ ซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงใบหน้าผู้คนทั้งหลายที่เขาเคยพบปะ
เหวินหลิงเสวี่ยที่สดใสมีชีวิตชีวาและงดงาม ฉินชิ่งผู้ฉลาดหลักแหลม เหวินฉางไท่ที่ซื่อตรงและมีความรับผิดชอบ หญิงเฒ่าแห่งตระกูลเหวินผู้เถรตรง…
นอกจากนี้ยังมีเจ้าเมืองฟู่ซาน ผู้บัญชาการกองทหารองค์รักษ์จวนเจ้าเมืองเนี่ยเป่ยหู่ ผู้นำตระกูลหวง หวงอวิ๋นชง หวงเฉียนจวิน เนี่ยเถิง…
เป็นเพียงว่าเมืองกว่างหลิงปัจจุบันเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับอดีต
ทุ่งโล่งนอกกำแพงเมืองมีซากของสัตว์อสูรที่ถูกทิ้งไว้มากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกที่ และกำแพงเมืองอันแข็งแกร่งขณะนี้มีรอยแตกร้าวมากมายและในหลาย ๆ จุดนั้นถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
เมื่ออดีต ช่วงเช้าตรู่เช่นนี้ที่หน้าประตูเมืองจะต้องมีการสัญจรพลุกพล่านและคึกคัก
แต่ตอนนี้กลับเห็นแต่กลุ่มนักรบที่ดูดุดันประจำการอยู่ที่หน้าประตูเมืองหนาแน่น ส่งผลให้บรรยากาศยิ่งหนักอึ้ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมืองกว่างหลิงได้รับความเดือดร้อนจากเหล่าสัตว์อสูรเช่นกัน แต่ทว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ซูอี้เดินเข้าไปในเมือง
ตามเส้นทางที่คุ้นเคย เขาเห็นประตูของสำนักดาบซ่งอวิ๋น
ชายหนุ่มยังจำได้ว่าตอนที่เขาเป็นลูกเขยของตระกูลเหวิน เขาจะมาที่นี่ทุกวันเพื่อรับน้องภรรยาเหวินหลิงเสวี่ยจากสำนักดาบแห่งนี้ไม่มีขาด
จากนั้นเดินไปมาโดยไม่รู้ตัว เขาเห็นสำนักแพทย์ซิ่งหวงอยู่ไกล ๆ
เมื่อตอนนั้นซูอี้เคยอาศัยอยู่ในเรือนเล็กเหมยอำพันที่อยู่ด้านหลังสำนักแพทย์ซิ่งหวง
ที่นั่นเขาได้รับน้ำเต้าปลุกวิญญาณจากอู๋รั่วชิวซึ่งเป็นคนของพรรคมารหยินและได้พบกับชิงหว่าน
เช้านี้มีคนต่อแถวยาวจนล้ำออกมาด้านนอกสำนักแพทย์ซิ่งหวง
ต่างจากในอดีตที่ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่มาสำนักแพทย์คือผู้คนธรรมดาทั่วไป แต่ขณะนี้คนที่ต่อแถวส่วนใหญ่คือเหล่านักรบหรือผู้ฝึกตนที่อยู่ในสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่นมีเลือดเปรอะเปื้อนมากมายและผมเผ้าเป็นกระเซิงราวกับว่าพวกเขาเพิ่งประสบกับการต่อสู้นองเลือดมาหมาด ๆ
“รอที่นี่”
ซูอี้สั่งหยวนเหิงและคนอื่น ๆ แล้วเดินเข้าไปในสำนักแพทย์ซิ่งหวง
ภายในสำนักแพทย์มีผู้คนอยู่อย่างเนืองแน่น แม้กระทั่งหูเฉวียนผู้ซึ่งเป็นผู้จัดการของที่นี่ยังต้องลงมือช่วยทำแผลเบื้องต้นให้แก่เหล่านักรบเอาไว้ชั่วคราวเพื่อรอแพทย์
กลิ่นเลือดและสมุนไพรที่เข้มข้นผสมปนเปกันทำให้สำลักเล็กน้อย
เมื่อซูอี้เดินเข้ามา คนใช้หนุ่มคนหนึ่งเข้ามาทักถามด้วยความสงสัย “คุณชายต้องการพบแพทย์ด้วยหรือ?”
ซูอี้ส่ายหัวและพูดว่า “เจ้ากลับไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด”
คนรับใช้หนุ่มรู้สึกงงงวย แต่เนื่องจากขณะนี้สำนักแพทย์ยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก เขาจึงไม่สนใจซูอี้อีกต่อไปและกลับไปยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนเองตามเดิม
ซูอี้เดินตรงไปที่ประตูหลังสำนักแพทย์ไปยังเรือนเล็กเหมยอำพัน
บ้านหลังคากระเบื้องสีเทาสามหลังที่ถูกสร้างเรียงสลับฟันปลา ซึ่งมีกำแพงไม้เรื้อยอยู่ด้านข้างยังคงอยู่ที่เดิม ต้นแคฝรั่งเก่าแก่หนาใหญ่และแข็งแรงยังคงตระหง่านอยู่ตรงกลางลาน และบ่อน้ำข้างต้นแคฝรั่งยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด
แสงยามเช้าส่องเข้ามาที่ลานบ้านทำให้เงียบสงบมาก
ทุกอย่างในลานยังเหมือนเดิมไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
เห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมามีคนคอยมาทำความสะอาดและจัดระเบียบอยู่ตลอด
ซูอี้นำเก้าอี้หวายออกมาและนอนอย่างเกียจคร้านใต้ต้นแคฝรั่งด้วยความสบายใจอย่างสุดจะพรรณนา และความทรงจำบางอย่างเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในลานแห่งนี้ก็ผุดขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม
ซ่า! ซ่า!
เสียงสายลมพัดผ่านพาให้กิ่งก้านของต้นแคฝรั่งแก่โยกเยกส่วนใบเสียดสีส่งเสียงดังไหลลื่น
ซูอี้เปิดตามองต้นแคฝรั่งเก่าแก่ต้นนี้อย่างพินิจและไม่นานนักเขาก็เลิกคิ้วเพราะความประหลาดใจ
ต้นแคฝรั่งเก่าแก่ต้นนี้มีจิตวิญญาณ!
“เจ้ากำลังทักทายซูผู้นี้อย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
กิ่งก้านของต้นแคฝรั่งแก่แกว่งไปแกว่งมาอย่างชื่นบาน
ซูอี้ยิ้ม เขาเดาเหตุผลได้บางประการ
เมื่อตอนที่เขาอาศัยอยู่ในเรือนเล็กเหมยอำพัน เขาเคยสั่งชิงหว่านให้ฝึกฝนในลานบ้าน และเมื่อรวมกับที่เขาฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน มันจึงยิ่งเป็นการดึงดูดปราณวิญญาณจากฟ้าดินทำให้ที่มีปราณวิญญาณหนาแน่นมากกว่าที่อื่น
มันหนาแน่นมากเสียจนต้นแคฝรั่งแก่ต้นนี้ได้รับประโยชน์มากมายเช่นกัน
เมื่อรวมกับทุกวันนี้ที่ปราณวิญญาณในทวีปคังชิงค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น ต้นแคฝรั่งแก่นี้ที่หยั่งรากในดินลึกก็กลายเป็นได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจนบังเกิดจิตวิญญาณรับรู้ขึ้นมา
“จากต้นแคฝรั่งทั่วไป ขณะนี้เจ้าบังเกิดจิตวิญญาณได้เพราะข้า และยิ่งไปกว่านั้นวันนี้พวกเราได้กลับมาพานพบกันอีก จึงถือได้ว่าเจ้าและข้ามีดวงผูกกันอยู่ไม่น้อย”
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย จากนั้นเขาก็วาดอักขระที่กลางอากาศ
อักขระนั้นมีรูปลักษณ์คล้ายสัญลักษณ์เต๋าแห่งธาตุไม้ มันเรืองแสงสีฟ้าใสงดงาม หลังจากวาดอยู่ไม่กี่ลมหายใจ อักขระอันลึกลับและทรงอำนาจลอยค้างอยู่กลางอากาศอย่างน่าอัศจรรย์
“ไป”
ซูอี้ตวัดปลายนิ้วของเขา
เมื่อถูกสั่ง อักขระสีฟ้าเขียวซึ่งลอยอยู่กลางอากาศก็พุ่งเข้าหาและหลอมรวมเข้ากับต้นแคฝรั่งแก่อย่างฉับพลัน
จากนั้นซูอี้จึงวางมือไพล่หลังและจ้องมองการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบ ๆ
ตอนนี้เป็นฤดูหนาว เปลือกที่ลำต้นของต้นแคฝรั่งแก่นั้นปริแตกและกิ่งก้านนั้นแห้งไปบางส่วน
ทว่าในไม่ช้า เหนือยอดต้นแคฝรั่งกลับมีปราณวิญญาณมารวมตัวกันหนาแน่นอย่างยิ่งยวดจนควบแน่นกลายเป็นประหนึ่งหยดน้ำ ก่อนจะหยดลงอาบน้ำต้นแคฝรั่งแก่
ด้วยตาเปล่าจะเห็นว่ากิ่งก้านสีเทาของต้นแคฝรั่งแก่ฟื้นคืนสู่สภาพที่แข็งแรงกลายเป็นสีเขียวไม่ดูเปราะและยังออกผลมากมาย และผลเหล่านั้นยังเติบโตอย่างรวดเร็ว…
เพียงไม่กี่อึดใจถัดมาต้นแคฝรั่งก็เขียวชอุ่มไปทั้งต้น อีกทั้งยังทำให้ทั้งลานบ้านหนาแน่นไปด้วยปราณวิญญาณซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข
“หากโลกนี้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างอ่อนโยน ก็จงอยู่ที่นี่คอยทำประโยชน์ให้แก่ผู้คน ด้วยวิธีนี้เจ้าจะสามารถดูดซับปราณวิญญาณของโลกได้นานเท่านานเพื่อก้าวเข้าสู่มรรคาที่เจ้าหมายหวัง”
ซูอี้พูดอย่างราบเรียบ “แต่ถ้าโลกนี้ละโมบต่อตัวเจ้า คิดหวังจะตัดโค่นเจ้าเพื่อนำไปปรุงโอสถ เจ้าก็จงจากไปเสียและแสวงหาหนทางของตัวเจ้าเอง”
“พูดให้สั้นง่ายก็คือขอเพียงเจ้ามีจิตใจที่เมตตาและมั่นคง เจ้าย่อมมีโอกาสกลายเป็นตัวตนสำคัญของโลกนี้”
หลังจากพูดจบซูอี้จึงหันหลังและจากไป
ทันทีที่เขาก้าวออกจากประตูลานบ้าน ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็ผุดขึ้นมาในหัวใจของเขา และรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปากของเขา
“แม้เป็นเพียงความสัมพันธ์ที่เล็กน้อยแต่มันกลับทำให้เต๋าของข้าสงบลงและกระจ่างใสขึ้นได้ ไม่คาดคิดเลยว่าความสัมพันธ์แบบนี้ก็น่าสนใจเช่นกัน”
ซูอี้คิดอย่างสบายใจ
ก่อนมาถึงต้าโจว ระดับการฝึกฝนของเขาได้มาถึงช่วงปลายของขอบเขตรวบรวมดาราแล้ว
ระหว่างทางเขาคิดหาทางทลายกำแพงการบ่มเพาะมาโดยตลอด
ขณะนี้ในที่สุดซูอี้ก็มีคำตอบผุดขึ้นในหัวใจของเขา!
มันไม่เกี่ยวกับความมั่นคงของรากฐานการบ่มเพาะหรือความกระจ่างรู้ในเต๋าของเขาเลย เขาแค่เพียงต้องขัดเกลาอารมณ์และจิตใจของตนเองให้สมบูรณ์ไร้ตำหนิ การหวนกลับมายังสถานที่ที่เขาเคยมีประสบการณ์ในอดีตมันคือการทำให้จิตใจปลอดโปร่งมั่นคงอีกหนทางหนึ่ง!
เมื่อซูอี้เดินออกจากสำนักแพทย์ซิ่งหวง ไม่มีใครสังเกตเห็น
แต่ผู้คนในสำนักแพทย์ซิ่งหวง ถูกดึงดูดอย่างรวดเร็วด้วยกลิ่นหอมสดชื่น
“หอมเหลือเกิน!”
“นี่มันกลิ่นอะไรกัน?”
“ข้ารู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของข้าพัฒนาขึ้นไปอีกระดับแล้ว!”
ผู้คนต่างเดินเสาะหาไปตามที่มาของกลิ่นหอม จนท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นต้นแคฝรั่งที่เต็มไปด้วยใบสีเขียวและห้อมล้อมไปด้วยปราณวิญญาณท่ามกลางลมหนาว ผู้คนต่างตกตะลึงอย่างอดไม่ได้
“นี่…”
“ต้นแคฝรั่งแก่ต้นนี้ยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ?”
ผู้คนต่างตกตะลึงและพูดคุยกันไม่รู้จบ
เมื่อยืนอยู่ใต้ต้นแคฝรั่งแก่ต้นนี้ ทุกคนต่างรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข ทุกลมหายใจที่สูดเข้าทำให้ร่างกายอบอุ่นแสนสบาย
ไม่นานกิ่งก้านของต้นแคฝรั่งแก่ก็แกว่งไปแกว่งมา และดอกต้นแคฝรั่งสีขาวก็ร่วงหล่นราวกับหิมะตก
เมื่อดอกต้นแคฝรั่งเหล่านี้ตกลงบนร่างของเหล่านักรบที่ได้รับบาดเจ็บ พวกมันก็สลายกลายเป็นของเหลวและซึมเข้าสู่ผิวหนังของพวกเขา เหล่านักรบที่ได้รับบาดเจ็บต่างประหลาดใจที่พบว่าอาการบาดเจ็บของพวกเขาได้รับการฟื้นฟูด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ แค่เพียงไม่กี่ลมหายใจพวกเขาก็กลับมาแข็งแกร่งดีเช่นเดิมแล้ว!
สำหรับผู้คนที่ไม่ได้รับบาดเจ็บก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน ปราณวิญญาณภายในร่างของพวกเขาต่างเพิ่มพูน เส้นลมปราณในร่างแข็งกล้าขึ้นและเต็มไปด้วยพลังงาน
“ปาฏิหาริย์! นี่มันปาฏิหาริย์ชัด ๆ!”
“สวรรค์! เหตุใดต้นแคฝรั่งแก่ต้นนี้ถึงได้เปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้?”
นักรบบางคนตื่นเต้นมากจนคุกเข่าลงกับพื้นและหมอบกราบ บางคนถึงขนาดเรียกต้นแคฝรั่งแก่ต้นนี้ว่า ‘ราชาวิญญาณพฤกษา’
หูเฉวียนตะลึงค้างไปครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำอย่างโง่งม “ต้นแคฝรั่งแก่นี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันพัฒนาได้เพราะนายน้อยเป็นผู้กระทำ? ไม่เช่นนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างไร?”