บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 608 วันนี้สหายเก่าก็ยังอยู่
ตอนที่ 608: วันนี้สหายเก่าก็ยังอยู่
ตอนที่ 608: วันนี้สหายเก่าก็ยังอยู่
นอกสำนักแพทย์ซิ่งหวง
เมื่อเห็นร่างของซูอี้ เก๋อเฉียนก็อดถามไม่ได้ “คุณชายซู ดูคล้ายจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดใช่หรือไม่?”
หยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงต่างก็มองซูอี้เช่นกัน
พวกเขาต่างสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง ณ ใจกลางเรือนเล็กเหมยอำพันเช่นกัน
“ก่อนหน้านี้ ข้าช่วยต้นแคฝรั่งเฒ่าสะสางผลกรรมจนได้กลายเป็นจิตวิญญาณ”
ซูอี้กล่าวอย่างลอยชายพลางมองประตูทิศประจิมแห่งเมืองกว่างหลิง
มีเสียงเป่าแตรดังสนั่น และแว่วเสียงต่อสู้เคล้าเสียงคำรามของสัตว์ปีศาจ
“ไปดูกันเถิด”
ซูอี้เดินตามเสียง
ถนนระหว่างทางว่างเปล่า มีคนเดินเพียงไม่กี่คน
ยามเมื่อเขากำลังจะไปถึงประตูเมืองทิศประจิม เขาก็เห็นร่างของนักรบมากมายประจำการเหนือกำแพงสูง
ประตูเมืองเปิดกว้าง เห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มนักรบห้าวหาญกำลังต่อสู้กับฝูงสัตว์ปีศาจ
สถานการณ์ศึกดุดัน ทว่าขนาดของมันไม่ใหญ่โตนัก สัตว์ปีศาจเหล่านั้นอย่างมากก็มีเพียงร้อย ความแข็งแกร่งไม่สูงส่งนัก
เทียบไม่ได้เลยกับทัพสัตว์ปีศาจที่พบเห็นนอกมหานครอวิ๋นเหอ
เมื่อมองไปทางกลุ่มนักรบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกฝึกมาเป็นอย่างดีและร่วมมือกันอย่างเป็นหนึ่งเดียว พวกเขาต่อสู้กับสัตว์ปีศาจ แม้บางคราจะบาดเจ็บ ทว่าสถานการณ์ก็ไม่ได้อันตราย
ชายหนุ่มผู้หนึ่งถือดาบนำหน้ากลุ่มนักรบราวศีรษะมังกร เด่นล้ำเหนือใคร เผยฝีมือต่อสู้เก่งกาจล้ำเลิศ
“หลี่โม่อวิ๋น…”
ซูอี้อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจำได้ว่าชายถือดาบผู้นี้เป็นใคร
ในเมืองกว่างหลิงมีสามตระกูลใหญ่ และตระกูลหลี่คืออันดับหนึ่ง
นานมาแล้ว หลี่โม่อวิ๋นคือคนรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งจากเมืองกว่างหลิง
ทว่าในทีแรก หลี่โม่อวิ๋นชอบพอเหวินหลิงเจายิ่งนัก และครั้งหนึ่งเคยถือซูอี้เป็นหอกข้างแคร่ จึงต้องการกำจัดเขาเสีย
กระทั่งต่อมาในมหานครอวิ๋นเหอ หลังจากเห็นสารพัดพลังจากซูอี้ หลี่โม่อวิ๋นจึงทิ้งความคิดเป็นศัตรูกับเขาในที่สุด
ส่วนซูอี้ เขาไม่ได้สนใจปลาซิวปลาสร้อยเยี่ยงหลี่โม่อวิ๋นเลยสักนิด
หากไม่ใช่เพราะความจำที่เลิศล้ำอยู่เสมอของเขา และได้พบอีกฝ่ายอีกครั้งในครานี้ เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มจะนึกถึงคนผู้นี้ออกได้ตราบชั่วชีวิต
ทันใดนั้น ซูอี้ก็มองไปบนกำแพงเมือง และจดจำบุคคลคุ้นตาได้มากมาย
มีทั้งเจ้าเมืองฟู่ซาน ผู้บัญชาการกองทหารองครักษ์จวนเจ้าเมืองเนี่ยเป่ยหู่ ผู้นำตระกูลหลี่ หลี่เทียนหาน ผู้นำตระกูลหวง หวงอวิ๋นชง และผู้นำตระกูลเหวิน เหวินฉางจิ้ง
ยังรวมไปถึงนักรบรุ่นเยาว์เช่น เนี่ยเถิง เหวินเจวี่ยหยวน และเหวินเส้าเป่ยด้วย
โดยเฉพาะเนี่ยเถิง เห็นได้ชัดว่ารัศมีของอีกฝ่ายแกร่งกล้ากว่าใคร คนผู้นี้มีผลการฝึกฝนอยู่ในขั้นปรมาจารย์แล้ว!
“คนผู้นี้มีรัศมีแกร่งกล้าและพื้นฐานมั่นคง ไม่เลว ไม่เลว”
ซูอี้ลอบคิด
ยามเมื่อซูอี้อยู่ในเมืองกว่างหลิง เนี่ยเป่ยหู่เคยมากราบกรานชายหนุ่ม หวังให้เนี่ยเถิงติดตามเขาสู่โลกหล้า
ทว่าไม่คาดว่าเนี่ยเถิงจะทะนงตนนัก ไม่ยินดีรับการจัดเตรียมนี้
เพราะเหตุนี้ ซูอี้จึงชื่นชมชายหนุ่มผู้มีสีหน้าบึ้งตึงเสมอผู้นี้ และมอบเคล็ดวิชาลับให้เขา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการที่เนี่ยเถิงสามารถก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์ได้ในเวลาเพียงแปดเดือน เหตุผลประการแรกย่อมเกี่ยวกับการฝึกเคล็ดวิชาที่ซูอี้ให้ไป!
ประการที่สองก็เป็นเพราะเนี่ยเถิงมีวิธีการของตนเองด้วย
“นี่มันยามใดแล้ว เจ้ายังมาชมความบันเทิงที่นี่อีก เร็ว ๆ เข้า สัตว์ปีศาจฝูงต่อไปกำลังจะมา ยามนั้นปรมาจารย์เนี่ยจะลงมือ หากมีสัตว์ปีศาจบุกเข้านคร เจ้าจะไปอยู่หนใดได้อีก? จะยังมีชีวิตดูความหฤหรรษ์อยู่อีกหรือไร?”
กลุ่มนักรบซึ่งออกมาเดินเวรยามเห็นพวกซูอี้เข้า ดังนั้นชายวัยกลางคนร่างกำยำซึ่งเดินนำมาจึงพลันตะโกนไล่พวกเขาไป
ซูอี้สะดุ้ง
หยวนเหิงกล่าวยิ้ม ๆ “ปรมาจารย์เนี่ย? ใช่พ่อหนุ่มบนกำแพงเมืองหรือไม่?”
ชายวัยกลางคนร่างกำยำพลันแสดงสีหน้านับถือ แล้วกล่าวขึ้นว่า “ใช่ ปรมาจารย์เนี่ยไม่ธรรมดา เขาคือยอดฝีมือคนแรกในหมู่คนรุ่นเยาว์ของเมืองกว่างหลิงเราที่ก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์ได้ และเป็นเพราะเขารับหน้าที่ในเดือนนี้ สัตว์ปีศาจที่บุกเข้ามาจึงถูกหยุดไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า!”
หยวนเหิงกล่าวอย่างตกใจ “จริงหรือ แต่ข้าจำได้ว่าในเมืองกว่างหลิงนี้ บุคคลแรกผู้ก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์ควรจะเป็น… ผู้อื่นนี่?”
ชายวัยกลางคนร่างกำยำขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และกล่าวขึ้นว่า “เจ้ากำลังพูดถึงอัครมหาเสนาบดีแห่งต้าโจวของเรา ซูอี้หรือ? แม้ว่าเขาจะเป็นนายน้อยในตระกูลเหวินในกาลก่อน แต่เขาไม่ได้มาจากเมืองกว่างหลิงเรา”
ชายวัยกลางคนร่างกำยำกล่าวอย่างเปี่ยมอารมณ์ “ว่าไป นานแล้วที่ข้าได้ยินข่าวคราวของอัครมหาเสนาบดีซู มีข่าวลืออยู่ว่าอัครมหาเสนาบดีซูไปฝึกตนที่ต้าเซี่ย และจะไม่กลับมายังต้าโจวอีกชั่วชีวิต…”
ทหารอีกคนข้างกายเขาอดกล่าวไม่ได้ว่า “หากมีอัครมหาเสนาบดีซูอยู่ ด้วยวิธีการของเขา ต้าโจวจะตกสู่อันตรายเยี่ยงนี้หรือ?”
ยามกล่าวถึงซูอี้ ทหารเหล่านี้ต่างทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
หยวนเหิงและคณะดูพิลึกเล็กน้อย พวกเขาอดหันมองซูอี้ไม่ได้ ยามนี้พวกเขาจึงเพิ่งรู้ว่าซูอี้เป็นที่รู้จักในนาม ‘อัครมหาเสนาบดีแห่งต้าโจว’!
ทว่าซูอี้ดูจะไม่ได้สังเกต เขาทำเพียงฟังเงียบ ๆ
“แม้ว่าอัครมหาเสนาบดีซูจะอยู่ เขาจะหยุดยอดฝีมือจากตำหนักมารเทียนอวี้ ณ ต่างโลกได้เช่นไร? ข้าได้ยินว่าครู่ก่อนนี้ กระทั่งราชวงศ์โจวและสำนักดาบมังกรเร้นยังสวามิภักดิ์ต่อตำหนักมารเทียนอวี้เลย!”
ทหารผู้หนึ่งถอนหายใจ “กล่าวสั้น ๆ ก็คือ โลกนี้อลหม่าน อย่าว่าแต่อัครมหาเสนาบดีซูไม่อยู่เลย ต่อให้มีเขา ก็ยากจะเปลี่ยนกระแสเฉียบพลันแห่งโลกหล้าได้”
คำพูดเหล่านี้ทำให้หยวนเหิงขมวดคิ้ว
ทันใดนั้น เสียงสัตว์ร้ายคำรามลั่นพลันดังออกมาจากไกล ๆ ณ ประตูเมือง
ทันใดจากนั้น โลกหล้าก็สั่นสะเทือนด้วยเสียงคำรามราวอสนีบาต สะท้านดั่งกองทหารนับพันกรีฑาทัพมาจากไกล ๆ
ชายวัยกลางคนร่างกำยำสีหน้าเปลี่ยน พลางรีบเร่งเร้า “สัตว์ปีศาจระลอกสองมาแล้ว พี่น้องทั้งหลาย ตามข้ามาป้องกันเมืองเร็ว! พวกเจ้าอย่ามัวแต่อึ้ง รีบหนีไปเสีย!”
ชายวัยกลางคนร่างกำยำกล่าวพลางพาทหารของเขาพุ่งไปทางประตูเมืองอย่างรวดเร็ว
“หรือจะมีผู้ใดจากตำหนักมารเทียนอวี้ขับสัตว์ปีศาจมาโจมตีเมือง?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางเดินไปที่ประตูเมือง
หยวนเหิงและคณะตามเขาไป
นอกประตูเมือง
สัตว์ปีศาจนับแสนห้อตะบึงราวคลื่นน้ำป่า เสียงสัตว์ร้ายคำรณสะเทือนนภา
ภาพตรงหน้าทำให้คนทุกผู้ที่หน้าประตูเมืองสูดหายใจเย็นเฉียบเฮือกใหญ่ สีหน้าแปรเปลี่ยนโดยสมบูรณ์
จำนวนสัตว์ปีศาจระลอกนี้เยอะเกินกว่าจะจินตนาการได้!
“ข้าจะทำอันใดได้บ้าง?”
เหวินฉางจิ้ง เจ้าตระกูลเหวินหน้าซีด เข่าของเขาอ่อนแรง
ฟู่ซาน หลี่เทียนหาน และหวงอวิ๋นชงต่างแสดงความกังวลลึกล้ำ
เมืองกว่างหลิงเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ในเขตการปกครองอวิ๋นเหอ จำนวนทหารทั่วทั้งเมืองมีเพียงพันคน และพวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงบุคคลระดับต่ำสุดในขอบเขตโคจรโลหิต
ส่วนยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งที่สุดในยามนี้ก็มีเพียงเนี่ยเถิง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อสัตว์ปีศาจแห่กันเข้ามา เกรงว่าด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของพวกเขา คงไม่อาจปกป้องประตูเมืองนี้ไว้ได้เลย!
และเมื่อแนวป้องกันพังทลาย เมืองกว่างหลิงจะตกสู่ปากเปรอะเลือดของสัตว์ปีศาจเหล่านี้โดยสมบูรณ์!
“เรายังทำอันใดได้อีก? ตระกูลของเรา ญาติสนิทมิตรสหายของเราล้วนแต่อยู่ในเมืองนี้ หากเราถอย พวกเขาจะจบสิ้นกันหมด”
เนี่ยเถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “ดังนั้น ไม่ว่าเช่นไร ศึกนี้เราไม่อาจถอยได้!”
เสียงของเขาเด็ดขาด ก้องกังวานทั่ว
“ใช่ ข้าเห็นด้วยกับความคิดของเนี่ยเถิง!”
หลี่โม่อวิ๋นก้าวออกมา เขาเพิ่งผ่านสงครามดุเดือด ร่างจึงชุ่มด้วยเลือด ให้บรรยากาศเย็นชาน่าหวาดกลัว
“ได้! ตามนั้น!”
เนี่ยเป่ยหู่พยักหน้าเห็นด้วย
คนใหญ่คนโตคนอื่น ๆ บางคนยังดูลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเช่นนี้ พวกเขาทุกคนต่างเห็นด้วย
สุดท้ายแล้ว… พวกเขาคาดการณ์ผิดพลาด พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าสัตว์ปีศาจระลอกต่อไปจะร้ายกาจน่ากลัวเพียงนี้ หากรู้ก่อน พวกเขาอาจจะมีโอกาสอพยพผู้คนในเมืองก็เป็นได้
ทว่าเห็นได้ชัดว่า มันสายเกินไปสำหรับคำพูดนี้แล้ว
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
กองทัพสัตว์ปีศาจใกล้เข้ามาทุกขณะ ปราณปีศาจร้ายกาจพวยพุ่งราวหมอกควัน ปกคลุมนภาตะวัน แผ่นดินสะท้านสะเทือนราวถูกพายุสายฟ้า
มองปราดแรกก็เห็นสัตว์ปีศาจนับร้อยพัน ด้วยรังสีที่ทำให้ทหารผู้ประจำการใกล้กำแพงเมืองหนาวเยือกทั้งกายใจ ใบหน้าแสดงความสิ้นหวัง
นี่… จะรับมือเช่นไร?
เนี่ยเถิง หลี่โม่อวิ๋น และคณะหมายมั่นจะต่อสู้จนตัวตายบนกำแพงเมือง
ขณะนี้ เหวินฉางจิ้ง นายผู้องอาจแห่งตระกูลเหวินแข้งขาอ่อนทรุด ร่างของเขาซวนเซ แทบเสียการทรงตัว!
แต่ไม่มีผู้ใดหัวเราะเยาะเขาเลย
บรรยากาศหดหู่สิ้นหวังแทบลืมหายใจปกคลุมภายใต้กำแพงเมือง
เนี่ยเถิงเม้มปาก สูดหายใจลึก และดึงหอกออกมาหนึ่งเล่ม
ดวงตาของเขาสุขุมมั่นคง
ข้างกายเขา หลี่โม่อวิ๋นปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า กำดาบในมือ ดวงตาเบิกขึ้นด้วยความมุ่งมั่น
ยามนี้เอง เสียงตวาดลั่นดังขึ้น
“พวกเจ้ามาทำอันใดกันที่นี่? บ้าไปแล้วหรือไร!?”
ใกล้กำแพงเมือง ชายวัยกลางคนร่างกำยำเดือดดาลเมื่อเห็นคณะของซูอี้เดินเข้ามาใกล้ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
เขาเคยเห็นคนรนหาที่ตาย… แต่ไม่เคยเห็นคนรนหาที่ตายที่ทำตัวเยี่ยงนี้มาก่อน!
เนี่ยเถิงและคณะต่างหันไปโดยไม่รู้ตัว และเมื่อพบชายหนุ่มในอาภรณ์เขียวดั่งหยก ผู้มีเฉยเมยราวเห็นทุกสิ่งเป็นผงธุลี พวกเขาต่างเบิกตากว้างราวไม่อยากเชื่อ
“คุณชายซู?”
เจ้าเมืองฟู่ซานร้องออกมา
“ซู… คุณชายซู เป็นท่านจริง ๆ หรือ?”
เนี่ยเป่ยหู่กล่าวเสียงสั่น สีหน้าเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น
“ฮ่า ๆๆ คุณชายซูอยู่นี่ พวกเรารอดแล้ว!”
หวงอวิ๋นชงหัวเราะอย่างปรีดา
เห็นดังนั้น หลี่เทียนหาน เหวินฉางจิ้งและคนใหญ่คนโตอื่น ๆ ต่างเบิกตากว้าง พากันแสดงสีหน้าไม่แน่ใจ
เหตุใดพวกเขาจึงจำซูอี้ไม่ได้?
ทว่าด้วยความคับข้องเก่าก่อนบางประการ ยามเมื่อเผชิญหน้าซูอี้ พวกเขาจึงยำเกรงเสียมากกว่า!
“คุณชายซู…”
เนี่ยเถิงตะลึงตาค้าง ชายหนุ่มผู้มีอุปนิสัยบึ้งตึงหลุดมาดอย่างหาได้ยาก
เมื่อหลี่โม่อวิ๋นเห็นซูอี้ เขานิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นสับสน ก้มหน้าก้มตาไม่กล่าวอันใด
คุณชายซู?
ชายวัยกลางคนร่างกำยำและเหล่าทหารรอบกายเขาต่างนิ่งอึ้ง ผู้ใดคือคุณชายซู?
เหตุใดจึงทำให้คนใหญ่คนโตออกอาการได้เพียงนั้น?
ซูอี้เมินเฉยต่อเรื่องทั้งหมดนี้ เขามายังกำแพงเมืองเพื่อพบเหล่าคนคุ้นเคย และในที่สุดก็มองเนี่ยเถิงพลางกล่าวว่า “ยังเกินคะเนไปนิดหน่อยนะ”
เนี่ยเถิงผู้บึ้งตึงมาตลอดได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็แดงเล็กน้อยโดยไร้เหตุผล
หัวใจของเขาเต้นแรง ประคองกำปั้นคำนับ “คุณชายซู ข้าไม่เคยกล้าลืมคำสอนของท่านเลย!”
“ข้าจำได้ว่าเจ้าในกาลก่อนถือข้าเป็นสหาย ไม่อยากก้มหัวให้ข้า ทว่ายามนี้เมื่อเป็นปรมาจารย์ เหตุใดจึงสุภาพนักเล่า?”
ซูอี้เย้าหยอกด้วยรอยยิ้ม
เมื่อกล่าวถึงเรื่องในกาลก่อน เนี่ยเถิงก็รู้สึกกระอักกระอ่วน พูดอย่างอับอาย “ในกาลก่อนข้านั้นยังเยาว์ไม่รู้ความ ไม่อาจหยั่งฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ล่วงเกินคุณชายซู จนยามนี้เมื่อข้าก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์จึงเข้าใจความต่างชั้นระหว่างข้าและคุณชายซู”
“ได้”
ซูอี้โบกมือ มองไปทางกองทัพสัตว์ปีศาจที่พุ่งมาจากไกล ๆ และเอ่ยว่า “หยวนเหิง ข้าจะยกให้เจ้าจัดการ”
“ขอรับ”
หยวนเหิงรับคำสั่งด้วยท่าทีอันน่าเกรงขาม