บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 609 ชิงลั่ว
ตอนที่ 609: ชิงลั่ว
ตอนที่ 609: ชิงลั่ว
ก่อนหน้านี้ ทุกคนมุ่งความสนใจไปยังซูอี้
จนกระทั่งเมื่อซูอี้เอ่ยปาก ผู้คนจึงหันไปมองหยวนเหิงโดยไม่รู้ตัว
“คุณชายซู มีสัตว์ปีศาจนับหมื่นพัน หากพี่ใหญ่หยวนเหิงรับมือพวกมันเพียงผู้เดียวคงอันตรายเกินไป ถึงเราจะมีฐานการฝึกฝนธรรมดา แต่เราเต็มใจเข้าร่วมล่าสังหารสัตว์ปีศาจปราบมารด้วยกันกับพวกท่าน!”
เนี่ยเป่ยหู่กล่าวอย่างจริงจัง
ทุกคนต่างพยักหน้า
ยามนี้ เก๋อเฉียนผู้เคยชินกับการระวังตนไว้ก่อนอดกล่าวไม่ได้ว่า “ทุกท่านอย่าห่วง กระทั่งหมื่นแสนสัตว์ปีศาจพวกนี้ ก็ยังไม่คณามือของหยวนเหิงหรอก!”
ทุกคนต่างงุนงง นี่หมายความเช่นไร?
เมื่อเห็นเช่นนั้น หยวนเหิงฉีกยิ้ม หันหลังทะยานออกสู่เวหานอกประตูเมือง
ร่างสูงใหญ่ของเขาขยายขึ้นท่ามกลางแสงจากนภา ชุดเสื้อผ้าพองลง ปราณปีศาจระเบิดออกจากร่างในทันใด
ตู้ม!
หมู่เมฆใต้ชั้นฟ้าระเบิดยุ่งเหยิง
สายตาทุกคนเบิกกว้าง และเห็นว่าเหนือร่างของหยวนเหิงปรากฏเงาร่างไร้ขอบเขตแห่งเต่ายักษ์ แผ่รังสีกว้างไกล ปิดนภาบังตะวัน
“นี่คือ…”
ทุกคนต่างหายใจลำบาก ร่างกายแข็งทื่อ
รัศมีอันร้ายกาจทำให้เหล่าทหารซึ่งอยู่ในบริเวณนั้นตัวสั่นราวเห็นเทพมารจุติ!
เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็เป็นเพียงนักรบปุถุชน เนี่ยเถิงผู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาอยู่เพียงขั้นปรมาจารย์ พวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบได้เช่นไร?
ไป๋เวิ่นฉิงยกมือขึ้น แสงสว่างสีเงินเรืองขึ้นบนอากาศ และเหล่าทหารต่างรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
ฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่และคณะต่างอดเหลือบมองไป๋เวิ่นฉิงอย่างประหลาดใจไม่ได้ พวกเขาพลันตระหนักว่านงคราญผู้สง่างามนี้ก็เป็นตัวตนผู้น่าสะพรึงกลัวเช่นกัน
“ดูนั่น!”
“สวรรค์…”
จากนั้นก็เกิดเสียงอื้ออึ้งขึ้นใกล้ประตูเมือง
ทั่วหล้าฟ้าดินไกลออกไป สัตว์ปีศาจนับแสนถูกสะกดนิ่งกับพื้น ร้องครางร่างสั่นเทา
ไม่มีตนใดกล้าลุกยืน!
“แข็งแกร่งจริง ๆ!”
แววตาของเนี่ยเถิงอับจนปัญญา
เขาไม่ต้องขยับตัว ใช้เพียงแรงกดดันก็รุนแรงทะลวงฟ้าดินสามารถสยบกองทัพสัตว์ปีศาจลงได้!
นี่เป็นวิธีการดุจเทพเซียน!
ผู้คนที่รายล้อมต่างตะลึงเสียจนไม่อาจเปล่งเสียงใด ๆ
“นายท่าน สังหารหรือปล่อยไปขอรับ?”
หยวนเหิงถามจากไกล ๆ ด้วยท่าทีจริงจัง
“ไล่ไปก็พอแล้ว”
ซูอี้กล่าว
หยวนเหิงรับคำสั่ง ดวงตาฉายประกายเจิดจ้า ระเบิดสุรเสียงตำหนิ “เหตุใดจึงยังไม่ไสหัวไปอีก!?”
ทุกพยางค์ดุดันราวอสนีบาตฟาดใส่ขุนเขาลำธาร
ไกลออกไป เหล่าสัตว์ปีศาจต่างกุลีกุจอแตกฮือราวได้รับอภัยโทษ
มาไว ไปไวกว่า!
จบแล้วหรือ?
ผู้คนที่เฝ้ามองภาพเหล่านี้ไม่อาจดึงสติกลับมาได้อยู่นาน
ยามนี้ หยวนเหิงเก็บรัศมีของตน หดตัวกลับไปอยู่ที่กำแพงเมืองข้างกายซูอี้ ท่าทางยังคงใสซื่อ
ทว่าสายตาของผู้คนที่มองมายังเขาเปลี่ยนแปรเป็นเกรงขามลึกซึ้ง
เขาสามารถไล่ฝูงสัตว์ปีศาจไปได้ในอึดใจ ความแข็งแกร่งระดับนี้ร้ายกาจยิ่งกว่าเทพเซียนเดินดินที่พวกเขารู้จักเสียอีก!
ทว่าเมื่อตระหนักได้ว่าตัวตนอันน่ากลัวเพียงนี้ยังก้มหัวให้ซูอี้เยี่ยงข้ารับใช้ หัวใจของทุกคนก็ปั่นป่วน
พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าซูอี้ในยามนี้จะแข็งแกร่งเพียงไร?
“พวกเจ้าอยู่นี่ก่อน ข้าจะไปเดินเล่นที่สันเขามารดาภูตผีหน่อย”
ซูอี้กล่าวพลางเหินสู่นภา ร่างของเขาหายลับฟ้ากว้างไปเยี่ยงสายรุ้ง
หยวนเหิง เก๋อเฉียน และไป๋เวิ่นฉิงพลันตระหนักว่าซูอี้อาจค้นพบบางสิ่ง!
“ขอบังอาจถาม นายท่านทั้งสามมีชื่อเสียงเรียงนามอันใดหรือ?”
ยามนี้ ฟู่ซานก้าวออกมาพูดคุยอย่างนอบน้อม
…
บนอากาศ
แขนเสื้อซูอี้พลิ้วไหวสง่างาม ชุดของเขากระพือพัดตามลม
แม่น้ำต้าฉางในคลองจักษุไหลเชี่ยวไร้จุดจบ และเขาก็ใช้เวลาไม่นานก่อนจะเห็นป่าท้อที่ริมแม่น้ำต้าฉาง
เขายังคงจำได้ว่าหลังจากลืมตาตื่นในเมืองกว่างหลิงได้ไม่นาน เขามักจะมายังป่าท้อแห่งนี้แต่เช้ามืดเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง
และเขายังได้พบสองปู่หลาน เซียวเทียนเชวี่ยและเซียวจื่อจิ่น ณ ที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน
‘ว่าแล้วเชียวว่าที่นี่แปลกออกไป ปราณวิญญาณที่นี่เข้มข้นกว่าที่ใด ๆ’
ซูอี้กล่าวในใจ
อันที่จริง ป่าท้อแห่งนี้ก็นับเป็นดินแดนล้ำค่ามาแต่กาลก่อน หุบเขาและสายธารบรรจบ มีปราณลอยละล่องบาง ๆ
นี่ยังเป็นเหตุให้ซูอี้เลือกฝึกตน ณ ที่นี่ในยามแรกด้วย
ยามนี้ เมื่อปราณวิญญาณค่อย ๆ ฟื้นตัวหนาแน่นขึ้นตลอดฟ้าจรดดิน ป่าท้อติดสันเขามารดาภูตผีและแม่น้ำต้าฉางแห่งนี้จึงยิ่งล้ำค่า
แน่นอน ความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงที่สุดก็คือสันเขามารดาภูตผี!
เมื่อซูอี้มองสันเขามารดาภูตผีจากไกล ๆ เขาก็เห็นว่าบนยอดเขามีหมอกหนาลงปกคลุม ปราณวิญญาณขยายเพิ่ม ซึ่งดูพิสดารพันลึกยิ่ง
พรึ่บ!
ซูอี้ร่อนลง และปรากฏกายขึ้นข้างสันเขามารดาภูตผี
ที่แห่งนั้นมีอารามร้างซอมซ่ออยู่หนึ่งแห่ง ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปสลักหินซึ่งหันหลังให้สรรพสิ่ง
นี่คืออารามที่ซูอี้บั่นหัวซากศพหยินหกสมบูรณ์
เมื่อซูอี้ปรากฏกาย เขาก็เห็นม่านหมอกปกคลุมชั้นอากาศ หนาแน่นเยี่ยงเมฆปรอท กระทั่งท้องนภายังมืดครึ้มลง
ไกลออกไปในอารามมีสัมภเวสีมากมายล่องลอย
บนยอดไม้รอบ ๆ อารามมีโคมไฟสีแดงห้อยระย้าโคมแล้วโคมเล่า ทว่าเทียนในโคมไฟกลับส่องสว่างพลางส่ายไหวในม่านหมอก
ซูอี้มองมันพลางเดินไปเบื้องหน้า
ไม่ว่าผ่านที่ใด หมอกผีก็ถอยร่นแยกซ้ายขวาราวกับกลัว
และเมื่อซูอี้กำลังย่างกรายใกล้อาราม โคมไฟสีแดงบนต้นไม้ใกล้เคียงก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
มีเสียงกระซิบออกมาจากโคมทุกดวง
“มีผู้มาเยือน!”
“ฮี่ ๆ ที่แท้ก็เป็นน้องชายสุดหล่อ”
“เขามาตรวจหาโอกาสสัมพันธ์ที่นี่หรือไม่หนอ? ไม่ดีเลย ไม่ต่างจากหาที่ตายโดยแท้”
…เสียงนั้นหวีดหวิวราววิญญาณกระซิบ
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย โบกชายแขนเสื้อของตน
โคมไฟสีแดงที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ใกล้เคียงต่างถูกโอบล้อมด้วยเปลวเพลิงโปร่งใส หมอกควันพลันหายไปในพริบตาพร้อมกับเสียง
ทั่วหล้าพลันเงียบกริบ
ซูอี้เดินหน้าต่อ หลังเข้ามายังอาราม เขาก็พบชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างบ่อน้ำแห้งที่ลานซึ่งเต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏ
ชายหนุ่มสวมชุดขาว ในมือถือเบ็ดตกปลาไม้ไผ่
ยามเมื่อซูอี้เดินเข้ามา ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้น “สหายเต๋า ไม่ว่าเจ้าจะมาที่นี่เพื่อสำรวจโอกาสสัมพันธ์หรือเพื่อปราบมารสยบสัมภเวสี โปรดรอก่อนเถิด”
เสียงของเขาทุ้มต่ำ
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง เดินมาอยู่ข้างบ่อน้ำแห้ง มองจ้องลึกลงไปที่ก้นบ่อ
ครู่ถัดมา เขาก็เบนสายตากลับ แล้วจึงกล่าวว่า “ด้วยวิธีการของเจ้า จับ ‘มัจฉาวิญญาณไท่หยิน’ ไม่ได้หรอก”
ชายหนุ่มชุดขาวตกใจ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองซูอี้
เขาเห็นชายหนุ่มผู้นี้มีใบหน้าหล่อเหลา ผิวพรรณขาวผ่อง ดวงตาลึกล้ำเยี่ยงบ่อน้ำโบราณ ยามเมื่อขยับมอง มันก็ดูราววังวนอันเคลื่อนคล้อยเชื่องช้า ชวนให้รู้สึกกดดันยำเกรง
“น่าสนใจ สหายเต๋า เจ้าฝึกฝนถึงเพียงขอบเขตรวบรวมดารา ทว่ากลับรับรู้ถึงมัจฉาวิญญาณไท่หยิน หรือจะเป็นไปได้ว่าเจ้าเป็น… ทายาทผู้หนึ่งของกลุ่มเต๋าโบราณสักแห่ง?”
ชายหนุ่มชุดขาวถามอย่างสุดสนใจ
“เปล่า”
ซูอี้เอ่ยพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ และกล่าวว่า “เจ้าเล่า? เป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณที่เพิ่งลืมตาตื่น หรือผู้ฝึกตนจากโลกอื่นกัน?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เขาก็ส่ายหน้าพร้อมตอบ “ข้าจำไม่ได้”
ซูอี้เลิกคิ้ว “ความจำเสื่อมหรือ?”
“ไม่น่าเป็นแค่ความจำเสื่อมธรรมดา”
ชายหนุ่มชุดขาวครุ่นคิดจริงจัง “ทว่าข้ายังจำเรื่องมากมายเกี่ยวกับการฝึกตนได้ แล้วก็ชื่อของข้า… ชิงลั่ว ชิงจากชิงหมิง ลั่วจากวิหคพิสดารเทียนลั่ว
“โอ้?”
ซูอี้เลิกคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าก็ถูกลบความทรงจำไปส่วนหนึ่งหรือ? หรือถูกผนึกกันเล่า?”
ชายหนุ่มชุดขาวถอนหายใจ “ตัวข้าก็คิดเช่นนั้น ทว่ายังไม่อาจหาคำตอบได้”
ซูอี้พินิจมองชายหนุ่มชุดขาวขึ้นลง พลางกล่าวว่า “เช่นนั้น เจ้าจำได้หรือไม่ว่าในยามฟื้นสติคราแรก เจ้าอยู่หนแห่งและยามใด?”
ชายหนุ่มชุดขาวครุ่นคิดสักพัก ก่อนกล่าวว่า “เหตุเกิดเมื่อครึ่งเดือนก่อน ในสุสานบนเขานี้ เมื่อข้าตื่นขึ้น ข้าก็เปิดโลงปีนออกมาจากในหลุมศพ และพบว่าตนจำที่มาไม่ได้”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจ “ข้าศึกษาหลุมศพที่ข้าถูกฝังอยู่นับครั้งไม่ถ้วน สำรวจหุบเขาแห่งนี้ทุกซอกมุม แต่ก็ไม่พบเบาะแสใด”
“มีปัญหาใดกับสถานที่ฝังโลงของเจ้าหรือไม่?”
ซูอี้อดที่จะอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มชุดขาวนามชิงลั่วผู้นี้ไม่ได้โกหก
“ไม่มี”
ชิงลั่วตอบ “มันเป็นเพียงโลงศพธรรมดาและเสื่อฟางเน่า ๆ ข้างใน ข้าใช้เคล็ดวิชาสำรวจดูแล้ว สุสานแห่งนี้น่าจะฝังร่างข้าไว้ที่นี่เมื่อสามร้อยปีก่อน เบื้องหน้าหลุมไร้ป้ายหลุมศพ เหมือนสุสานไร้นามที่เห็นได้ทั่วทุกแห่งหน”
“ครั้งหนึ่ง ข้าเคยเข้าไปในเมืองกว่างหลิงในละแวกใกล้เคียงเพื่อหาข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับหุบเขานี้ ทว่าก็พบว่าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ชีวิตของข้าเลยสักอย่าง”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ชิงลั่วก็ถูหว่างคิ้ว จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจนปัญญา “ความรู้สึกนี้ไม่ดีเสียเลย”
ซูอี้ครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าฝึกตนด้วยเคล็ดวิชาใด?”
ชายหนุ่มชุดขาว “วิชามาร ฝึกฝนวิญญาณ ถือได้ว่าเป็นได้ทั้งฝึกฝนมารและฝึกฝนวิญญาณ ทว่าข้าก็รับรู้ว่าข้าเป็นมนุษย์โดยบริสุทธิ์ หาใช่สัตว์ปีศาจไม่ ร่างกายของข้าไร้ปัญหา วิญญาณไม่อาจออกจากร่าง และย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปรเป็นสัมภเวสีได้”
ซูอี้ใคร่รู้มากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ชายหนุ่มชุดขาวตรงหน้าเขาจะมีปัญหาที่ความทรงจำ แต่อีกฝ่ายรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการฝึกตนของตัวเอง!
“เจ้าสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”
ซูอี้กล่าว
ชายหนุ่มชุดขาวตะลึงไปแล้วยิ้ม “ลืมเสียเถิด ยามนี้เมื่อข้ารู้ ก็นับว่าดีมากแล้ว อย่างน้อยมันก็ไม่ได้มีปัญหามากมาย อย่างน้อยข้าก็อาจได้… อยู่อย่างสงบสักครั้ง”
พูดจบ เขาก็เหยียดร่างคลายเส้นเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปบนฟ้า “โลกใบนี้มีนามว่ามหาทวีปคังชิง มันกำลังเปลี่ยนแปลงมหาศาล ปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินฟื้นตัวทุกวันคืน คงไม่นานก่อนแสงสว่างแห่งโลกหล้าจะมาถึง!”
เขาเบนสายตากลับออกมาด้วยความตั้งตารอ พลางกล่าวเบา ๆ ว่า “สำหรับข้า นี่คือโอกาสอันหาได้ยาก และการจะเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิในภายหน้าก็ไม่ถึงกับสิ้นหวัง”
ได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
นับแต่เวียนวัฏสงสาร นี่คือคราแรกที่เขาได้ยินผู้ใดกล่าวถึงการเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิอย่างเรื่อยเฉื่อยเพียงนี้!