บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 611 บางอย่างผิดแผก
ตอนที่ 611: บางอย่างผิดแผก
ตอนที่ 611: บางอย่างผิดแผก
หมอกผีสีดำระเหยหาย เปลี่ยนเป็นชายชุดนักพรตสีดำผู้หนึ่ง
ดวงตาของเขาแดงฉาน ใบหน้าเย้ายวน ทั่วร่างปกคลุมด้วยหมอก วิญญาณมากมายปรากฏพัวพันราวเป็นราชาผีจากนรกอเวจี
“กลัวแล้วหรือ?” นักพรตชุดดำกล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดแทง
ค้างคาวผีทั้งหมดที่ห้อยหัวอยู่ในป่าท้อลืมตาขึ้นเงียบ ๆ ราวเปลวเพลิงบนเชิงเทียนสีแดงก่ำอันหนาแน่นชวนขนลุก
“ใช่แล้ว นั่นคือผู้ฝึกตนปีศาจผู้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง มีลมหายใจอันสามารถแทงทะลุฟ้าดิน ข้าน้อยมองจากไกล ๆ แต่ยังรู้สึกหวาดกลัว” สตรีนางนั้นกล่าวเสียงสั่น
“ผู้ฝึกตนปีศาจ? หรือจะเป็นชายนามชิงลั่วที่อยู่กลางหุบเขาลงมือ?” นักพรตชุดดำเอ่ยถาม
สตรีนางนั้นส่ายหน้า “ไม่น่าใช่ชิงลั่ว”
“แปลกแท้ เมืองกว่างหลิงเป็นเพียงเมืองธรรมดา ไม่มีนักรบผู้ใดในเมืองเหยียบย่างสู่เส้นทางแห่งการฝึกตนจริงจังเลยสักผู้ แล้วจะปรากฏผู้ฝึกตนปีศาจขึ้นโดยไร้เหตุผลได้เช่นไร?”
นักพรตชุดดำขมวดคิ้ว และยามนี้ เสียงเฉยเมยอีกเสียงก็ดังขึ้น “เป็นแค่ผีน้อย รู้จักชิงลั่วผู้นั้นด้วยหรือ?”
“ผู้ใด?”
ทั้งนักพรตชุดดำและสตรีนางนั้นต่างหันไปมองต้นเสียงอย่างตกตะลึง
จากนั้นก็พบว่ามีชายในเสื้อคลุมปรากฏขึ้นข้างป่าท้อนับแต่ยามใดไม่ทราบ มือของเขาไพล่หลัง ปรากฏจากธุลีอย่างเฉยเมย
สตรีนางนั้นกล่าวเสียงแข็ง “เจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรจึงบุกรุกบ้านของข้า…”
“หนวกหู”
ซูอี้ดีดนิ้ว
ตู้ม!
ร่างของสตรีผู้นั้นระเบิดเป็นควันสีดำกระจายหายไป
ดวงตาสีแดงของชายในชุดนักพรตสีดำพลันหดตัว คนผู้นี้โหดร้ายดื้อดึง!
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ยกมือขึ้นประคองกำปั้น ค้อมหัวกล่าว “ตอบกลับสหายเต๋า ข้าและชิงลั่วเพิ่งรู้จักกันได้สักพัก เราถือว่าพอมีมิตรภาพต่อกันบ้าง”
ซูอี้แค่นเสียงหึ ก่อนกล่าวว่า “ในฐานะมนุษย์ เขาจะเป็นเพื่อนกับเจ้าได้เช่นไร ปีศาจน้อยไม่น่ามองน่ะหรือจะสร้างสัมพันธ์ฉันสหาย?”
หว่างคิ้วของชายชุดนักพรตเกิดโทสะ ทว่าสุดท้ายก็อดทนไว้และกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ดูหมิ่นสหายเต๋า โปรดอย่าดูหมิ่นข้าเช่นนี้ เพื่อไม่ให้ความสงบสุขถูกทำลาย!”
“จริงรึ?”
ริมฝีปากของซูอี้พลันเปล่งวาจา ตรงไปตรงมาราวพุทธองค์
ตู้ม!
คลื่นเสียงสีทองระเบิดออกในฉับพลัน!
ไม่ว่าที่ใดที่กวาดผ่าน ค้างคาวผีซึ่งห้อยตัวอยู่ในป่าท้อต่างร่างระเบิดโดยไม่ทันตั้งตัว
มองแวบแรก ภาพนั้นดูราวดอกไม้ไฟนับพันระเบิดออกในป่าท้อ หมอกโลหิตกำจายสีแดงเจิดจ้า
ชายในชุดนักพรตร่างแข็งทื่อ ชุดของเขาชุ่มเหงื่อกาฬ ประหวั่นพรั่นพรึง ถูกภาพนี้ทำให้กลัวโดยสมบูรณ์
ควรค่าจดจำว่าหากค้างคาวผีนับพันรวมตัวกัน พวกมันสามารถเป็นภัยถึงตายต่อผู้ฝึกตนในวิถีต้นกำเนิดได้ทุกคนบนโลก และพวกมันดุร้ายอย่างยิ่ง
ทว่าอีกฝ่ายกลับใช้เสี้ยววจีกำจัดพวกมันในคราเดียว!
“เจ้าคิดว่ายามนี้ ความสงบสุขถูกทำลายแล้วหรือไม่?” ซูอี้ถาม
ชายในชุดนักพรตมีสีหน้าเปลี่ยนไปมา ฝืนยิ้มแข็ง ๆ และโค้งตัวลงต่ำ “ก่อนหน้านี้ ข้าเป็นชายผู้มีตาทว่าไม่อาจรับรู้เทพเซียน หวังว่าผู้อาวุโสจะยอมให้ข้าแก้ตัว”
ว่าง่ายเพียงนั้นเลยหรือ?
ซูอี้อึ้งไปครู่หนึ่งและเสียความสนใจอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ข้าจะถาม เจ้าตอบ”
“ได้!”
ชายในชุดนักพรตรีบพยักหน้า “ผู้น้อยพร้อมตอบทุกสิ่ง”
“บอกที่มาของเจ้ามา”
“ผู้น้อยมาจากพรรคมารหยิน ฝึกตนมากว่าร้อยสามสิบปี และไม่นานนี้เองที่มาฝึกฝนยังสันเขามารดาภูตผีนี้…”
ชายชุดนักพรตรีบกล่าวอีกครั้ง
ซูอี้ถามอย่างแสนเบื่อ “เจ้าและชิงลั่วรู้จักกันได้เยี่ยงไร?”
ชายชุดนักพรตแสดงสีหน้าขมขื่น “ไม่ปิดบังผู้อาวุโส ครึ่งเดือนก่อน ชายหนุ่มผู้อ้างตนว่าคือชิงลั่วปรากฏขึ้นกะทันหัน กล่าวว่าหากผู้น้อยต้องการอยู่รอดก็ให้ช่วยตนทำบางอย่าง หาไม่แล้วจะฆ่าผู้น้อยเพื่อปราบมาร…”
ยามนั้นเอง ซูอี้จึงแสดงท่าทีสนใจ “เขาขอให้เจ้าทำสิ่งใด?”
“เลี้ยงค้างคาวผี”
ชายชุดนักพรตกระซิบ “จากวาจาของชิงลั่ว เขาต้องการ ‘ทรายวิญญาณทมิฬ’ ชุดหนึ่งซึ่งเป็นสมบัติที่สร้างจากลูกตาของค้างคาวผี ทว่าผู้อาวุโสควรทราบว่าการเลี้ยงค้างคาวผีต้องการวิญญาณคนเป็นจำนวนมาก ด้วยสิ้นหวัง ผู้น้อยจึงทำได้เพียงส่งศิษย์ไปขับสัตว์ปีศาจบนเขาลงไปเข่นฆ่าผู้คน…”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “เจ้ากำลังโยนความผิดให้ชิงลั่ว ยั่วยุให้ข้าไปเอาเรื่องเขาหรือไร?”
ชายชุดนักพรตตัวสั่น และรีบกล่าวว่า “ผู้น้อยไร้ความคิดเช่นนั้น!”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ไม่ว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เจ้าก็หนีความตายไม่พ้นอยู่ดี”
ชายชุดนักพรตชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหลังวิ่งหนี
ตู้ม!
อีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นเพลิงทมิฬแล่นหายไปไกล
ทว่าในพริบตา ชายชุดนักพรตก็ถูกปราณดาบฟันจนวิญญาณล่องลอย
“ตำหนักมารเทียนอวี้ขับสัตว์ปีศาจลงก่อหายนะแก่โลก รวบรวมเลือดและอาหาร แล้วพวกเจ้าพรรคมารหยินก็ฉวยโอกาสก่อเรื่องเก็บวิญญาณคนเป็น สรรพชีวิตบนโลกเป็นเหยื่อในสายตาพวกเจ้าหรือไร?”
ซูอี้กล่าวกับตนเอง
ฟิ้ว!
อึดใจต่อมา ร่างของซูอี้ก็ทะยานสู่เวหา
เหนือประตูเมืองกว่างหลิง
ยามซูอี้กลับมา ไม่เพียงมีพวกหยวนเหิงรออยู่ ทว่าฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่ เนี่ยเถิงและคนอื่น ๆ ต่างก็มารอไม่ไปไหน
“นายท่าน เจ้าเมืองฟู่ซานกล่าวว่าเขาอยากจัดงานเลี้ยงให้เรา ท่านคิดเช่นไร?”
หยวนเหิงก้าวออกมาไถ่ถาม
ซูอี้ส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ต้อง”
เขากล่าวพลางมองเหวินฉางจิ้ง จึงกล่าวถามว่า “พ่อแม่ของหลิงเสวี่ยอยู่หนใด?”
เหวินฉางจิ้งชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกระซิบ “สามวันก่อน ราชวงศ์โจวจากนครหลวงอวี้จิงมาพาเหวินฉางไท่และภรรยาไปแล้ว”
ซูอี้ขมวดคิ้วถาม “เพราะเหตุใด?”
เหวินฉางจิ้งส่ายหน้ากล่าว “ทราบเพียงว่าพวกเขาถูกเชิญไปเป็นแขกที่นครหลวงอวี้จิง”
เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ ผู้นำตระกูลเหวินดูจะพินอบพิเทาขึ้นมา
ต่างจากเมื่อก่อนลิบลับ
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็หันไปพูดกับเนี่ยเถิง “สันเขามารดาภูตผีนอกเมืองคือสถานที่รวมปราณวิญญาณ มันจะกลายเป็นสถานที่โด่งดังในภายหน้า เจ้าสามารถไปฝึกตนที่นั่นได้”
เนี่ยเถิงตอบอย่างนอบน้อม “ขอบคุณคุณชายซูที่ชี้แนะ”
ซูอี้พยักหน้าแล้วหันหลังจากไป “ไปกันเถิด ไปนครหลวงอวี้จิงกัน”
สำหรับเขา เมืองกว่างหลิงไม่มีสิ่งใดให้อาวรณ์อีก
ครานี้ที่เขากลับสู่บ้านเกิด เหมือนมาเพื่อสะสางมหาวิถีของตน
ทว่าเมื่อเขาเรียนรู้ว่าเหวินฉางไท่และฉินชิ่งถูกพาตัวไปยังนครหลวงอวี้จิงโดยราชวงศ์โจว ซูอี้ก็ตระหนักถึงความแปลกประหลาดขึ้นในทันใด
ในช่วงนี้มีข่าวลือแพร่ไปทั่วโลก ว่าราชวงศ์โจวและสำนักดาบมังกรเร้นสวามิภักดิ์ต่อตำหนักมารเทียนอวี้
ตำหนักมารเทียนอวี้มีความสัมพันธ์กับฉู่ซิว ซึ่งทำให้ซูอี้คิดว่าว่าเหวินฉางไท่และฉินชิ่งแม้ถูกราชวงศ์โจวพาตัวไป ทว่าที่จริงแล้วกลับเป็นตำหนักมารเทียนอวี้บงการอยู่หลังฉาก!
ถึงอย่างไร ทุกคนก็ทราบว่าเหวินฉางไท่และภรรยาคือพ่อตาแม่ยายของซูอี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้ซูอี้จะตัดสัมพันธ์ระหว่างกันไปแล้ว ศัตรูก็อาจไม่คิดเช่นนั้น
แต่เดิม ซูอี้เมินเรื่องนี้ไปได้
ทว่าเมื่อคิดว่าเหวินฉางไท่และภรรยาคือพ่อแม่ของเหวินหลิงเสวี่ย ซูอี้จะเมินเฉยได้เช่นไร?
…
สองวันต่อมา
นอกนครหลวงอวี้จิง
ซูอี้ยกมือขึ้นขยี้ยันต์ชิ้นหนึ่ง
ไม่นานจากนั้น นกกระจอกแสงอันปราดเปรียวก็ทะยานผ่านนภา ซูอี้โยนแผ่นโบราณที่ตนเตรียมไว้ขึ้น นกกระจอกแสงคาบแผ่นไว้ในปากก่อนจะบินจากไป
“ไปเถิด เข้าเมืองกัน”
ซูอี้ก้าวออกมา
ซูอี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าในนครหลวงอวี้จิง
เขาโตมาที่นี่นับแต่เด็ก และในยามแรกที่นครหลวงอวี้จิงนี้ เขาเอาชนะซูหงหลี่ สังหารกลุ่มมังกรเร้นของราชวงศ์โจวและโด่งดังไปทั่วหล้า
ทว่า หลังจากกลับมาครานี้ ซูอี้ก็พบสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดเจน
ในฐานะเมืองหลวงของอาณาจักรต้าโจว นครหลวงอวี้จิงในอดีตรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ มีปราณม่วงจากบูรพาและบรรยากาศตระการตา
ทว่ายามนี้ นครหลวงเต็มไปด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือก ยากจะเห็นภาพอันเปี่ยมชีวิตชีวาตามถนนและตรอกซอยอีกต่อไป
ตลอดทางมีเพียงนักรบผู้รีบเร่ง
ไม่นานจากนั้น ซูอี้ก็มายังลานซงเฟิงเปี๋ย ลึกเข้าไปในตรอกเถาฝู
ที่นี่คือที่มั่นของหอสิบทิศ ยามซูอี้กลับมาล้างแค้นยังนครหลวงอวี้จิง เขาก็เคยใช้ชีวิตที่นี่
เมื่อซูอี้มาถึง มีหลวงจีนร่างอ้วนหน้ามันเยิ้มยืนอยู่หน้าลานซงเฟิงเปี๋ย
เขาคือหลวงจีนหงจี้
ซูอี้ได้รับข้อมูลมากมายจากเขาผู้นี้
“นายน้อยซู เป็นท่านจริง ๆ!”
เมื่อเห็นซูอี้ หลวงจีนหงจี้ก็เอนร่างเข้ามากล่าวอย่างประหลาดใจ “ไม่พบกันหลายเดือน ข้าคิดว่าหลังนายน้อยไปต้าเซี่ย ท่านจะไม่กลับมาแล้วเสียอีก”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม “เข้าไปคุยกันข้างในเถิด”
กล่าวจบ เขาก็เดินเข้าไปในลานซงเฟิงเปี๋ย หยิบเก้าอี้หวายออกมานั่งสบายอุรา แล้วจึงกล่าวว่า “ท่านเองก็นั่งเถิด”
หลวงจีนหงจี้เหลือบมองพวกหยวนเหิง จากนั้นจึงนั่งลงบนม้านั่งหินข้างกายซูอี้พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายน้อยกลับมายังนครหลวงอวี้จิงครานี้ มีเหตุใดหรือ?”
ซูอี้กล่าว “ข้าอยากถามข้อมูลบางอย่างจากท่าน”
หลวงจีนหงจี้จริงจังขึ้นมาและกล่าว “นายน้อยว่ามาเถิด”
ซูอี้ถาม “ราชวงศ์โจวและสำนักดาบมังกรเร้นสวามิภักดิ์ต่อตำหนักมารเทียนอวี้แล้วหรือ?”
หลวงจีนหงจี้พยักหน้า ตอบว่า “ใช่แล้ว เจ็ดวันก่อน กลุ่มผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้เข้ามายังนครหลวงอวี้จิง และยังเป็นวันเดียวกันที่โจวจือหลี จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของราชวงศ์โจวและเจ้าสำนักดาบมังกรเร้นประกาศสู่สาธารณะว่าพวกตนสวามิภักดิ์ต่อตำหนักมารเทียนอวี้”
เขาดูคาดเดาอารมณ์ยาก กล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอารมณ์ “ตำหนักมารเทียนอวี้คือขุมอำนาจจากโลกอื่น มีผู้ฝึกตนนับร้อยที่เหยียบย่างสู่วิถีวิญญาณ!”
“สิ่งที่เรารู้ตราบยามนี้ก็คือพวกเขามีสี่ผู้พิทักษ์ เก้าอารักษ์ และสามสิบหกผู้ดูแล แค่ผู้ดูแลก็ต่างอยู่ในขอบเขตเปิดทวารแล้ว!”
“เมื่อเผชิญหน้าขุมกำลังเช่นนี้ ไม่มีขุมอำนาจใดในต้าโจวเป็นคู่ต่อกรของตำหนักมารเทียนอวี้ได้”
ซูอี้ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง
เขาถามตรง ๆ “ท่านรู้หรือไม่ว่ายอดฝีมือจากตำหนักมารเทียนอวี้ตามหาบุคคลที่เกี่ยวข้องกับข้ามานานเพียงไร?”
หลวงจีนหงจี้ตัวแข็งทื่อ ก่อนจะพยักหน้า “ใช่ น่าจะเมื่อห้าวันก่อน ภายใต้คำสั่งของตำหนักมารเทียนอวี้ ราชวงศ์โจวออกโองการสู่สาธารณะทั่วต้าโจว ว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องกับนายน้อยต้องประกาศจับ และผู้ใดก็ตามที่มอบเบาะแสอันมีค่าจะได้รับบำเหน็จ”
ซูอี้แค่นเสียง กล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เช่นนั้น ท่านรู้หรือไม่ว่าจนยามนี้ มีผู้เกี่ยวข้องกับข้าถูกพบแล้วกี่คน?”
หลวงจีนหงจี้ส่ายหน้ากล่าว “เรื่องนี้ไม่แน่ชัด ทว่าเท่าที่ข้าทราบ กลุ่มคนตระกูลเซียวจากแคว้นไป๋ นำโดยเซียวเทียนเชวี่ยถูกพาตัวมายังวังหลวงเมื่อวานนี้ ข้อหาในการจับกุมก็เพราะพวกเขาเกี่ยวพันกับนายน้อย”
ได้ยินเช่นนั้น ซูอี้ก็เงียบไป
บรรยากาศรอบข้างเองก็เงียบสงัดหดหู่
ผู้คนต่างอกสั่นขวัญแขวน