บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 613 เป็นหรือตายเลือกมา
ตอนที่ 613: เป็นหรือตายเลือกมา
ตอนที่ 613: เป็นหรือตายเลือกมา
หม้อน้ำยักษ์บรรจุภัตตาโลหิตทั้งเก้าวางอยู่ในโถงไท่อัน
บรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ทว่ายามนี้ เมื่อผู้ฝึกตนในขอบเขตไร้เบญจธัญเจ็ดคนถูกสังหารลงบนพื้น บรรยากาศคาวเลือดจึงยิ่งเข้มข้น
ในทีแรก โจวจือหลีพยายามฝืนไม่ให้สำรอก
ทว่ายามนี้เขาดีใจลิงโลด ตื่นเต้นเสียจนแทบลุกมาเต้นและกรีดร้อง
ช่วงก่อนหน้านี้ ผู้ปกครองแห่งต้าโจวหดหู่รวดร้าวนัก แต่ยามนี้เมื่อเห็นยอดฝีมือจากตำหนักมารเทียนอวี้เหล่านี้ต้องทุกข์ทน เขาจะไม่ตื่นเต้นได้เช่นไร?
“เจ้า… เจ้าเป็นใคร?”
ต้วนพั่วเจี่ยพยายามลุกขึ้นมาพูดเสียงสั่น เขากลัวสุดขีดไปแล้ว
“ต่อให้ข้าบอก เจ้าก็ไม่รู้จักหรอก”
หยวนเหิงก้าวเข้ามา ร่างสูงใหญ่เปี่ยมอำนาจกดดัน
“ในเมื่อข้าต้องตาย เจ้าก็ต้องตาย!”
ต้วนพั่วเจี่ยคำรามลั่น มือขยี้ยันต์ลับสีดำที่ดูคล้ายโซ่อย่างแรง และลำแสงสีดำก็พุ่งทะยานสู่สรวง
หยวนเหิงเมินมัน เพียงยกมือขึ้นตบใส่
ตู้ม!
ต้วนพั่วเจี่ยซึ่งบาดเจ็บสาหัสถูกฉีกกระชากเป็นชิ้น ๆ ราวกับกระดาษ เลือดเนื้อปลิวไปทั่วสารทิศ
“เจ้าคนในขอบเขตรวบรวมดาราจากมหาทวีปเทียนตูผู้นี้ไม่ได้แข็งแกร่งเลย”
หยวนเหิงลอบส่ายหน้า
โจวจือหลีตกใจยามเห็นภาพนี้
เขาสูดหายใจลึก จัดเสื้อผ้า โค้งตัวลงทันทีและกล่าวว่า “นามข้าคือโจวจือหลี จักรพรรดิแห่งต้าโจว ได้พานพบเทพเซียนทั้งสอง ทว่าข้าไม่ทราบนามแห่งท่านทั้งสอง?”
หยวนเหิงกล่าว “ข้าไม่ใช่เทพเซียนอันใดหรอก เราเพียงมาที่นี่ตามคำสั่งเท่านั้น”
โจวจือหลีตกตะลึงและถาม “เช่นนั้นข้าขอบังอาจถามผู้อาวุโส ผู้ใดหรือที่สั่งท่านมา?”
“อีกไม่นานเจ้าจะพบเอง”
หยวนเหิงยิ้ม แล้วหันมองออกไปนอกโถง
โจวจือหลีระงับความสงสัยในใจ แล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ตำหนักมารเทียนอวี้นี้ยังมียอดผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอีกหนึ่งผู้ซ่อนอยู่ในวังของข้า เขา…”
ยามเมื่อกล่าวถึงจุดนี้ สุรเสียงกัมปนาทพลันระเบิดออกมานอกโถงหลัก…
“ผู้ใดล่วงล้ำเข้ามาในเขตของตำหนักมารเทียนอวี้ของข้า? ออกมานี่!”
ห้องโถงพลันสั่นไหว ฝุ่นทรายร่วงโรย โต๊ะเก้าอี้เคลื่อนคลอน
“จบแล้ว เจ้าปีศาจเฒ่าอยู่นี่แล้ว!”
ร่างของโจวจือหลีแข็งทื่อ ใบหน้าซีดขาว ความตื่นเต้นปรีดาในใจถูกกวาดทิ้ง ทั่วร่างชาราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
ในขณะเดียวกัน เหนือนภานอกโถงหลัก มีกลุ่มแสงหลบหนีทะลวงผ่านอากาศว่างเปล่า
ผู้นำคือชายร่างผอมในชุดแดง ถือแส้นักพรตในมือและเถลิงเกี้ยวขนนกเพลิงบนหัว
ฮั่วหงไถ!
หนึ่งในผู้เฒ่าของตำหนักมารเทียนอวี้ มหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ
และนอกจากฮั่วหงไถยังมีผู้ฝึกตนในขอบเขตเปิดทวารอีกสี่คน สามบุรุษหนึ่งสตรี
เมื่อพวกเขาเห็นสถานการณ์ในโถง สีหน้าของพวกฮั่วหงไถพลันซีดขาวเหนือใดเปรียบ บรรยากาศรอบตัวพลันกดดันเย็นยะเยือก
“ฝีมือเจ้าหรือ?”
ดวงตาของฮั่วหงไถเย็นเฉียบเมื่อมองมายังหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิง
“ตราบใดที่ตาไม่บอด เจ้าก็คงเห็นแล้ว”
หยวนเหิงฉีกยิ้ม
ไป๋เวิ่นฉิงอดเตือนเขาไม่ได้ “อย่าโผงผาง เจ้าไม่มีอำนาจพอจะต่อกรวิถีวิญญาณได้”
หยวนเหิงชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มอย่างขมขื่น “ครานี้เจ้าคิดจะพูดเรื่องอะไรกันแน่?”
ไป๋เวิ่นฉิงตอบอย่างไร้อารมณ์ “ข้าเกรงว่าเจ้าจะเหลิง!”
หยวนเหิงรู้สึกเขิน
เมื่อเห็นทั้งสองหัวร่อต่อกระซิกกันเอง เมินพวกฮั่วหงไถไปสนิท โจวจือหลีก็แทบอึ้งสนิท
เมื่อมองพวกฮั่วหงไถอีกครา สีหน้าของพวกเขาก็แย่ลงเรื่อย ๆ “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นผู้ใดมาจากที่ใด แค่เพราะท่าทีโอหังของพวกเจ้า ข้าจะกลืนเจ้าทั้งเป็นในวันนี้!”
วาจาของฮั่วหงไถเย็นชา พูดเน้นคำต่อคำ
ตู้ม!
เขาก้าวออกมาบนอากาศ ร่างเต็มไปด้วยเพลิงปีศาจแผดเผา อำนาจในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณกวาดทะลักเกินต้านรับ
ผู้ฝึกตนในขอบเขตเปิดทวารอีกสี่คนแยกย้ายคุมเชิงล้อมทั่วทิศ ป้องกันไม่ให้หยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงหลบหนี
“ตาย!”
ฮั่วหงไถสะบัดแขนเสื้อไปบนอากาศ
รอยประทับฝ่ามือเพลิงปีศาจขนาดราวสิบจั้งก่อตัว มีเคล็ดพลังวิถีชั่วร้ายรุนแรงประทับอยู่ น่าประหวั่นไร้ขอบเขต
โจวจือหลีตกใจจนคุมตนเองไม่ได้ ตกตะลึงทั้งใจกาย กระทั่งคิดต่อต้านยังไม่ได้
ทว่ายามนี้เอง…
ร่างผอมสูงร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ กดฝ่ามือของเขาลง
ในท่าทางอันแสนเรียบง่ายนี้ ปรากฏว่ารอยประทับฝ่ามือเพลิงมารขนาดสิบจั้งกลับถูกบดขยี้ราวเต้าหู้ ระเบิดเปรี้ยงพังทลาย
“นี่มัน…”
โจวจือหลีเกือบคิดว่าตนเพ้อเจ้อ
ไกลออกไป ผู้ฝึกตนในขอบเขตเปิดทวารทั้งสี่จากตำหนักมารเทียนอวี้ต่างก็ตะลึงราวถูกฟ้าผ่าเช่นกัน
การโจมตีของผู้เฒ่าฮั่วถูกต้านรับ?
เป็นไปได้เช่นไร!
นี่คืออำนาจของวิถีวิญญาณนะ!
เปลือกตาของฮั่วหงไถกระตุกรุนแรง
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ลงมือ ร่างผอมสูงนั้นก็ก้าวเข้ามาหา มือขวาเพรียวขาวเอื้อมเข้ามากดลงเบา ๆ
“ไสหัวไป!”
ฮั่วหงไถแผดเสียงลั่น
เพลิงปีศาจของเขาร้ายกาจรุนแรง แขนของเขารวบรวมคลื่นพลังร้ายแรง ตราปีศาจแปลกประหลาดควบแน่นขึ้นที่ระหว่างนิ้ว และถูกกระแทกออกไปอย่างแรง
ตู้ม!
ท่ามกลางสายตาตื่นกลัวทุกคู่ ตราปีศาจของฮั่วหงไถระเบิดเป็นจุณภายใต้ฝ่ามือโบกพัด ไม่อาจต้านรับได้แม้เพียงหนึ่งการโจมตี
ตามด้วยเสียงระเบิดถี่ทึบดังสนั่น
เขาเห็นมือที่ยกขึ้นของฮั่วหงไถถูกบิด แขนทั้งสองราวถูกค้อนเทพทุบขยี้ เลือดเนื้อและกระดูกแหลกเละทั่วทุกตารางนิ้ว
สุดท้าย เมื่อฝ่ามือนั้นประทบลงบนอกของฮั่วหงไถ ทั่วร่างของเขาก็สะท้านรุนแรง ก่อนจะระเบิดเปรี้ยงจากกัน!
ฟิ้ว!
ท่ามกลางสายเลือดสาดกระเซ็น วิญญาณของฮั่วหงไถหนีออกมาเป็นสิ่งแรก
ทว่าก่อนจะมีเวลาให้หลบหนี เขาก็ถูกฝ่ามือฉุดกระชาก และด้วยแรงจากฝ่ามือนั้น วิญญาณของฮั่วหงไถก็ระเบิดเป็นจุณเช่นกัน
พ่ายแพ้ราบคาบ!
ทั้งหมดนี้แม้จะกล่าวเหมือนช้า แต่กลับเกิดขึ้นจริงในพริบตาเดียว
ร่างผอมสูงนั้นปรากฏขึ้น และด้วยหนึ่งฝ่ามือ เขาก็ได้ทำลายรอยประทับฝ่ามือเพลิงมารสิบจั้ง จากนั้นก็ก้าวเข้ามา อีกหนึ่งฝ่ามือทำลายร่างมหาปราชญ์สวรรค์ฮั่วหงไถ สังหารวิญญาณของเขา!
ภาพนี้ช่างอุกอาจ ร้ายกาจและแข็งแกร่งเกินต้าน ทำให้ผู้ชมตกตะลึงในทันใด
ผู้ฝึกตนปีศาจทั้งสี่ในขอบเขตเปิดทวารตกใจกลัวจนกระทั่งคุมสิ่งใดไม่อยู่
ใครจะคิดว่าฮั่วหงไถซึ่งมีระดับการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจะถูกปราบลงเร็วเยี่ยงนี้?
“แข็งแกร่งยิ่งนัก!!!”
โจวจือหลีไม่อาจบรรยายอารมณ์ของเขาในยามนี้เป็นคำได้อีกต่อไป ร่างของเขาชะงักค้างกับที่ นี่คือตัวตนร้ายกาจอันใด อีกฝ่ายปราบปีศาจเฒ่าในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ง่ายเหลือเกิน?
มีเพียงหยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงซึ่งดูเฉยเมย ไม่ตกใจ
“คุณชายเป็นผู้ใดกัน เหตุใด… เหตุใดจึงต้องการเป็นศัตรูกับตำหนักมารเทียนอวี้ของเรา?”
ยามนี้ ผู้ฝึกตนปีศาจผู้หนึ่งในขอบเขตเปิดทวารถามขึ้นด้วยเสียงสั่น ๆ
ซูอี้เมินเขาและโบกแขนเสื้อ
ปราณดาบไร้สีสี่สายคำรณ
ฉับ! ฉับ! ฉับ! ฉับ!
ในพริบตา ผู้ฝึกตนในขอบเขตเปิดทวารทั้งสี่ต่างถูกบั่นหัวทันที
ไม่มีความต่างจากการปัดฝุ่นบนร่างอย่างสบายใจ
และยังเป็นครานี้เองที่ซูอี้หันมามองโถงไท่อัน และถามว่า “ทุกอย่างจบแล้วหรือ?”
หยวนเหิงกล่าวอย่างจริงจัง “รายงานนายท่าน ไม่มีผู้ใดเหลือรอดขอรับ”
“จ… เจ้าคือ… ซู… ซู…”
โจวจือหลีเบิกตากว้าง
เพราะยามนี้ ในที่สุดก็เห็นรูปลักษณ์ของซูอี้ ทว่าเขาแทบไม่เชื่อสายตา ตกใจจนจะพูดยังทำไม่ได้
“กระไรเล่า ไม่ได้พบข้ามานาน จำข้าไม่ได้อีกแล้วหรือ?”
ซูอี้อดหัวเราะให้สภาพคล้ายห่านของโจวจือหลีไม่ได้
“คุณชายซู เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ!?”
โจวจือหลีอุทานอย่างตื่นเต้น เสียงสั่นเครือปนสะอื้น กระทั่งดวงตายังรื้นน้ำ
จักรพรรดิหนุ่มแห่งต้าโจวเสียการควบคุมอารมณ์สิ้น เขารู้สึกเพียงว่าความโศกเศร้า อึดอัดและคับแค้นใจที่สั่งสมมานานไม่อาจถูกกักเก็บในใจได้อีกต่อไป
เมื่อเห็นสภาพของอีกฝ่าย ซูอี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวว่า “หยวนเหิง เจ้าดูแลเขาที”
จากนั้น ร่างของเขาก็วูบไหวหายไป
ไม่กี่อึดใจถัดมา ซูอี้ก็เข้าไปลึกในวังหลวง
ที่นี่มีเพียงหนึ่งสันเขาเดียวดายเปี่ยมปราณวิญญาณตั้งอยู่ นามว่าภูเขามังกรเร้น ซึ่งเป็นสถานที่พำนักและฝึกฝนของกลุ่มมังกรเร้นแห่งราชวงศ์โจว
ก่อนหน้านี้ ซูอี้สังเกตเห็นว่าพวกฮั่วหงไถทะยานออกมาจากภูเขามังกรเร้นสู่โถงใหญ่
ยามนี้ ฮั่วหงไถผู้แข็งแกร่งที่สุดถูกสังหารลง
เมื่อซูอี้มาที่นี่ เขาเหลือเพียงหนึ่งจุดประสงค์… นั่นคือช่วยคน!
ลึกเข้าไปในภูเขามังกรเร้นมีคุกขนาดยักษ์
มีเส้นทางคดเคี้ยวหนึ่งเดียวเท่านั้นที่นำไปสู่คุก
แม้ว่าซูอี้จะมาที่นี่เป็นคราแรก ด้วยจิตสัมผัสอันแข็งแกร่งของเขา ชายหนุ่มพลันรับรู้เส้นทางกระจ่างแจ้ง
ในขณะที่กำลังเดิน เขาก็ยกมือขึ้นเล็กน้อย
เสี้ยวปราณดาบพุ่งหายสู่อากาศธาตุ
ฉับ!
มีแท่นฝึกฝนอยู่ที่ข้างทางห่างออกไปร้อยจั้ง ร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิฝึกตนอยู่ ทว่ารูโหว่เปื้อนเลือดก็ปรากฏขึ้นบนคอของเขาอย่างเงียบ ๆ
ทันใดนั้น ศีรษะของเขาก็เอียงพับสิ้นใจ
นี่คือผู้ฝึกตนในขอบเขตไร้เบญจธัญ ทั้งยังเป็นหนึ่งในเทพเซียนเดินดินแห่งต้าโจว ทว่ายามถูกสังหาร กลับไร้แม้แต่เวลาจะตอบสนอง
เมื่อร่างของซูอี้พลิ้วผ่าน เขาไม่แม้แต่จะชายตามอง
ไม่นานนัก เส้นทางตรงหน้าก็สว่างไสวขึ้นในพลัน พื้นที่ใต้ดินใหญ่ยักษ์ซึ่งเป็นจุดคุมขังนักโทษปรากฏ คบเพลิงสำริดถูกจุด ณ หน้าห้องขังแต่ละห้อง
นี่คือทางเข้าคุก
มีเสียงหอบถี่และบางเบาชวนรวดร้าวใจ
จากจิตสัมผัสของซูอี้ เขาเห็นชุดกระโปรงกึ่งมองทะลุวางอยู่บนพื้นหน้าคุก และสตรีโฉมงามผู้หนึ่งกำลังเคลื่อนไหวขึ้นลงอยู่บนร่างชายผู้หนึ่ง
ดวงตาเปี่ยมดาราของสตรีโฉมงามหรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากสีชาดปรืออ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความเมามาย
ทว่าดวงตาของชายใต้ร่างนางเหลือกถลน ร่างแข็งทื่อ พลังชีวิตถูกสูบอย่างรวดเร็ว สีหน้ามืดหม่นลง
“เจ้าทำเรื่องเช่นนี้เพื่อเก็บเกี่ยวหยาง หนุนเสริมหยิน ขโมยพลังชีวิตในที่แบบนี้ ไม่รู้สึกละอายหรือไร?”
ซูอี้กล่าว
ด้วยวาจานั้น ร่างบอบบางของสตรีผู้นั้นพลันแข็งทื่อ ร่างพลิกกลับ เมื่อหลบไปไกล มีดสั้นสีฟ้าสองเล่มก็ปรากฏในมือของนางอย่างตื่นตัว
ความไวปฏิกิริยาของนางไม่ได้แย่ และนางไม่แม้แต่จะสนใจแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยชุดเสื้อผ้าที่ส่วนใหญ่ถูกถอดหมด นางปล่อยตนเองเปลือยกายเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้เจนจัดผ่านสงครามนับร้อย
ทว่าเมื่อร่างสะโอดสะองงดงามของสตรีผู้นั้นแตะถึงพื้นและยืนอย่างมั่นคง ปราณดาบสายหนึ่งก็จ่อที่คอของนาง
ทันใดจากนั้น เสียงอันเฉยเมยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหูนาง
“เป็นหรือตายเลือกมา”