บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 614 หากสวรรค์ลิขิตให้ตาย นั่นจะทำให้พวกมันบ้าคลั่ง
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 614 หากสวรรค์ลิขิตให้ตาย นั่นจะทำให้พวกมันบ้าคลั่ง
ตอนที่ 614: หากสวรรค์ลิขิตให้ตาย นั่นจะทำให้พวกมันบ้าคลั่ง
ตอนที่ 614: หากสวรรค์ลิขิตให้ตาย นั่นจะทำให้พวกมันบ้าคลั่ง
แผงตุ่มขนลุกปรากฏขึ้นบนผิวขาวราวหิมะของสตรีโฉมงาม
นางกล่าวโดยไม่ลังเล “ขอเพียงให้ข้ามีชีวิตต่อ ข้าผู้นี้เห็นด้วยได้ทุกสิ่ง!”
ยามนางกล่าวเช่นนั้น ดวงตาก็มองซูอี้ จากนั้นจึงเห็นว่ามีเพียงหนึ่งชายหนุ่มในชุดคลุมอยู่เบื้องหน้า และอดรู้สึกเคลือบแคลงไม่ได้
ชายผู้นี้ร้ายกาจเพียงไร?
เหตุใดผู้เฒ่าฮั่วและคนอื่น ๆ จึงทำได้เพียงมองเขาเดินเข้ามาในคุกนี้?
หรือจะเป็นเพราะ… ผู้เฒ่าฮั่วและคนอื่น ๆ ถูกจัดการสิ้นแล้ว?
เมื่อคิดเช่นนี้ สตรีโฉมงามก็ร่างสั่น มองซูอี้อย่างหวาดกลัวลึกล้ำ
“สวมอาภรณ์เจ้าเสีย”
ซูอี้เก็บปราณดาบของเขา
สตรีโฉมงามชะงักค้างไปชั่วขณะหนึ่ง รีบร้อนสวมอาภรณ์ให้เรียบร้อย และจึงกระซิบ “เจ้าต้องการให้ข้าทำอันใด?”
นางดูถอดใจเชื่อฟังโดยสมบูรณ์
“นอนไปสักพัก”
ซูอี้กล่าว
“เอ่อ… หือ?”
พวงแก้มสตรีโฉมงามขึ้นสีเรื่อกะทันหัน
ตู้ม!
อึดใจต่อมา นางก็หมดสติร่วงลงกระทบพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ทำตนเองโดยแท้”
ซูอี้ส่ายหน้า ไม่สนใจกระทั่งจะมอง
ผู้ฝึกตนปีศาจซึ่งฝึกตนโดยเก็บเกี่ยวหยางหนุนเสริมหยินเช่นนี้ไม่รู้ว่ามีชายผ่านมือมามากเพียงไร แค่คิดก็ทำให้ซูอี้ขยะแขยง เขาจะมองมันได้เช่นไร?
ชายหนุ่มเดินตรงไปยังห้องขังห้องแรก
เมื่อเห็นกลุ่มคนทุกเพศและวัยหมดสติเต็มพื้น ซูอี้ก็จำได้เพียงคู่ปู่หลาน เซียวเทียนเชวี่ยและเซียวจื่อจิ่นเท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือคนจากตระกูลเซียว
ซูอี้ปลดปล่อยจิตสัมผัสออกตรวจตราร่างของเซียวเทียนเชวี่ย เซียวจื่อจิ่นและคนอื่น ๆ ทีละคน
ไม่นานนัก เขาก็โล่งใจ
ก่อนหน้านี้ เขากังวลว่าพวกผู้ฝึกตนปีศาจจากตำหนักมารเทียนอวี้จะฝังวิชาลับอันเหี้ยมโหดเข้าใส่ร่างพวกเซียวเทียนเชวี่ยเพื่อบีบบังคับพวกเขา
ทว่ายามนี้ ดูเหมือนสิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้น
“ดูเหมือนเจ้าพวกตำหนักมารเทียนอวี้จะไม่ใส่ใจตัวประกันจริงจังเลยสักนิด หรืออาจไม่ได้คาดว่าข้าจะมาเร็วเพียงนี้…”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
นี่เทียบได้กับการสังหารศัตรูโดยลอบโจมตี
หาไม่ หากอีกฝ่ายเตรียมการอย่างรอบคอบ ปฏิบัติการช่วยเหลือครานี้คงไม่ราบรื่นนัก
ต่อมา ซูอี้ก็ตรวจสอบห้องขังอื่น ๆ
แล้วก็เห็นบุคคลคุ้นตาคนแล้วคนเล่า
เช่นเจิ้งเทียนเหอ ผู้นำตระกูลเจิ้งแห่งมหานครกุ่นโจว และลูกสาวของเขาเจิ้งมู่เหยา
จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงเฉินเจิ้ง และองครักษ์ของเขาจางอี้เหริน…
เมื่อเห็นสหายเก่าเหล่านี้ ในใจของซูอี้ก็มีจิตสังหารอันเกินควบคุมปรากฏขึ้นเล็กน้อย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเพื่อล้างแค้นเขา ฉู่ซิวทำทุกสิ่งที่ทำได้จริงแท้
การล้างแค้นเช่นนี้ วิธีการของซูอี้ในการรับมือง่ายดายนัก นั่นคือตัดรากถอนโคน
หลังจากค้นทุกห้องขัง ซูอี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เพราะคุกแห่งนี้ไร้เงาของเหวินฉางไท่และฉินชิ่ง!
ซูอี้เดินมาหาสตรีโฉมงามผู้หมดสติอยู่บนพื้น “ลุกขึ้นมาคุยกัน”
สุรเสียงนั่นราวอสนีบาต ทำให้วิญญาณของโฉมงามสั่นไหว ทำให้นางตื่นจากการหมดสติ รีบลุกขึ้นจากพื้นและกระซิบ “สหายเต๋ามีคำสั่งใด?”
“เหวินฉางไท่กับฉินชิ่งอยู่หนใด?”
ซูอี้ถาม
สตรีโฉมงามตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนดวงตาของนางจะเบิกกว้างกะทันหันราวตระหนักถึงบางสิ่ง กล่าวว่า “เจ้า… เจ้าคงไม่ใช่ซูอี้หรอกกระมัง!?”
“เพ้อเจ้ออีกเพียงคำเดียว ข้าจะฆ่าเจ้า”
ซูอี้ดูเฉยเมย
เมื่อถูกนัยน์ตาลึกล้ำจ้องมอง สตรีโฉมงามก็ร่างสะท้าน รีบกล่าวว่า “ไม่ปิดบังท่าน เมื่อวานซืนที่ผ่านมา ผู้เฒ่าฮั่วหงไถให้ผู้ใต้บัญชาสองคนมานำพวกเขาไปยังหุบเขามารบุปผาโลหิตซึ่งกล่าวกันว่าถูกส่งต่อให้ผู้เฒ่าถูไป๋เจิ้น”
ซูอี้กล่าว “ในคุกนี้มีผู้คนตั้งมากมาย ไฉนจึงส่งไปเพียงพวกเขาทั้งสอง?”
สตรีโฉมงามกระซิบ “เพราะผู้เฒ่าฮั่วหงไถเคยค้นวิญญาณของนักโทษที่จับตัวมาได้เหล่านี้ และในที่สุดก็พบว่าสามีภรรยาคู่นี้มีค่าที่สุด”
ซูอี้เข้าใจแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฮั่วหงไถตระหนักว่ามีเพียงเหวินฉางไท่และฮูหยินของเขาเท่านั้นที่มีโอกาสใช้บังคับเขาได้สูงสุด!
ซูอี้กล่าว “เท่าที่ข้ารู้ ยอดฝีมือจากตำหนักมารเทียนอวี้ของพวกเจ้าออกมาจากผนังกั้นมิติใต้หุบเขามารบุปผาโลหิต ใช่หรือไม่?”
สตรีโฉมงามลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงพยักหน้า “ถูกต้อง”
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ยื่นมือออกไปบีบคอสตรีคนงาม
“ไม่ใช่ว่าเจ้าตกลงแล้วหรือ ขอเพียงข้าผู้นี้ร่วมมือ ข้าจะได้รับการไว้ชีวิต?”
สตรีโฉมงามตกใจ
“อย่าห่วงไป เจ้ายังมีประโยชน์ ข้าไม่ฆ่าเจ้าหรอก”
ซูอี้กล่าว ออกแรงบีบมือ สตรีโฉมงามหมดสติไปอีกครั้ง จากนั้นซูอี้จึงแบกนางออกไปจากคุกใต้ดิน
…
กลางภูเขามังกรเร้น
ภายในโถงอันโออ่า
ที่แห่งนี้แต่เดิมเคยถูกใช้โดยผู้เฒ่าฮั่วหงไถ หนึ่งในผู้นำของตำหนักมารเทียนอวี้
ยามซูอี้มาถึง หลังจากค้นหาช่วงสั้น ๆ เขาก็พบน้ำเต้าโลหิตใบหนึ่ง
ขนาดของน้ำเต้าโลหิตนั้นราวฝ่ามือ ใสมองทะลุราวคริสตัล มีอักขระเต๋าสีทองประทับอยู่เป็นเส้น ๆ มองปราดแรกก็ให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา
“น้ำเต้าวิญญาณดี เติบโตบนเถาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สีทอง ทว่ากลับถูกหล่อหลอมเป็นสมบัติวิเศษอันชั่วร้ายโหดเหี้ยม ช่างสิ้นเปลืองของดีจริงแท้”
ซูอี้เหลือบมองปราดเดียวก็รู้ว่าน้ำเต้านี้คือสมบัติวิญญาณแห่งมหาวิถีตามธรรมชาติ เติบโตบนเถาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สีทอง มีจังหวะวิถีแห่งยุคทองประทับอยู่บนเถาเหล่านั้นตามธรรมชาติ
ในสายตานักดาบในวิถีวิญญาณ สมบัติชิ้นนี้เป็นสุดยอดวัตถุดิบสร้างสมบัติน้ำเต้าบ่มศาสตราเพื่อเก็บดาบ บ่มเพาะมันในจังหวะวิถีแห่งยุคทองเพื่อพัฒนาคุณภาพของดาบวิญญาณ
ทว่ายามนี้ สมบัติวิญญาณอันแสนหายากเกินไขว่คว้านี้ถูกนำไปสร้างเป็นสมบัติปีศาจแทน!
เมื่อซูอี้หยั่งจิตด้วยจิตสัมผัส เขาก็เห็นหมอกโลหิตหมุนวนอยู่ในน้ำเต้าทอง เงาร่างสีเลือดหลายร้อยร่างปรากฏขึ้นอย่างรางเลือนในนั้น
บรรยากาศของร่างสีเลือดแต่ละร่างดุร้ายมืดมน ราวกับภูตผีจากนรก
เมื่อเห็นภาพนี้ ซูอี้ก็อดแสดงสีหน้ารังเกียจไม่ได้
นี่คือวิญญาณโลหิต!
วิญญาณร้ายซึ่งถูกบ่มเพาะจากวิญญาณของเด็กหญิงชาย เกิดจากการหลอมภัตตาโลหิตด้วยเคล็ดวิชาลับ เพื่อให้วิญญาณโลหิตเปลี่ยนร่างได้ต่อเนื่อง
วิธีการเลี้ยงวิญญาณโลหิตนั้นโหดร้ายนองเลือดที่สุด และน่าสลดใจยิ่งนัก
ในเก้ามหาแดนดิน มีเพียงขุมพลังฝั่งมารนอกรีตเท่านั้นที่จะใช้วิชาชั่วร้ายน่ารังเกียจเพียงนี้
มีวิญญาณโลหิตอยู่เก้าร้อยตนในน้ำเต้าทองตรงหน้าซูอี้ ครึ่งหนึ่งเป็นหญิง อีกครึ่งเป็นชาย กลิ่นอายของแต่ละตนไม่ได้อ่อนแอไปกว่านักรบมือฉมังเลย
“ต้องมีผู้ใดในโลกถูกสังหารอีกกี่คน และภัตตาโลหิตมากเพียงไรต้องถูกหล่อหลอมเพื่อบ่มเพาะวิญญาณโลหิตมากมายเพียงนี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ?”
ซูอี้ไม่ใช่นักบุญ ทว่ายามเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ คิ้วของเขาก็ยังขมวดย่น
เขายังคงจำหายนะที่เกิดกับต้าโจวในระหว่างนี้ได้ สัตว์ร้ายสัตว์ปีศาจเดินทั่วหล้า สร้างพิษภัยร้ายทั่วโลกา!
และตำหนักมารเทียนอวี้ก็ทำเรื่องทั้งหมดนี้เพียงเพื่อจะเลี้ยงวิญญาณโลหิตเหล่านั้น…
“หากสวรรค์ลิขิตให้ตาย นั่นจะทำให้พวกมันบ้าคลั่ง ขุมอำนาจปีศาจเล็ก ๆ นอกรีตจะทำทุกอย่างตามอำเภอใจในต้าโจวนี้ได้จริง ๆ หรือ?”
ซูอี้พึมพำกับตนเอง ดวงตาลึกล้ำเย็นชา
เขาไร้ความทะเยอทะยานอยากช่วยเหลือค้ำชูโลกหล้า แต่ในเมื่อเหตุการณ์นี้ทำให้ขุ่นเคือง เขาจึงไม่คิดอันใดหากจะสั่งสอนบทเรียนอันไม่อาจลืมให้ตำหนักมารเทียนอวี้สักหน่อย!
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ซูอี้ก็สร้างตราประทับขึ้นบนฝ่ามือ กดเข้าใส่น้ำเต้าทอง
ตู้ม!
เหล่าวิญญาณโลหิตในน้ำเต้าคำราม เสียงเก้าร้อยเสียงดังหวีดแหลม
จากนั้น ฝ่ามือและนิ้วของซูอี้พลันเปล่งแสงสาดส่อง เกิดเป็นฝ่ามือมหามรรคชำระจิตแห่งวิถีพุทธ
จากนั้น เขาก็เห็นว่าเหล่าวิญญาณโลหิตในน้ำเต้าทองต่างถูกแสงทองพุทธธรรมอันทรงพลังกวาดล้างเสียสิ้นในพริบตา!
น้ำเต้าทองที่แต่เดิมเป็นสีเลือดเองก็ถูกฟื้นสีเดิมของมันกลับมา
หลังจากทำเรื่องทั้งหมดนี้ ซูอี้ก็หันหลังจากไป
เขาตั้งใจจะไปเดินเล่นที่หุบเขามารบุปผาโลหิตเสียหน่อย!
…
ยามรัตติกาลร่วงโรย ราชวังมโหฬารถูกปกคลุมโดยความมืดมิด
ทว่า ราชวังและเหล่าศาลายังคงสว่างไสว ทัพหลวงแข็งขันเดินเวรยามทั่วเขตราชฐาน
โถงใหญ่
สว่างไสวเยี่ยงกลางวัน
เซียวเทียนเชวี่ย เซียวจื่อจิ่น เฉินเจิ้ง จางอี้เหรินและคนอื่น ๆ ที่หมดสติต่างลืมตาตื่นทีละคนสองคน
“ทุกท่าน ในที่สุดก็ตื่นแล้ว”
โจวจือหลีลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกรพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฝ่าบาท!”
เซียวเทียนเชวี่ยตกใจ กล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่านช่วยข้าไว้หรือ?”
ทุกผู้ต่างหันมองโจวจือหลี
โจวจือหลีส่ายหน้ากล่าวว่า “เหมือนเช่นเจ้า ข้าก็อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ ตนเองก็ช่วยไม่ได้ ไม่ต่างจากเป็นนักโทษเลย”
ยามวาจาเหล่านี้ถูกเอ่ย ทุกผู้ต่างจนปัญญา
ที่แห่งนี้คือราชสำนัก จะมีผู้ใดอื่นในต้าโจวซึ่งสามารถช่วยเหลือคนเหล่านี้จากตำหนักมารเทียนอวี้ได้?
ยามนี้ เซียวจื่อจิ่นอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างระมัดระวัง “หรือจะเป็น… ฝีมือคุณชายซู?”
คุณชายซู!
เมื่อได้ยินนามนี้ ไม่ว่าจะเป็นเซียวเทียนเชวี่ย เฉินเจิ้ง จางอี้เหรินหรือผู้ใดต่างเหม่อลอยโดยช่วยไม่ได้
สมองของทุกคนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงชายหนุ่มผู้ซึ่งเคยใช้หนึ่งดาบสยบต้าโจวราวเทพเซียน
“เป็นไปไม่ได้ กล่าวกันว่าคุณชายซูจากไปสู่ต้าเซี่ยและไร้ข่าวคราวจนยามนี้”
เซียวเทียนเชวี่ยครุ่นคิด “ยิ่งกว่านั้น ตำหนักมารเทียนอวี้แข็งแกร่งสุดขั้ว หากเป็นคุณชายซู ข้าเกรงว่า…”
เขาไม่ได้พูดอันใดอื่น ทว่าความหมายก็ถูกเปิดเผยออก
ทุกคนพยักหน้า
ในความเข้าใจของพวกเขา ซูอี้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยามนั้นมีเพียงฐานการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญ แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งในใต้หล้า ทว่าฐานฝึกฝนของชายหนุ่มแย่กว่าตำหนักมารเทียนอวี้หลายคุม
ต้องทราบว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักมารเทียนอวี้คือมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!
“เป็นคุณชายซูจริง ๆ”
โจวจือหลีกล่าวอย่างจริงจัง “ยามนี้เขาเทียบกับเมื่อก่อนไม่ได้เลย เขาฆ่าคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ง่ายดายราวดายหญ้า”
ทุกคน “…”
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นมึนตึงกะทันหัน ทุกผู้ตะลึง เห็นได้ชัดว่าตกใจ
โจวจือหลีมองสีหน้าอึ้งค้างของทุกผู้และอดทอดถอนใจไม่ได้ เหตุใดเขาจึงไม่เป็นเช่นนี้ยามเห็นซูอี้สังหารฮั่วหงไถกันหนอ?
“แล้วพวกคุณชายซูเล่า?”
เซียวจื่อจิ่นถาม เสียงของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ทำลายความเงียบในห้องโถง
ทุกผู้ต่างหันมองโจวจือหลีเช่นกัน
“หลังจากที่คุณชายซูช่วยเราทั้งหมด เขาก็ออกเดินทางต่อไปยังหุบเขามารบุปผาโลหิตแล้ว”
โจวจือหลีกล่าวเบา ๆ
หุบเขามารบุปผาโลหิต!
นั่นมันรังของตำหนักมารเทียนอวี้!
ยามนี้ทุกผู้ต่างประหลาดใจ และความคิดหนึ่งก็ปรากฏในใจทุกผู้โดยพร้อมเพรียง…
“คุณชายซูมาที่นี่เพื่อกวาดล้างพรรคมารจากต่างโลกในคราเดียวหรือ?