บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 615 โง่เพียงไรที่ทำเช่นนั้น ทั้งที่รู้ว่าจะตาย
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 615 โง่เพียงไรที่ทำเช่นนั้น ทั้งที่รู้ว่าจะตาย
ตอนที่ 615: โง่เพียงไรที่ทำเช่นนั้น ทั้งที่รู้ว่าจะตาย
ตอนที่ 615: โง่เพียงไรที่ทำเช่นนั้น ทั้งที่รู้ว่าจะตาย
รัตติกาล
นอกนครหลวงอวี้จิง
“หลวงจีน เจ้าเชื่อหรือยัง?”
หยวนเหิงกล่าวยิ้ม ๆ
หลวงจีนหงจี้พยักหน้าราวไก่จิกข้าว พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ยิ่งกว่าเชื่ออีก ข้าทึ่งนัก!”
ก่อนหน้านี้ ยามซูอี้และคณะบุกเข้าไปในราชวัง เขาและเก๋อเฉียนหลบซ่อนอยู่ในจุดอับสายตา ไม่เพียงแค่เพื่อสังเกตการณ์ แต่ยังเพื่อเฝ้าระวังไม่ให้ผู้ฝึกตนใด ๆ จากตำหนักมารเทียนอวี้หนีออกไปด้วย
เขาย่อมได้เห็นฉากยามซูอี้สังหารผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างฮั่วหงไถด้วยตาตน
จนยามนี้ เขายังคงตื่นตะลึงในใจ
ซูอี้ถาม “ข้าได้ยินว่าตำหนักมารเทียนอวี้ยึดครองสี่ในแปดขุนเขาปีศาจในยามนี้ นอกจากหุบเขามารบุปผาโลหิตแล้ว อีกสามคือหนใดบ้าง?”
หลวงจีนหงจี้ใจเย็นลง และรีบกล่าวทันที “มีขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา ขุนเขาปีศาจเพลิงเงิน และหุบเขามารหลุมสวรรค์ สามแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้”
ซูอี้พยักหน้า แล้วกล่าวต่อ “เช่นนั้นเราก็ต้องกวาดล้าง ถอนรากถอนที่มั่นของพวกเขาเสีย”
กล่าวจบ เขาก็หันไปพูดกับหยวนเหิง ไป๋เวิ่นฉิงและเก๋อเฉียน “นับแต่นี้ เราจะลงมือแยกกัน หยวนเหิงไปหุบเขามารหลุมสวรรค์ เก๋อเฉียนไปขุนเขาปีศาจเพลิงเงิน ส่วนแม่นางไป๋ เจ้าและหลวงจีนหงจี้ไปขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา”
ไป๋เวิ่นฉิงไม่ใช่ผู้ฝึกตนจากต้าโจว จึงไม่คุ้นเคยสถานการณ์ภายใน ดังนั้นหากให้หลวงจีนหงจี้นำทาง นางก็ไม่ต้องห่วงว่าจะหาสถานที่พบหรือไม่
“ได้!”
หยวนเหิง ไป๋เวิ่นฉิงและเก๋อเฉียนต่างรับคำ
หลวงจีนหงจี้อึ้งไป ก่อนกล่าวว่า “นายน้อยซู ท่านกำลังพยายามถอนรอกถอนโคนตำหนักมารเทียนอวี้อยู่หรือ?”
ซูอี้กล่าว “รากของตำหนักมารเทียนอวี้ไม่ได้หยั่งจากในมหาทวีปคังชิง เราก็แค่ทำลายพวกเขาที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วต้าโจวเท่านั้น”
หลวงจีนหงจี้กลืนน้ำลายดังเอื๊อก จากนั้นจึงตบอกตนเองดังป้าบพลางกล่าวอย่างขึงขัง “นายน้อยซูคำนึงถึงโลกนี้ และต้องการช่วยผู้คนจากหายนะ แม้กระทั่งข้ายังไม่อาจทนนิ่งเฉย ข้าเต็มใจบุกน้ำลุยไฟเพื่อการนี้ จะทำสิ่งใดตามปรารถนา!”
หยวนเหิงและคณะหัวเราะเฮฮากันอยู่ชั่วขณะ กับแค่นำทาง หลวงจีนผู้นี้กลับทำราวกับไปตาย ช่างเสแสร้งจริง!
“เอาล่ะ เริ่มกันเถิด ข้าจะรอพวกเจ้าที่หุบเขามารบุปผาโลหิต”
จากนั้น ซูอี้ก็พาสตรีโฉมงามผู้หมดสติโฉบผ่านอากาศไป
ยามนี้เขารู้แล้วว่านามของสตรีผู้นี้คือหลิ่วอิ๋ง ผู้ฝึกตนในขอบเขตรวบรวมดารา หนึ่งในอารักษ์จากตำหนักมารเทียนอวี้
ที่สำคัญกว่านั้น ประสบการณ์ชีวิตของหลิ่วอิ๋งผู้นี้ยังไม่ธรรมดา นางคือน้องสาวของเจ้าตำหนักมารเทียนอวี้!
ยามมาถึงหุบเขามารบุปผาโลหิต หากพบอุปสรรคลำบากใจ เขาก็ใช้หลิ่วอิ๋งเพื่อแก้สถานการณ์ได้
“พี่หยวนเหิง เจ้าต้องระวังตนนะ”
เมื่อมองซูอี้หายลับนภา ไป๋เวิ่นฉิงก็หันไปเตือนหยวนเหิงเบา ๆ
“เจ้าก็ด้วย”
หยวนเหิงกล่าวพลางฉีกยิ้ม “หากเจ้าอยู่ในอันตราย ใช้ยันต์ลับที่นายท่านให้ป้องกันตนเองเสียล่ะ”
“ได้”
ไป๋เวิ่นฉิงพยักหน้าอย่างว่าง่าย
เมื่อเห็นสองหนุ่มสาวจู๋จี๋ราวมีเพียงเราสอง เก๋อเฉียนก็รู้สึกเสียวฟันแปลบ ๆ หันหลังและจากไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ หยวนเหิงและไป๋เวิ่นฉิงคุยกันอีกสักพัก ก่อนจะแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
…
วันถัดมา
หุบเขามารบุปผาโลหิต
ร่างของซูอี้ทะยานมาจากสุดขอบฟ้า
มองปราดแรก เทือกเขาสูงนี้ถูกปกคลุมด้วยปราณวิญญาณจาง ๆ และค่อย ๆ ฟื้นตัวท่ามกลางโขดหินแนวไม้อย่างเงียบเชียบ
“แตกต่างจากกาลก่อนนัก”
ซูอี้กระซิบ
เมื่อก่อน จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงเฉินเจิ้งประจำการอยู่นอกหุบเขามารบุปผาโลหิต ต่อสู้กับเหล่าสัตว์ปีศาจที่หนีออกมาจากเขตหุบเขา ปกป้องความสงบสุขแห่งดินแดน
ในทีแรก ซูอี้เองก็เคยเข้าหุบเขามารบุปผาโลหิตจากเส้นทางนี้ และมีหนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงอยู่กับเขาด้วย
และยังเป็นในหุบเขามารบุปผาโลหิตนี้เอง ที่ซูอี้ได้พบมู่ซี ราชาสะกดขุนเขา ผูอี้ หลูฉางเฟิงและคนอื่น ๆ
ยามนี้ เมื่อระลึกถึงความหลังได้ทีละน้อย ซูอี้ก็อดคิดไม่ได้ว่ากาลเวลาช่างผ่านไปเร็วนัก
การไหลของเวลาโหดร้ายที่สุด
ในยามแรก เขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตรวบรวมลมปราณ
ทว่าในยามนี้ เขาอยู่ในวิถีต้นกำเนิด ขอบเขตรวบรวมดารา ห่างไกลจากในอดีตนัก!
ซูอี้แบกหลิ่วอิ๋งด้วยหนึ่งมือ เดินต่อไปเบื้องหน้า
หลังเวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยชา*[1]
ไกลออกไป จิตสัมผัสของซูอี้ก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของคนกลุ่มหนึ่ง
“นี่คือกระแสโดยรวมแห่งโลก หากต้องการผงาดในโลกอันวุ่นวายนี้ เจ้าก็ต้องจำนนต่อตำหนักมารเทียนอวี้ หาไม่ก็ไร้ที่ให้ยืน”
“ทว่าตำหนักมารเทียนอวี้เป็นพรรคชั่วช้า และในช่วงที่ผ่านมา ข้าไม่รู้ว่ามีผู้บริสุทธิ์มากเพียงใดถูกฆ่าในต้าโจว ในภายหน้าเมื่อเรารับใช้พวกเขา ไม่ใช่ว่าเราจะกลายเป็นมารนอกรีตไปด้วยหรือ?”
“มารนอกรีตอันใด โลกนี้มีแบ่งดีชั่วด้วยหรือ ไม่เห็นหรือว่าทั้งราชวงศ์โจวและสำนักดาบมังกรเร้นต่างศิโรราบทั้งคู่?”
“นี่… เฮ้อ!”
…คนทั้งน้อยใหญ่ต่างรวมตัวกันพูดคุยอยู่ที่เดียว
เมื่อซูอี้เดินเข้ามา พวกเขาก็หันมาสนใจทันที
“พ่อหนุ่ม ที่นี่คือเขตของตำหนักมารเทียนอวี้ เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”
ชายชราชุดขาวผู้หนึ่งถามด้วยเสียงทุ้มลึก
ซูอี้ไม่ได้ตอบ เขาเหลือบมองเหล่านักรบเหล่านั้น จากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า “การเป็นสุนัขให้ขุมอำนาจภายนอก รู้สึกเช่นไร?”
ทุกคนต่างหน้าเสีย
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก่นด่า “ไอ้หนู เจ้าพูดอันใดอยู่!”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เช่นนั้นก็ไม่ต้องพูด ข้ากำลังจะสังหารผู้ฝึกตนทั้งหมดจากตำหนักมารเทียนอวี้แล้ว พวกเจ้าจะหยุดพวกเขา หรือจะแค่ยืนมองเล่า?”
อันใดนะ!?
ทุกคนแทบไม่เชื่อหูตน
“บ้า เจ้านี่บ้าไปแล้วแน่ ๆ!”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งอดพึมพำไม่ได้
คนอื่น ๆ ก็ดูพิกล อยู่ดี ๆ ชายหนุ่มผู้หนึ่งก็มายังหุบเขามารบุปผาโลหิต ประกาศตนว่าจะฆ่าผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้
นี่มัน… ไม่ต่างจากคนบ้าเลย!
ในโลกทุกวันนี้ ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ถึงความน่ากลัวของตำหนักมารเทียนอวี้?
“พ่อหนุ่ม ไปเสียเถิด ตำหนักมารเทียนอวี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถล่วงเกินได้เลย ฟังคำเกลี้ยกล่อมของตาเฒ่าผู้นี้เถิดนะ อย่าทำเรื่องโง่เง่ารนหาที่ตายเช่นนั้นเลย”
ชายชราชุดขาวถอนหายใจ
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็แสนระอา คร้านจะพูดอันใด ทำเพียงเดินหน้าต่อ
“หยุดนะ!”
จู่ ๆ ชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งก็กล่าวเสียงแข็ง “หูหนวกหรือไร? นี่คือถิ่นของตำหนักมารเทียนอวี้ หากไร้คำสั่ง ห้ามผู้ใดเข้าไปโดยไร้อนุญาต!”
ซูอี้ชะงัก จากนั้นกล่าวว่า “เช่นนั้น เจ้าคิดจะทำงานให้ตำหนักมารเทียนอวี้ และมาหยุดข้าหรือ?”
ชายหนุ่มชุดดำกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าโง่ ไม่เห็นหรือว่าเราทั้งผองต่างสวาไม่ภักดิ์ต่อตำหนักมารเทียนอวี้แล้ว เช่นนั้นเราจะยอมให้เจ้า…”
ฉับ!
หัวของชายหนุ่มชุดดำร่วงสู่พื้น เลือดสาดกระจายคาที่
ทุกผู้ต่างตะลึง สีหน้าเปลี่ยนอย่างมหันต์
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าไม่แข็งแกร่งพอจะสยบใต้ใครเพื่ออยู่รอด และวันนี้ข้ามาเพื่อสังหาร แน่ใจหรือว่าจะหยุดข้า?”
ทุกคนลังเล
ซูอี้ไม่พูดต่อ และเดินต่อไป
ทุกคนต่างมองเขาจากไป ไม่กล้าหยุดชายหนุ่มอยู่เนิ่นนาน
“ชายผู้นี้เย่อหยิ่งเกินไป เรากล่อมเขาไม่ให้ไปสู่ความตายด้วยความหวังดีแท้ ๆ ไม่เพียงไม่รู้สึกขอบคุณ เขายังกล้าฆ่าคนด้วย บ้าชัด ๆ!”
“รอก่อนเถิด เขาจบไม่สวยเป็นแน่”
ใครบางคนกล่าวอย่างเย็นชา
ชายชราชุดขาวเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าซับซ้อน “ข้าหวังว่าใครสักคนจะทำลายตำหนักมารเทียนอวี้นี่ได้จริง ๆ จากนั้น… ไม่เพียงเราจะเป็นไท แต่ปุถุชนในโลกอันยิ่งใหญ่นี้ยังไม่ต้องสยบเป็นลูกไก่ในกำมือผู้ใดด้วย”
ทันทีที่วาจานี้ถูกเปล่ง สีหน้าทุกผู้ก็ผันเปลี่ยน
“ท่านหลี่ ระวังวาจาท่านด้วย!”
ใครสักคนเอ่ยเตือน
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวเสียงต่ำ “ผู้เฒ่าหลี่ หากท่านไม่ถือสา เว้นเพียงเทพเซียนจะจุติจากฟ้า ในใต้หล้านี้ก็ถูกตำหนักมารเทียนอวี้ครอบงำไปแล้ว ไม่ละเว้นผู้ใด”
“เช่นนั้นหรือ…” ชายชราชุดขาวพึมพำอย่างขมขื่น “ข้าหลี่ฉางหลิ่น ทีแรกก็เป็นเจ้าตำหนักหลูหยาง ดูแลจัดการตำหนักและโด่งดังในต้าโจว ทว่ายามนี้กลับเหมือนสุนัขเร่ร่อน ต่ำชั้นลงเพียงนี้… ”
ทุกผู้ต่างเงียบเสียง
บุคคลผู้มีชื่อเสียงแห่งต้าโจวในอดีตนั้น หากไม่ตายก็สวามิภักดิ์ต่อตำหนักมารเทียนอวี้ ไม่ก็หนีจากต้าโจวสิ้นแล้ว
ความสุขถูกพิรุณวายุปัดเป่า โลกนี้… เปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์!
“ช้าก่อน เจ้าเป็นใคร?”
เสียงตะโกนลั่นพลันแว่วมาไกล ๆ
ชายชราชุดขาวหลี่ฉางหลิ่นและคณะต่างหันไปมองโดยไม่รู้ตัว
สองสามร้อยจั้งไกลออกไป สองศิษย์จากตำหนักมารเทียนอวี้ในชุดดำปรากฏขึ้น ขวางทางชายหนุ่มชุดเขียวไว้
แย่แล้ว!
สีหน้าของพวกหลี่ฉางหลิ่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หากศิษย์ตำหนักมารเทียนอวี้ทั้งสองพบว่าพวกเขาไม่หยุดชายหนุ่มชุดเขียวนี้ไว้ พวกเขาคงพาลถูกลงโทษไปด้วยแน่!
ทว่าก่อนทันได้มีปฏิกิริยา พวกเขาก็เห็นประกายดาบวูบไหว
ฉับ!
ฉูด!
หัวของศิษย์ทั้งสองจากตำหนักมารเทียนอวี้ในขอบเขตไร้เบญจธัญลอยละลิ่วบนอากาศ
โลหิตพุ่งกระฉูดเยี่ยงน้ำตก
ชายหนุ่มชุดเขียวก้าวเดินอ้อยอิ่งต่อไป ไม่แม้แต่จะหันมามองศพทั้งสอง
“นี่…”
พวกหลี่ฉางหลิ่นตกใจ หนังศีรษะชาวาบ อ้าปากค้าง
สำหรับพวกเขา ขอบเขตเบญจธัญนั้นนับว่าเป็นเทพเซียนเดินดิน บุคคลชั้นฟ้าซึ่งเพียงพอให้ปุถุชนเช่นพวกเขาแหงนหน้ามอง
ทว่ายามนี้ พวกเขากลับถูกชายหนุ่มชุดเขียวสังหารอย่างง่ายดายราวบี้มด!
“เขาคือผู้ใดกัน?”
ใครสักคนเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“รู้ผลการฝึกฝนของเขาหรือไม่?”
ใครสักคนอุทาน
“ร้ายกาจยิ่ง!”
มีบางคนตื่นกลัว หนาวสั่นไปทั่วสันหลัง ยามนี้เอง พวกเขาจึงตระหนักว่าหากก่อนหน้านี้นำตนไปขวางชายหนุ่มชุดเขียวเข้า พวกเขาคงกลายเป็นซากไปแล้ว!
“ข้าจะไปดู!”
หลี่ฉางหลิ่นโพล่งขึ้นพลางพุ่งไปเบื้องหน้า “ขอเพียงมีความหวังแม้เพียงน้อย ข้าก็หวังว่าใครสักคนจะสามารถสังหารคนจากตำหนักมารเทียนอวี้ได้!”
“ต่อให้เขาจะเป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เป็นแมลงตัวจ้อยเขย่าต้นไม้ แต่เขาก็ควรค่าให้ข้านับถือ ชื่นชมและออกเสียงเพื่อเขา!”
“แม้ว่าสุดท้ายเขาต้องตาย ข้าก็จะใช้ทุกสิ่งเพื่อฝังเขา สร้างอนุสรณ์แก่ชนรุ่นหลัง ข้าเชื่ออย่างหนักแน่นว่าไม่ได้มีเพียงข้าผู้หวังอยู่รอดและกลัวความตาย!”
เสียงของเขาในคราแรกเบาบาง ทว่ามันดัง หนักแน่น เปี่ยมอารมณ์ยิ่งขึ้นทุกที
เจ้าตำหนักหลูหยางในยามนี้เปิดใจกว้างและสงบใจสุขุม
“ผู้เฒ่าหลี่… เขา…”
เหล่าผู้คนต่างตะลึง ทว่ายามได้ยินวาจาของหลี่ฉางหลิ่น หัวใจของพวกเขาต่างก็หวั่นไหว สีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่มั่นใจ
“ไปดูกันเถิด!”
ใครสักคนกัดฟันวิ่งไล่ตามเขา
“ข้าใช้ชีวิตเป็นหมาให้พวกมารพวกนั้นพอแล้ว!”
“ไปกัน ไปกันเถิด!”
ไม่นานนัก คนมากขึ้นก็วิ่งไล่หลังเขา
ทว่าคนบางผู้ก็ยังยืนนิ่งไม่ไล่ตาม
“คนเหล่านี้บ้าไปแล้วจริงแท้ นั่นมันตำหนักมารเทียนอวี้นะ พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนผู้ยิ่งใหญ่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เว้นเพียงเทพเซียนจุติจากฟ้า ผู้ใดที่ไปที่นั่นต้องตายทั้งสิ้น!”
ผู้ติดตามหลี่ฉางหลิ่นเดินเข้าไปนั้นช่างไม่เข้าใจเอาเสียเลย
โง่เพียงไรที่ทำเช่นนั้น ทั้งที่รู้ว่าจะตาย!
[1] หนึ่งถ้วยชา เป็นสำนวนจีนที่มักใช้เป็นตัวแทนของช่วงเวลาที่ผ่านไปไม่นานนัก เปรียบเทียบแล้วจะอยู่ที่ราว ๆ 10-15 นาที