บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 618 อสุภะกลืนฟ้า
ตอนที่ 618: อสุภะกลืนฟ้า
ตอนที่ 618: อสุภะกลืนฟ้า
ท้องฟ้ามืดมิด
สายลมเย็นเยียบปัดเป่า เสียดสีอาภรณ์ของซูอี้ดังหวีดหวิว
เขายืนอยู่ข้างรอยแยกสู่โลกใต้พิภพ
ยืนโดดเดี่ยว เป็นจุดสนใจคนทุกผู้
วูดดดด!
เสียงแตรศึกดังขึ้นกะทันหันจากไกล ๆ เพิ่มความหมายอันเย็นเยือกแก่โลกา
ร่างของผู้ฝึกตนในตำหนักมารเทียนอวี้คนแล้วคนเล่าปรากฏขึ้นจากทั่วสารทิศ
ในโลกใต้พิภพเบื้องล่างรอยแยก ยังมีผู้แข็งแกร่งพุ่งขึ้นมาเช่นกัน
แสงพุ่งทะยานหนาตาเยี่ยงหยาดฝน
จิตฆ่าฟันรุนแรง!
บรรยากาศการล่าสังหารปกคลุมทั่วฟ้าดิน สถานการณ์แปรผัน
สีหน้าของหลี่ฉางหลิ่นและคนอื่น ๆ เปลี่ยนผันพริบตา ราวตื่นจากภวังค์อันน่าตื่นเต้นในกาลก่อน
“ไม่ดีแล้ว! ในกรณีนี้ หากอัครมหาเสนาบดีซูพ่ายแก่ศัตรู เรา… เราจะติดร่างแหด้วยทั้งหมด…”
ใครบางคนตื่นกลัว สะท้านถึงวิญญาณ
ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย
ในความรู้ความเข้าใจของคนเหล่านี้ ซูอี้ในยามนี้แข็งแกร่งมากจริงแท้
ทว่าพวกเขารู้ดีกว่า ว่าตำหนักมารเทียนอวี้ร้ายกาจเพียงไร!
อย่าว่าแต่ผู้ที่อยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญหรือเปิดทวารเลย ยังมีอารักษ์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอีกเป็นสิบ
นอกเหนือจากนั้น ยังมีผู้อาวุโสเช่นถูไป๋เจิ้นควบคุมดูแล!
หากเพิ่มอำนาจของค่ายกลที่ตำหนักมารเทียนอวี้ตั้งขึ้นในหุบเขามารบุปผาโลหิต รวมถึงสมบัติลับและไพ่ตายต่าง ๆ ในมือเข้าไปอีก…
อำนาจเช่นนี้ชวนให้ผู้ใดก็ตามสิ้นหวัง!
“ครานี้ แม้ข้าจะอยากหนี ก็หนีไม่ได้แล้ว…”
ใครบางคนเสียใจอย่างลึกซึ้ง ไม่น่าตามมาอย่างหุนหันพลันแล่นเลย
“อัครมหาเสนาบดีซูเองก็ด้วย เขาสามารถลอบเข้าเงียบ ๆ และสังหารทุกคนในพริบตา ทว่าเหตุใดต้องชิงออกมาประกาศตัวตนก่อน?”
ใครบางคนลอบบ่น
ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นสถานการณ์ก่อนหน้านี้ได้ ขอเพียงซูอี้เงียบไป ก็จะไม่ดึงความสนใจจากตำหนักมารเทียนอวี้ได้มากเพียงนี้
ทว่าด้วยวาจาหนึ่งประโยค ผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ก็แห่กันออกมา!
“หากรู้แต่แรก ข้าคงไม่มาร่วมสนุกเช่นนี้”
ใครบางคนหน้างอง้ำ
หลี่ฉางหลิ่นตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงสีหน้าท่าทางของเหล่าคนรอบกายตนได้อย่างชัดเจน และอดรู้สึกเสียใจไม่ได้
ทันทีที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ พวกเขาก็โบกธงโห่ร้องประโคมชื่อเสียงใหญ่โต
ทว่าเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี ตัวคนก็รู้สึกขัดเคืองใจ อยากถีบหัวส่ง ขีดเส้นคั่นระหว่างกันเสียเดี๋ยวนั้น
นี่คือสันดานคน
หากไร้ผลประโยชน์ ช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้ ก็หมดค่าไม่เห็นหัว สนใจแต่ผลประโยชน์ หลีกหนีการเสียเปรียบ!
ฟ้ามืดแผ่นดินพลุกพล่าน
ผู้ฝึกตนของตำหนักมารเทียนอวี้ซึ่งแห่มาจากทุกสารทิศค่อย ๆ ล้อมวงรอบอย่างอหังการ
ภาพที่รออยู่นี้ทำให้เหล่าผู้พบเห็นต่างอกสั่นขวัญแขวนยิ่งขึ้น
ทว่าซูอี้ดูจะเพิกเฉยต่อเรื่องทั้งหมด ร่างของเขายืนตระหง่านไม่ยี่หระต่อสิ่งใดเช่นทุกครา
เขาเกียจคร้านมาโดยตลอด คร้านเกินกว่าจะไปไล่หาศัตรูทั่วหุบเขามารบุปผาโลหิตทีละคน
นั่นยุ่งยากเกินไป
ดังนั้น ยามเมื่อมาถึงทางเข้าโลกใต้พิภพ เขาจึงชิงเปล่งเสียงออกมาดึงความสนใจของศัตรูทั่วหุบเขามารบุปผาโลหิต รวบรวมพวกมันเข้ามาเป็นจุดเดียวเสียก่อน
ทุกสิ่งจะจบในศึกเดียว!
หากทำเช่นนี้ มันจะช่วยให้เขาเก็บศัตรูเรียบโดยไม่เปลืองเวลา
หลังจากศัตรูปรากฏกายขึ้นคนแล้วคนเล่า พวกเขาก็ไม่ได้รีบร้อน
ประการแรก พวกเขาไม่เข้าใจเบื้องลึกเบื้องหลังของซูอี้เลย
ประการที่สอง พวกเขาจำหลิ่วอิ๋งในมือซูอี้ได้ และไม่กล้าก่อเรื่องวุ่นวาย ทำเพียงรอคนใหญ่คนโตในตำหนักออกมาจัดการสถานการณ์
ทว่า แม้พวกเขาจะไม่เคยทำมาก่อน แต่เหล่าผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ก็ได้ปิดทางหนีของเขาจากไกล ๆ เตรียมพร้อมรอแล้ว
“พวกเจ้ามาที่นี่ คิดกบฏหรือไร!?”
เสียงตะโกนลั่นสะท้านมาจากไกล ๆ ก้องนภาสะท้านแดนดินเยี่ยงอสนีบาตฟาด
ชายร่างสูงผู้หนึ่งในชุดเกราะหนัก ถือหอกสีดำมองหลี่ฉางหลิ่นและคณะด้วยสายตาเย็นชา
ควับ!
สายตาของผู้ฝึกตนมากมายจากตำหนักมารเทียนอวี้ต่างหันมามอง
รังสีฆ่าฟันรุนแรงและแรงกดดันทำให้หนังศีรษะของเหล่าคนที่ติดตามซูอี้มาก่อนหน้าชาวาบ ตับและกระเพาะปัสสาวะแหลกลาญ
“ใต้เท้า ข้าไร้เจตนาเป็นกบฏ!”
“ใช่แล้ว ต่อให้มอบความกล้าให้ ข้าก็ไม่กล้าทรยศตำหนักมารเทียนอวี้เด็ดขาด ยกโทษให้ข้าเถิด อย่านำข้าไปรวมกับพวกชั้นต่ำอื่น ๆ เลย”
“อย่าเข้าใจข้าผิด!”
ใครบางคนตื่นกลัวเสียจนเข่าอ่อนยวบ ทรุดตัวลงคุกเข่าร้องขอความเมตตา
“ไอ้พวกไร้กระดูกสันหลัง!”
ใบหน้าของหลี่ฉางหลิ่นซีดขาวด้วยโทสะ เศร้าใจมากขึ้นทุกที
ไกลออกไป เหล่าผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ต่างหัวเราะ สีหน้าเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“ข้าจะคิดบัญชีกับพวกเจ้าภายหลัง!”
ชายร่างสูงในชุดเกราะหนักแค่นเสียงเย็นชา
ด้วยฝีมือระดับเขา ย่อมคร้านเกินกว่าจะกวาดล้างพวกมดแมลงแสลงสายตาเหล่านั้น
“มันจบแล้ว!”
คนบางส่วนต่างคุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างอับจนหนทาง
ส่วนผู้ที่ไม่เคยทรุดเข่าลง ในใจของพวกเขาตื่นกลัว ดวงตาเหลือบมองซูอี้ห่างออกไปอย่างไม่รู้ตัว
ทุกคนรู้ดี ว่าการอยู่รอดของพวกเขาขึ้นกับซูอี้จะชนะหรือไม่!
“อารักษ์หม่ามาแล้ว!”
มีเสียงฮือฮาจากฝั่งตำหนักมารเทียนอวี้
ในคลองจักษุของพวกเขา ชายชราร่างผอมแห้งหน้ายับย่นปรากฏขึ้นจากรอยแตกมโหฬาร เปี่ยมด้วยปราณชั่วร้ายและอำนาจร้ายกาจ
เขาคือหม่าเฉิงคง
“หลิ่วอิ๋ง…”
ม่านตาสีน้ำตาลเหลืองของหม่าเฉิงคงหดตัวกะทันหันเมื่อเห็นสตรีโฉมงามในมือซูอี้ และแล้วเขาก็เข้าใจ
มิน่าเล่า เจ้าคนแซ่ซูจึงกล้ามาท้าทายเขา ที่แท้มันก็มีตัวประกัน!
ต่อมา อารักษ์ต่าง ๆ ของตำหนักมารเทียนอวี้ก็ทยอยกันทะยานออกมาจากรอยแตก
บรรยากาศรอบข้างหดหู่เย็นเยียบลงทุกที
สุดท้าย…
เมื่อถูไป๋เจิ้นปรากฏร่าง สายตาทุกคู่จากยอดฝีมือในตำหนักมารเทียนอวี้ต่างหันมารวมที่เขา และสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง
หลี่ฉางหลิ่นและคณะต่างร่างสั่นเทา!
ถูไป๋เจิ้นสวมชุดคลุมสีดำ ร่างสูงผอมบาง ทันทีที่เขาปรากฏ บรรยากาศของมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณก็ครอบคลุมไปทั่วนภา บดบังตะวัน
ห่างไกลเกินจะเทียบกับผู้ใด ณ ที่นี้!
หลี่ฉางหลิ่นและคณะต่างเป็นนักรบปุถุชน เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนเยี่ยงถูไป๋เจิ้น จึงไม่ต่างอันใดกับฝูงมดพบมังกรทะยานนภา!
ทว่าสายตาของซูอี้จับจ้องที่บ่าของถูไป๋เจิ้น
เด็กทารกผู้ซึ่งมีความสูงราว ๆ หนึ่งจั้ง สวมชุดนักพรตเต๋าสีเลือดยืนอยู่บนนั้น ดวงตาสีแดงไร้อารมณ์เย็นชา ใบหน้าไร้เดียงสาให้ความรู้สึกพิสดารและชั่วร้าย
ยามเมื่อเขาสังเกตเห็นสายตาของซูอี้ ทารกก็แย้มยิ้มเล็กน้อย แววตาสีชาดฉายประกายขี้เล่น
“ที่แท้ก็เป็นทารกมาร…”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
ทารกมาร เป็นสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งที่เกิดมาชั่วร้าย สืบทอดสายเลือดมารอย่างแท้จริงมาแต่กำเนิด!
ด้านพลังมาร เพื่อสร้างทารกมารผู้แข็งแกร่ง พวกเขาจำเป็นต้องลบความรู้คิดทางสัญชาตญาณของทารกมารให้เร็วที่สุดนับแต่เกิดมา
ในขณะเดียวกัน ‘เจตจำนง’ ของมารเฒ่าจะถูกผนึกไว้ในห้วงความนึกคิด
ยิ่งเจตจำนงของมารเฒ่าแข็งแกร่งเท่าไร ศักยภาพและความแข็งแกร่งของทารกมารที่ถูกฟูมฟักก็จะยิ่งน่าหวาดหวั่น!
หากมองในแง่หนึ่ง สิ่งมีชีวิตเช่นทารกมารนั้นได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะกลายเป็น ‘ร่างสิง’ ของมารเฒ่าสักตนนับแต่เกิด!
ด้วยพลังแห่งเจตจำนง สายเลือดและความสามารถของทารกมารจะถูกใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่บนมหาวิถี!
“ข้าไม่รู้ว่าเจตจำนงในห้วงความนึกคิดนั่นอยู่ในขอบเขตใด”
ซูอี้สนอกสนใจ
ไกลออกไป ถูไป๋เจิ้นยืนตัวตรง กล่าวอย่างเฉยชา “ซูอี้ ข้าได้ยินผู้อาวุโสฉู่กล่าวเกี่ยวกับเจ้าอยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะมาหาที่ตายเร็วเพียงนี้”
เสียงของเขาเย็นชา ดังก้องทั่วหล้า
เขาจ้องไปที่หลิ่วอิ๋งในมือซูอี้พลางขมวดคิ้ว “ทว่าข้าให้โอกาสเจ้าได้ ปล่อยหลิ่วอิ๋งไปเสีย แล้ววันนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
หลิ่วอิ๋งเป็นน้องสาวเจ้าตำหนักมารเทียนอวี้ แม้ว่าระดับฝึกฝนของนางจะอยู่เพียงขอบเขตรวบรวมดารา แต่ฐานะของนางสูงส่งยิ่ง
นี่ทำให้ถูไป๋เจิ้นเองก็ลำบากใจมาก
ทว่าไม่รอให้ซูอี้พูด ทารกมารบนบ่าถูไป๋เจิ้นก็กล่าวขึ้นอย่างเดียดฉันท์
“ก็แค่ความเป็นตายของนังคนชั้นต่ำ จะห่วงไปไย? ไม่อาจไว้ชีวิตได้แม้เพียงมดปลวกเช่นนักรบพวกนั้น!”
เขาดูอ่อนเยาว์ ทว่าเสียงของเขาชราแหบแห้ง แปลกประหลาดกดดัน
ทุกคนตัวสั่น
กระทั่งผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ยังรู้สึกไม่สบายใจ
“นี่…”
ถูไป๋เจิ้นดูลังเล
“ไม่เห็นหรือไร สิ่งที่ทำให้ไอ้หนูในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นปลายกล้าโอหังได้เพียงนี้ ก็เพราะชีวิตของนังนั่นอยู่ในกำมือมัน!”
ทารกมารกล่าวช้า ๆ
ทว่ายามนี้ ซูอี้กลับยกมือขึ้น โยนร่างของหลิ่วอิ๋งลงพื้นข้างกายเขา
จากนั้น เขาก็กล่าวอย่างเฉื่อยช้า “ข้าคนแซ่ซูผู้อยากจะฆ่าพวกเจ้า รังเกียจการใช้ชีวิตสตรีเป็นประกันนัก”
ผู้ชมต่างตะลึง
“เจ้านี่บ้าไปแล้วหรือ?” เหล่ายอดฝีมือจากตำหนักมารเทียนอวี้ต่างแปลกใจ
“อัครมหาเสนาบดีซูเขา…”
หลี่ฉางหลิ่นและนักรบผู้อื่นต่างชะงักงงงวย แทบไม่เชื่อสายตาพวกตน
เมื่อมีตัวประกันในมือ เขาก็สามารถหยุดยั้งไม่ให้พวกตำหนักมารเทียนอวี้กระทำการใดตามใจได้
ทว่าหากทิ้งตัวประกัน พวกผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้เหล่านั้นจะยังอยู่เฉยเช่นยามนี้หรือ?
ถูไป๋เจิ้นเองก็นิ่งไป ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ผู้อาวุโสฉู่เคยกล่าวว่า แม้เจ้าซูอี้จะอ่อนแอ แต่ช่างทะนงตัว อำนาจต่อสู้ท้าทายอำนาจสวรรค์ ทีแรกข้าไม่เชื่อ ทว่ายามนี้ดูจะจริงเสียแล้ว!”
ทารกมารถามอย่างสนใจ “เขาแข็งแกร่งมากหรือ?”
ถูไป๋เจิ้นส่ายหน้ากล่าว “กล่าวตามตรง ใต้เท้าทารกศักดิ์สิทธิ์ จากคำกล่าวของผู้อาวุโสฉู่ ยามเมื่อเขาอยู่ในอาณาจักรต้าเซี่ย ด้วยผลการฝึกฝนในขอบเขตรวบรวมดารา เขาสามารถสังหารมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณในมหาทวีปคังชิงได้ กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้เก่งกาจแห่งยุคปัจจุบัน! กระทั่งผู้อาวุโสฉู่ยังสูญเสียหนักด้วยมือเขา!”
ทันทีที่กล่าวออกมา ผู้ฟังต่างตื่นตะลึง
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนของตำหนักมารเทียนอวี้หรือพวกหลี่ฉางหลิ่น พวกเขาต่างอ้าปากค้าง สายตาที่มองซูอี้เปลี่ยนแปร
ที่แท้ซูอี้ก็เตรียมตัวมาก่อน!
“ยอดเยี่ยม!”
ทารกมารถูมืออย่างยินดี พลางกล่าวว่า “ไปฆ่าเขาเร็วเข้า! ข้าอยากได้เลือดเขา!”
ซูอี้ยิ้มยามได้ยินเช่นนั้น เขากวาดตามองรอบ ๆ และถาม “ไฉนจึงไม่เห็นฉู่ซิวล่ะ?”
เขารอให้ฉู่ซิวปรากฏกายเสมอมา
ทว่าเรื่องแปลกก็คือ เจ้าคนกลับกลอกฉ้อฉลนั่นกลับไม่เคยติดกับเลย
“หากเจ้ารอดมาได้ ข้าสัญญาจะบอกเจ้าว่าผู้อาวุโสฉู่อยู่หนใด”
เมื่อถูไป๋เจิ้นกล่าวจบ เขาก็โบกแขนเสื้อ “จัดค่ายกล!”
ตู้ม!
ผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ในละแวกใกล้เคียงต่างเฝ้ารอจังหวะลงมืออยู่แล้ว และเมื่อได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็เคลื่อนไหวทันที ต่างคนต่างเปี่ยมด้วยปราณมารพลุ่งพล่านทะลวงสู่นภา
ในพริบตา ผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้เหล่านี้ก็หลอมรวมเข้าด้วยกัน สร้างเป็นค่ายกลสังหารอันน่าหวาดหวั่น
ค่ายกลอสุภะกลืนฟ้า!
หนึ่งในค่ายกลสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดของตำหนักมารเทียนอวี้ ยามเมื่อออกสู่สนามรบ ผู้ฝึกตนมารกลุ่มหนึ่งซึ่งมีปราณแบบเดียวกันจะถูกรวมเป็นหนึ่ง เผยอำนาจอันร้ายกาจไร้ขอบเขต
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของซูอี้ก็เปี่ยมด้วยความดูแคลน!