บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 62 เทวรูปนั่งหันหลัง ทอดถอนสรรพชีวิตที่ปฏิเสธมองย้อน
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 62 เทวรูปนั่งหันหลัง ทอดถอนสรรพชีวิตที่ปฏิเสธมองย้อน
ตอนที่ 62 เทวรูปนั่งหันหลัง ทอดถอนสรรพชีวิตที่ปฏิเสธมองย้อน
หนึ่งในสี่ชั่วยาม*[1] ผ่านพ้น
ซูอี้และกัวปิ่งมาถึงจุดที่เรียกว่าเนินศพบริเวณตีนสันเขามารดาภูตผี
ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยหลุมศพและวัชพืชมากมาย ฝูงกาที่มีจำนวนหลายตัว เกาะบนต้นไม้ใหญ่ไกลห่าง ส่งเสียงร้องแหบแห้งของพวกมันออกเป็นครั้งคราว
แม้ยังอยู่ในช่วงเช้า ทว่าทิวทัศน์กลับชวนขนลุก
สตรีในเครื่องแบบกำลังรอคอยอยู่ที่ตรงนั้น
ขณะนางพบเห็นซูอี้และกัวปิ่งมาถึงช้า ลมหายใจพลันพ่นออกอย่างเย็นชา “พวกเจ้ามาถึงกันได้เสียที!”
สิ้นคำกล่าว นางหันกลับก่อนจะลงจากม้า พร้อมเอ่ยคำสั่งการ “สองคนอยู่เฝ้าม้า อาหย่งกับผู้อื่นเข้าไปด้านในภูเขากับข้า”
“ขอรับ!”
คณะผู้ติดตามตอบรับคำโดยทันที
“กัวปิ่ง เจ้านำทางไป” สตรีในเครื่องแบบออกคำสั่ง
กัวปิ่งก้าวมาด้านหน้าอย่างรวดเร็ว พบเห็นเช่นนี้ซูอี้จึงตามติดพร้อมกล่าวคำ “ไปพร้อมกัน”
เขารับปากเอาไว้แล้ว ว่าจะนำพากัวปิ่งกลับไปโดยปลอดภัย และหากกัวปิ่งนำหน้าโดยลำพัง อย่างไรก็ไม่มีทางปลอดภัย
“ไม่นึกคาดคิด บุคคลทะนงตนเช่นเจ้ากลับยังมีจิตสำนึกคงอยู่” สตรีในเครื่องแบบกล่าวเย้ยหยัน
ซูอี้ไม่นึกสนใจ เขาไม่คิดแม้แต่จะโกรธสตรีหัวดื้อที่เห็นได้ชัดว่าถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กเช่นอีกฝ่าย
“อาหย่ง ท่านนำหน้าไปด้วย อย่าให้กัวปิ่งต้องมีอันตราย” หลังครุ่นคิด สตรีในเครื่องแบบกล่าวคำสั่ง
บุรุษวัยกลางคนในชุดสีเทา ผู้ถูกเรียกเป็นอาหย่งก้าวเดินนำหน้า ยืนขนาบข้างกัวปิ่งและซูอี้
กัวปิ่งที่ได้รับการใส่ใจ ขณะนี้กล่าวคำขอบคุณไม่ขาด
ซูอี้ลอบส่ายศีรษะนึกในใจ ทั้งหมดนี้เป็นการคุ้มกัน รวมถึงการเฝ้าจับตาดู ไม่ควรเอ่ยขอบคุณตอบกลับแม้แต่น้อย
ไม่ช้า กลุ่มคนจึงเริ่มเดินทาง ฝีเท้าก้าวตรงมุ่งสู่พื้นที่หลุมศพอันโกลาหล
ตามเส้นทางมีหลุมศพมากมายถูกปล่อยทิ้งร้างผ่านพ้นกาลเวลา เศษกระดูก เงินกระดาษ ธูปเทียน ล้วนกระจัดกระจายตามกอหญ้า
ยิ่งเข้าไปส่วนลึก หญ้ายิ่งรก หมองยิ่งหนา หากจะมีใดเปลี่ยนแปลง คงเป็นเสียงร้องของอีกาที่เงียบหาย
กัวปิ่งถือมีดล่าสัตว์ไว้ในมือ ก่อนจะถางหญ้าหนามที่กีดขวางเส้นทางออก และนำทางตรงไปข้างหน้า
“ท่านเขย ครั้งนี้ท่านมาทำอะไรที่สันเขามารดาภูตผีกัน?”
ขณะเดิน กัวปิ่งเอ่ยถามขึ้นมา
สตรีในชุดเครื่องแบบทางด้านหลังเกิดกางใบหูตระเตรียมรับฟัง
“บอกมาให้ข้าฟังก่อน สันเขามารดาภูตผีแห่งนี้ มีสิ่งใดผิดแปลกบ้าง” ซูอี้ถามตามปกติ
กัวปิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวตอบ “ตั้งแต่โบราณกาลสันเขามารดาภูตผีมีเหล่าผีร้ายดำรงอยู่เสมอมา แต่ถ้าหากท่านจะถามว่ามีที่ใดที่แปลกหรือผิดปกติมากกว่านั้น ก็มีหลายที่พอสมควร”
“หนึ่งนั้นคือวัดที่อยู่ตรงป่าสนขาวราวครึ่งทางขึ้นเขามารดาภูตผี ได้ถูกปล่อยทิ้งร้างทรุดโทรมยาวนาน ด้านในมีเทวะรูปนั่งหันหลังให้ประตู เศียรของเทวรูปหายไปอย่างยาวนานมากแล้ว”
“นั่งหันหลังให้ประตู? หรือจะมีผู้ใดเจตนาโยกย้ายทิศทางการหันของเทวรูป?” สตรีในเครื่องแบบอดไม่ได้จนเอ่ยถาม
ซูอี้เอ่ยคำขึ้น “นั่งหันหลังแก่โลกหล้า? ทอดถอนใจต่อสรรพชีวิตปฏิเสธจะหวนมองกลับ ในความเห็นข้า สมควรเป็นเทวรูปของสำนักพุทธแล้ว”
กัวปิ่งนึกทึ่งก่อนจะเผยความนับถือ “ท่านเขยคงอ่านตำรามาไม่ใช่น้อย จึงทราบดีกว่าพวกเราคนธรรมดานัก”
เสียงพ่นลมหายใจของสตรีในชุดเครื่องแบบด้านหลังดังขึ้น คล้ายว่าแฝงอารมณ์ดูแคลน
ซูอี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินพร้อมกล่าวคำ “นอกจากความผิดปกติของเทวรูป มีอื่นใดผิดแปลกในวัดนั้นอีกหรือไม่?”
กัวปิ่งกล่าวตอบ “มี ทว่าไม่มาก กล่าวกันว่าทุกค่ำคืนจะมีเสียงสวดมนต์ดังจากวัดผุพังแห่งนั้น บ้างก็ว่าเป็นภูตผีกระซิบ ช่วงเวลากลางคืนในวัดต้องอย่าให้กองไฟดับ หากไม่แล้วจะถูกภูตผีที่หลบซ่อนในความมืดลักจับกิน ในอดีตก็เคยเกิดเรื่องราวคล้ายคลึงกันนี้ขึ้น”
“ก็แค่ผีตัวหนึ่ง ไม่อาจทำร้ายข้า”
น้ำเสียงทะนงตนและมั่นใจของสตรีในเครื่องแบบดังตอบจากทางด้านหลัง บ่งชี้ชัดว่านางกำลังรับฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน
“ส่วนที่เหลือของสันเขามารดาภูตผีเล่า?” ซูอี้กล่าวถาม
กัวปิ่งสมกับที่เป็นคนเก็บสมุนไพรผู้ทราบเรื่องราวสันเขามารดาภูตผีเป็นที่สุดของเมืองกว่างหลิง ถัดจากนั้นเขาเริ่มบอกเล่าเรื่องราวส่วนที่เหลือที่เขารู้ในสันเขามารดาภูตผีให้ทราบ
หลังจากรับฟังจบ มีอยู่สามเรื่องราวที่ซูอี้เกิดนึกสนใจ
หนึ่งคือ ‘ป่าท้อ’ ที่อยู่ทางตะวันตกของภูเขามารดาภูตผี ที่ซึ่งบรรดาต้นท้อถูกปกคลุมด้วยกลิ่นอายประหลาดตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ หากหลงเข้าไปแล้วจะหาทางกลับออกมาไม่ได้
อีกที่หนึ่งมีนามว่า ‘ทางผีภูเขา’ ซึ่งอยู่ด้านหลังของภูเขามารดาภูตผี หนทางคดเคี้ยวไปในหมอกสีเลือด เมื่อมีคนเหยียบย่ำบนเส้นทางนี้ จะเปรียบดังเข้าสู่ขุมนรก ตลอดเวลามีโอกาสถูกภูตผีเล่นงาน
อีกสถานที่หนึ่งคือซากปรักหักพังบนยอดเขามารดาภูตผี กล่าวกันว่าเคยเป็นศาลเจ้าหลักเมืองเมื่อครั้งอดีต ยามฟ้ามืด กลุ่มดวงไฟสีเขียวจะปรากฏที่นี่ ตราบเท่าที่เข้าไปใกล้ จุดจบของผู้ลองดีคือไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก
นอกเหนือจากที่ทั้งสามนี้ ยังมีสถานที่อันตรายอีกหลายแห่งบนภูเขามารดาภูตผี
จากมุมมองของซูอี้ สถานที่ซึ่ง ‘ศพหกหยิน’ ออกมาหลอกหลอนจะต้องเป็นหนึ่งในสามของสถานที่เหล่านี้!
ตราบที่มองหาสถานที่ที่เหมาะสมได้ การจะหาวัตถุดิบวิญญาณก็ไม่ยาก อย่างเช่นเส้นชีพจรพลังหยิน หญ้าหกหยิน และดอกไม้แสงตะวัน
“กัวปิ่ง พาพวกเราไปที่ป่าท้อก่อน!” ทันใดนั้นสตรีในเครื่องแบบได้เอ่ยขึ้นมา นางที่รับฟังคำของกัวปิ่งจึงครุ่นคิดตาม
กัวปิ่งเกิดสั่นเทาพร้อมกล่าวคำตอบ “แม่นาง สถานที่แห่งนั้นคือแดนมรณะ…”
สตรีในเครื่องแบบเอ่ยคำ “หยุดวาจาเจ้า เพียงนำทางเราไปที่นั่น ข้ารับปากว่าเจ้าจะไม่ตกอยู่ในอันตรายใดทั้งสิ้น”
กัวปิ่งถอนหายใจ หันไปถามต่อซูอี้ “ท่านเขย ท่านว่าอย่างไร?”
“ไปรับชมที่นั่นก่อนก็ดี” ซูอี้กล่าวตามปกติ
ตัวเขานึกสงสัยแต่แรก สตรีในเครื่องแบบอาจมีเป้าหมายเดินทางเช่นเดียวกับตัวเขา
กระนั้นแล้ว โอกาสนั้นไร้เจ้าของ หากจำเป็นต้องต่อสู้แย่งชิง เขาก็ไม่คิดมากมารยาท
ได้ยินคำกล่าวของซูอี้ คิ้วงามของสตรีในเครื่องแบบเกิดขมวดมุ่น
ผู้คุ้มกันข้างกายนางเอ่ยคำเสียงเบา “คุณหนูอย่าได้กังวล หากเขาขัดขวางพวกเรา เมื่อนั้นย่อมตกตาย!”
สตรีในเครื่องแบบฮึมฮัมตอบรับ ถ้อยคำไม่ได้กล่าวตอบ
ขณะพูดคุย ทั้งคณะผ่านพื้นที่สุสาน กัวปิ่งนำทางสู่ภูเขามารดาภูตผีผ่านเส้นทางอันขรุขระ
ช่วงเวลามาถึงที่นี่ ฟากฟ้าที่เดิมสดใสกลายเป็นมืดทึบ หมู่เมฆหนาปรากฏเป็นสีเทา
ลมกระโชกจากภูเขาพัดมา เป็นผลให้ต้นไม้ใบหญ้าเกิดเสียงซอกแซก พลังปราณอันหนักอึ้งแผ่ไปในอากาศ
‘บนภูเขาปี่ยมด้วยกระแสหยินและมาร พลังปราณอันรุนแรง เป็นสถานที่อันเหมาะสมในการก่อกำเนิดภูตผี’ ซูอี้เกิดความคิดดังกล่าวขึ้น
เพียงรับชมภูเขาลูกนี้ เขาก็พอได้ทราบไม่ใช่น้อย
“ทุกคนระวังตัว พวกเราเข้าพื้นที่ภูเขาแล้ว อาจมีอันตรายที่คาดไม่ถึงพร้อมเกิดขึ้นตามรายทาง”
กัวปิ่งนำยันต์ออกมาแผ่นหนึ่ง ห้อยไว้ที่คอ ท่าทีระแวดระวังและเคร่งเครียด
“ทุกคนเตรียมอาวุธให้พร้อม ห้ามประมาท หากพบเจออันตรายใด จดจำเอาไว้ว่าปกป้องคุณหนูคือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง” ชายวัยกลางคนในชุดเทาออกคำสั่งอย่างลุ่มลึก
“รับทราบ!” กลุ่มผู้คุ้มกันต่างตื่นตัวเต็มที่
สตรีในเครื่องแบบชักเอาดาบออกจากฝักเตรียมพร้อมเช่นกัน
กระนั้นยามพบเห็นซูอี้ไม่ตอบสนอง ถือไว้เพียงซีกไม้ไผ่จึงแตกตื่น ทว่าไม่ช้าก็พ่นลมหายใจเย็นชาตอบ ทั้งยังเกิดคาดหวังให้มีภูตผีปรากฏสร้างความขลาดกลัวแก่ซูอี้
“ตาเฒ่ากัว ถือซีกไม้ไผ่นี้ไว้ในมือ มันจะช่วยปกป้องเจ้า”
ซูอี้นำยันต์ซีกไม้ไผ่ยาวเจ็ดชุ่นออกมา ส่งมันให้กัวปิ่ง
กัวปิ่งประหลาดใจ แม้สงสัยว่าสิ่งนี้ใช้ทำอะไร แต่เขาก็รับไว้อย่างรวดเร็ว “ขอบคุณท่านเขย”
อาหย่งผู้อยู่ใกล้เคียงรับชมเรื่องราว ยามมองยังยันต์ไม้ไผ่ ดวงตาของเขาอดไม่ได้จนหรี่เล็ก
แม้เขาไม่เห็นผนึกอักขระที่แกะสลักเอาไว้บนซีกไม้ไผ่ กระนั้นเพียงมองก็มากพอให้ทราบ ว่าซีกไม้ไผ่ดังกล่าวทำจากไผ่วิญญาณหยกขจี
‘ไม่เพียงซีกไม้ไผ่นั่นจะสร้างขึ้นจากไผ่วิญญาณหยกขจี แต่ยังให้ยันต์ที่สร้างขึ้นโดยไผ่วิญญาณกับคนเก็บสมุนไพรธรรมดาผู้หนึ่ง เจ้าผู้สกุลซูคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาแล้ว’ อาหย่งลอบขมวดคิ้ว
ครั้งช่วงอยู่ในเมือง เหวินเจวี๋ยหยวนเพียงแนะนำคำสั้น กล่าวว่าซูอี้คือบุตรเขยตระกูลเหวิน หาได้มีความสำคัญใดไม่
แต่แล้วเวลานี้ คล้ายไม่ใช่ง่ายเช่นที่คิด
กระนั้น อาหย่งก็เลือกที่จะไม่คิดอื่นใดมากความอีก
ด้วยตัวตนและการบ่มเพาะของตัวเขา มันมากพอจะรับรองได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ไร้ซึ่งอุบัติเหตุใด
หนทางถัดจากนั้น เมฆยิ่งหนาทึบ แม้เป็นช่วงกลางวัน แต่ราวกับเป็นบรรยากาศอันมืดครึ้มยามค่ำคืน
หมอกลงปกคลุมหนาบนภูเขา ทัศนวิสัยของผู้คนก็ได้รับผลกระทบ การเดินทางจึงเชื่องช้าลง
ไม่ช้า ลมหอบใหญ่พัดผ่าน มันหนาวเสียดแทงเข้ากระดูก
กัวปิ่งแตกตื่นหน้าถอดสี “ไม่ดีแล้ว ภูตผีร้ายกำลังตามพวกเรามา! ต้องรีบกลับ ไปไกลกว่านี้ไม่ดี!”
ทว่าชั่วเวลานี้ อาหย่งแค่นเสียงเย็นชา ดาบที่สะพายไว้ที่หลังถูกชักออกก่อนจะตวัดกวาดออกซึ่งหน้า
ชิ้งงงง!
ประกายแสงกระบี่สีแดงพุ่งทะลวงผ่านหมอก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวน
เพียงครู่หนึ่ง เสียงร้องเลือนหายอย่างกะทันหัน
“เพียงภูตผีชั้นต่ำไร้ปัญญาตัวหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องตกใจไป กัวปิ่ง เจ้านำทางต่อได้แล้ว”
อาหย่งในชุดสีเทาหันกลับ สีหน้าเรียบนิ่งและสงบ ทั้งยังเผยท่าทีสุขสบาย
กัวปิ่งถอนหายใจโล่งอก เกิดสบายใจขึ้น พร้อมประสานมือคารวะ “นายท่านอยู่ด้วย ช่วยลดความหวาดกลัวให้ข้าได้มาก”
‘คนผู้นี้อยู่ขอบเขตที่สองของวิถียุทธ์ ขอบเขตรวบรวมลมปราณ แถมยังอยู่ในขั้นสมบูรณ์ ระดับการบ่มเพาะเช่นนี้หาได้ยากในเมืองกว่างหลิง กระนั้นขณะนี้กลับทำหน้าที่เป็นเพียงผู้คุ้มกัน… ตัวตนของเด็กสาวในเครื่องแบบผู้นี้ เกรงว่าจะไม่ด้อยไปกว่าจางเยวี่ยนซิงผู้มาจากตระกูลจางแห่งเขตปกครองอวิ๋นเหอ’ ซูอี้ครุ่นคิดวิเคราะห์
ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ ภายในต้าโจว กล่าวได้ว่าเป็นยอดคน เป็นรองก็เพียงแต่ยอดยุทธ์ขอบเขตหลอมกำเนิด!
ถัดจากนั้น ทุกคนต่างเดินทางกันต่อ
ระหว่างทางไร้ซึ่งเรื่องราวใดเกิดขึ้น
เรื่องนี้ส่วนหนึ่งก็เพราะกัวปิ่งนำทาง หากไม่ใช่เป็นผู้คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดีแล้ว กลุ่มคนทั้งหมดคงพบเจออันตรายไปมากมาย
แม้ว่าภูเขามารดาภูตผีจะเป็นเพียงภูเขาแห่งหนึ่ง ทว่ามันกลับกว้างใหญ่ ปกคลุมรัศมีพื้นที่หลายสิบลี้ มีหินใหญ่กระจายทั่ว มีพื้นที่เขียวชอุ่ม รวมถึงพื้นที่ขรุขระ ผนวกกับเมฆและหมอกอันหนาทึบ ความเร็วเดินทางของกลุ่มคนจึงต้องล่าช้าไปมาก
ราวครึ่งชั่วยามผ่านพ้น
พวกเขาเพียงเดินทางถึงครึ่งทางขึ้นบนภูเขา
“ท่านเขยรับชม ลึกเข้าไปในป่าสนขาวบริเวณนั้น คือที่ตั้งของวัดร้างที่ข้ากล่าวบอกถึง”
กัวปิ่งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมชี้นิ้วบอกทิศทางให้ทราบ
ขณะทุกคนมองตาม พบเห็นเป็นป่าสนขาวขมุกขมัวในสายหมอก ทว่าไม่อาจได้เห็นว่ามันลึกเพียงใด
“หากตอนขากลับล่วงเข้ายามค่ำ เราควรพักที่วัดร้างแห่งนั้นสักคืนหนึ่งจะดีกว่า”
กัวปิ่งกล่าวคำ ขณะคิดเดินนำทางต่อ จู่ ๆ แสงไฟสลัวพลันจุดสว่างภายในป่าสนขาวที่อยู่ไกลห่าง
“หืม?”
ช่วงเวลาเดียวกัน ทั้งซูอี้ที่นำอยู่ด้านหน้าคณะ รวมทั้งอาหย่งต่างได้รับชมถึงภาพฉากตรงหน้า
[1] หนึ่งในสี่ชั่วยาม เท่ากับ ครึ่งชั่วโมง