บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 622 ที่อยู่
ตอนที่ 622: ที่อยู่
ตอนที่ 622: ที่อยู่
โลกใต้พิภพ
“ศึกจบลงแล้วหรือ…”
ณ หน้าศาลา ชิงจินกำมือของตนเงียบ ๆ และรู้สึกไม่สบายใจนัก
โลกใต้พิภพนี้ห่างไกลจากพื้นดินหลายพันจั้ง
เมื่อนางอยู่ที่นี่ ก็ได้ยินเพียงเสียงการต่อสู้ครึกโครม
“ซูอี้ผู้นั้นยืนหยัดมาจนถูกฆ่าในยามนี้ นับว่าไม่ธรรมดา” เซียนฮัวซงกระซิบอยู่ข้างกายนาง
ทั้งเขาและชิงจินต่างไม่ได้จากโลกใต้พิภพนี้ไป ทว่าไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต้องการ
แต่ก่อนหม่าเฉิงคงจากไป เขาได้สั่งการให้ผู้ฝึกตนของตำหนักมารเทียนอวี้ซึ่งประจำการอยู่ที่นี่ จับตามองพวกเขา ไม่ให้ออกไปไหนโดยไม่ได้รับอนุญาต
ยามนี้ ไม่ไกลจากศาลานัก มีผู้ฝึกตนในขอบเขตไร้เบญจธัญประจำอยู่สี่คน
“ถูกฆ่า? ไม่มีทาง! ในเมื่อซูอี้กล้ามา เขาจะไม่มีสิ่งใดให้พึ่งพาเลยหรือไร? เขาไม่มีทางรนหาที่ตายโง่ ๆ เยี่ยงนั้นแน่”
ชิงจินแย้ง
นางประทับใจในตัวซูอี้ยิ่งนัก
กลับไปยังจุดเริ่มต้น ไม่ว่าสถานการณ์จะอันตรายเพียงไร ทุกคราที่ผู้คนทั่วโลกคิดว่าซูอี้จะปราชัยแน่นอน ผลลัพธ์ที่ได้มักจบโดยชัยชนะขาดลอยของซูอี้!
นับแต่อดีต
เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่งานเลี้ยงน้ำชาเขาประจิมในแคว้นกุ่น
การประลองกับซูหงหลี่ในนครหลวงอวี้จิงก็เช่นกัน!
เพราะเกียรติประวัติในอดีตของเขา ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าท้าทายอำนาจสวรรค์เช่นนี้เอง ซูอี้จึงกลายมาเป็นตำนานไร้พ่ายแห่งต้าโจวมาแต่เดิม
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ชิงจินจึงไม่เชื่อว่าซูอี้จะถูกฆ่า!
“โลกนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน อย่าว่าแต่ครานี้แตกต่างจากในอดีต ด้วยอำนาจของตำหนักมารเทียนอวี้ การฆ่าคนเช่นซูอี้นั้นไม่ต่างกับบี้มด”
เมื่อเห็นสีหน้าดื้นรั้นของชิงจิน เซียนฮัวซงจึงส่ายหัวอยู่สักพักแล้วพูดว่า “ชิงจิน เจ้าก็ควรยอมรับความจริงได้แล้ว ยามอารักษ์หม่ากลับมา เจ้าควรขอโทษเขาเสีย ด้วยฐานะตำแหน่งของอีกฝ่าย เจ้าติดตามเขาก็ไม่ต้องเป็นห่วงอันใดแล้ว”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ในอนาคต หากเจ้าปรณนิบัติเขา มันจะไม่ต่างจากกลายเป็นนางสวรรค์เทพเซียน มันใกล้เพียงแค่เอื้อมมือ…”
“พอที!”
ชิงจินโกรธจนไหล่สั่น กล่าวว่า “ข้าบอกแล้ว แม้ข้าตาย ข้าก็จะไม่พลีร่างต่อตาเฒ่าผู้ทำแต่เรื่องชั่วช้าเป็นแน่!”
เซียนฮัวซงอึ้งไป อดรำคาญใจไม่ได้ และกล่าวว่า “ชิงจิน อาจารย์ไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของเจ้าอยู่หรอกหรือไร? เจ้าต้องให้ข้าใช้กำลังหรือ?”
“เพื่อผลประโยชน์ของข้า?”
ใบหน้างดงามของชิงจินซีดเซียว น้ำเสียงของนางจนใจเกินบรรยาย
นางล้าจะกล่าวต่อ
ยามนี้ มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นไกล ๆ
เซียนฮัวซงกลับมากระปรี้กระเปร่า กล่าวว่า
“หรืออารักษ์หม่าจะกลับมาแล้ว?”
หัวใจของชิงจินดูราวถูกบีบแน่น สีหน้าของนางแปรผันเล็กน้อย
ทันใดนั้น นางก็ตระหนักได้ว่าบางสิ่งผิดปกติ ก่อนหน้านี้ มีผู้ฝึกตนหลายสิบคนพุ่งออกไปข้างนอกเพื่อจัดการกับซูอี้
ในหมู่พวกเขามีสัตว์ประหลาดร้ายกาจเช่นถูไป๋เจิ้นอยู่ด้วย
หากเขาชนะและกลับมา หม่าเฉิงคงจะกลับมาผู้เดียวได้เช่นไร?
เมื่อคิดเช่นนี้ ชิงจินก็ลอบเหลือบตาขึ้นมองไปไกล
นางพบร่างสูงสง่างามของชายผู้หนึ่งเดินมาลิบ ๆ
อาภรณ์สีเขียวดั่งหยก ราวเทพเซียนผู้เฉยชาต่อทุกสิ่งเหมือนฝุ่นผง
ในโลกใต้พิภพอันมืดมิดนี้ การปรากฏตัวของเขาเป็นราวแสงสว่างที่ส่องมาถึงหัวใจของชิงจิน บรรยากาศรอบตัวนางพลันสว่างเจิดจ้าขึ้น
เป็นเขา!
เป็นเขาจริง ๆ!
อารมณ์ของชิงจินพลุ่งพล่าน ร่างอรชรสั่นเบา ๆ ราวกับคนใกล้จมน้ำเห็นเรือใหญ่ล่องลมผจญคลื่นผ่านมา
“เจ้า… เจ้าคือ… เป็นไปได้เช่นไร!?”
ในขณะเดียวกัน เซียนฮัวซงก็มองเห็นซูอี้ ดวงตาของเขาแทบเด้งจากเบ้าด้วยความตกใจ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากเชื่อ งุนงงสุดขีด
ซูอี้อยู่ที่นี่ ทว่าถูไป๋เจิ้นและผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้คนอื่น ๆ ไม่ได้กลับมา นี่หมายความเช่นไร ไม่ว่าเซียนฮัวซงหรือชิงจินย่อมเข้าใจกระจ่างแจ้ง!
ผู้ฝึกตนทั้งสี่ของตำหนักมารเทียนอวี้ซึ่งประจำการตรงหน้าศาลาเองก็พบซูอี้ พวกเขากำลังจะโจมตี ทว่าความเจ็บแปลบพลันปรากฏขึ้นในห้วงความนึกคิด นัยน์ตาของเขาหมดแวว หมดสติไป
จากนั้น ร่างของพวกเขาก็ร่วงลงแผ่อย่างไร้เรี่ยวแรงบนพื้น ชีพจรรั่วหายเช่นกระแสน้ำ
วิญญาณของพวกเขาถูกสังหารอย่างเงียบเชียบ!
ภาพนี้ทำให้เซียนฮัวซงตัวสั่น ก่อนกล่าวถาม “เจ้า… ฆ่าผู้อาวุโสถูกับคนอื่นแล้วหรือ?”
“นี่คือคำพูดสุดท้ายของเจ้าหรือ?”
ซูอี้ถาม
เซียนฮัวซงอึ้ง กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ แล้วจึงถาม “ใต้เท้าซูหมายความเช่นไร?”
ฉึก!
ซูอี้ยกมือขึ้นเล็กน้อย โลหิตทะลักจากรูกลางหว่างคิ้วของฮัวซง จากนั้นก็ล้มตึงลงกับพื้น
ใบหน้างดงามของชิงจินซีดขาว เสียงของนางขาดห้วง “นายน้อยซู เหตุใดท่านจึงสังหารอาจารย์ข้าหรือ?”
“เขาควรจะตายตั้งนานแล้ว”
ซูอี้กล่าว “ยิ่งกว่านั้น ในฐานะอาจารย์ กลับขืนใจศิษย์ให้ตกเป็นอนุของผู้อื่น เจ้าจะเก็บผู้ที่ทำกับเจ้าไม่ต่างจากเดรัจฉานไว้เพื่อการใด?”
ชิงจิน “…”
ยามนี้เอง นางจึงตระหนักว่าซูอี้เคยได้ยินคำโต้เถียงก่อนหน้านี้ระหว่างนางและเซียนฮัวซง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหวินฉางไท่และฉินชิ่งถูกขังอยู่หนใด?”
ซูอี้ถาม
ชิงจินกระซิบ “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าพวกเขาคือผู้ใด แต่ข้ารู้ว่าผู้ที่ถูกตำหนักมารเทียนอวี้จับมาถูกขังอยู่หนใด”
“พาข้าไปที”
“ได้!”
ชิงจินหันหลังเดินนำทาง
ในโลกใต้พิภพนี้ มีศาลามากมายเยี่ยงป่า และกลุ่มตำหนักขึ้นเป็นกระจุกก้อน
ผู้ฝึกตนมากมายของตำหนักมารเทียนอวี้ที่กระจายตามที่ต่าง ๆ ยังไม่ตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกหล้า
ระหว่างทาง ชิงจินอดกังวลไม่ได้ว่านางจะถูกพบเห็นโดยผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้
ทว่าไม่นานนัก นางก็พบว่าตนกังวลเสียเปล่า
เพราะก่อนที่พวกเขาจะพบนางกับซูอี้ เหล่าผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ต่างร่วงลงพื้นไปทีละคน ตายไปอย่างเงียบ ๆ
ถูกสังหารวิญญาณโดยไร้ข้อยกเว้น
นี่ทำให้หัวใจของชิงจินบิดมวนอยู่ชั่วขณะ
แม้นางจะไม่ได้เห็นซูอี้ลงมือ ทว่านางจะไม่รู้ได้เช่นไรว่านี่คือการกระทำของซูอี้?
“ไม่ต้องสงสัยเลย ณ โลกภายนอก ถูไป๋เจิ้นกับพวกผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ของตำหนักมารเทียนอวี้ถูกซูอี้ฆ่าตายหมดแล้ว ทว่าหากเป็นเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าซูอี้สามารถฆ่ามหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้หรือ?”
ชิงจินตะลึงค้าง “ไม่น่าเชื่อยิ่งนัก เพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน เหตุใดเขาจึงแข็งแกร่งขึ้นถึงเพียงนี้?”
ชิงจินระลึกถึงยามนางแรกพบซูอี้บนเรือซึ่งมุ่งหน้าไปยังมหานครอวิ๋นเหอขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ยามนั้น ซูอี้ผู้ซึ่งเพิ่งเลื่อนถึงขอบเขตโคจรโลหิตกล่าวไว้ว่า เขาอยากรับนางเป็นสาวใช้ข้างกาย
ชิงจินปฏิเสธโดยไม่ลังเล กระทั่งบันดาลโทสะเพราะเหตุนั้น คิดว่าซูอี้กระทำการเกินกำลังตน
ครั้งต่อมาคือในโคมเขียวในมหานครอวิ๋นเหอ และเพราะนางหยามเหยียดฉาจิ่น ซูอี้จึงตบหน้านางโดยไม่มากพิธี
เมื่อประสบกับการหยามเกียรติเช่นนั้น ชิงจินย่อมไม่อาจลืม
ทว่ายามนี้ ชิงจินจนปัญญา ไม่รู้ว่าจะโกรธเกลียดซูอี้หรือขอบคุณเขา หรือเสียใจที่ไม่ได้ตอบรับเป็นสาวใช้ของซูอี้ดี?
ครู่ต่อมา ชิงจินก็ลอบส่ายหน้า ทิ้งความคิดอันยุ่งเหยิงของนางทิ้งไป
นางมองทารกในมือซ้ายของซูอี้ อดถามไม่ได้ว่า “นี่… ลูกเจ้าหรือ?”
“เปล่า แค่เก็บมาน่ะ”
ซูอี้กล่าว
ชิงจินตกใจ ถามว่า “ชายหรือหญิง?”
“หญิง”
ซูอี้ตอบ
ชิงจินกระซิบ “เช่นนั้นนางจะโตมางดงามนัก”
ใบหน้าของทารกผู้นี้ใสซื่อไร้เดียงสา ผิวพรรณกระจ่างขาว
“และยังน่ากลัวยิ่งนักด้วย”
ซูอี้คิดสักพัก ก่อนกล่าวเช่นนั้น
เพราะถึงอย่างไร ทารกหญิงผู้นี้เป็นมารมาแต่เกิด ทั้งยังมีความสามารถหายากชั้นเลิศเยี่ยงโลหิตทองคำจิตมาร
อย่ามองนางเป็นเพียงทารก แม้จะไม่ใส่ใจนาง แต่นางก็ยังสามารถอยู่รอดอย่างทนทายาดได้ด้วยสัญชาตญาณ!
และด้วยโลหิตทองคำจิตมาร แม้ในอนาคตจะไม่มีผู้ใดสอนการฝึกฝนบ่มเพาะให้นาง นางก็ยังสามารถใช้ความสามารถที่มีกลืนกินวิญญาณ หล่อหลอมโลหิตเพื่อแข็งแกร่งขึ้นได้!
“น่ากลัว?”
ชิงจินงุนงง เห็นได้ชัดว่าไม่อาจเชื่อมโยงทารกน้อยผู้นี้กับคำว่าน่ากลัวได้เลย
“หากเจ้าต้องการ ข้าให้เจ้าเลี้ยงได้นะ? เมื่อนางเติบโต นางจะแข็งแกร่งมากแน่นอน”
ซูอี้กล่าว
ชายหนุ่มจริงจังกับคำพูด เขาไร้ประสบการณ์ชุบเลี้ยงทารก และอีกอย่างคือ เป็นการยากหากจะอุ้มแม่ขวดน้ำมันผู้นี้ไปตามเส้นทางสายการฝึกฝน
สีหน้าของชิงจินนิ่งสนิท นางคิดว่าซูอี้ล้อเล่น
ทว่าเมื่อนางเห็นสีหน้าจริงจังของเขา ในใจของนางก็ลนลาน และรีบกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าพบเด็กคนนี้ ก็นับว่ามีชะตาต่อกัน ข้าไม่อาจยื่นมือเข้าแทรก”
ซูอี้ครุ่นคิด พยักหน้าเข้าใจพลางกล่าว “จริงสิ เจ้าเองก็ยังไม่ได้แต่งงาน หากมีเด็กข้างกายคงไม่แคล้วเกิดข่าวลือ ในภายหลัง ข้าจะหาบ้านที่ดีให้นาง”
กล่าวถึงยามนี้ ทารกหญิงในอ้อมเขนของเขาพลันร้องโยเยเสียงอ้อแอ้ราวเข้าใจคำพูด
เห็นเช่นนี้ ชิงจินก็รู้สึกสงสารอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “นาง… หิวหรือไม่?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว หยิบหินวิญญาณออกมาขยี้เป็นชิ้นเล็ก ๆ หยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วอุดเข้าไปในปากของทารกหญิง
ชิงจินตะลึง “เจ้าให้นางกินหินได้เช่นไร?”
“เจ้าให้อาหารนางได้หรือไม่?”
ซูอี้ถาม
ใบหน้างดงามของชิงจินแดงเรื่อ ส่ายหน้าอย่างขวยเขิน
ซูอี้กล่าวลอยชาย “หากไร้นม เราก็ทำได้เพียงเท่านี้ก่อน ยิ่งกว่านั้น สำหรับนาง สิ่งใดที่มีปราณวิญญาณเลิศรสก็กินได้เสมอ”
“เป็นเช่นนี้ต่อไปก็ได้หรือ?”
ดวงตาหยาดเยิ้มเบิกกว้าง เห็นได้ชัดว่าไม่อยากเชื่อ
ทว่าอึดใจต่อมา นางก็ตะลึงเมื่อเห็นทารกหญิงดูดหินวิญญาณอย่างเอร็ดอร่อย สีหน้าเคลิบเคลิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์สีชมพูของนาง
ครู่ต่อมา นางก็อ้าปากพ่นกากหินวิญญาณออกมาราวถุยเปลือกเมล็ดแตงโม
แล้วซูอี้ก็ยัดเศษหินวิญญาณชิ้นเล็ก ๆ อีกชิ้นเข้าปากนางอย่างเป็นจังหวะเช่นเคย
นี่ทำให้ชิงจินอึ้งไปครู่หนึ่ง
โลกนี้ มีทารกผู้ใดชอบกินหินวิญญาณนับแต่เกิดบ้าง?
ครู่ต่อมา นางก็ทอดถอนใจ “เด็กคนนี้… ไม่ใช่คนธรรมดาจริง ๆ”
ระหว่างการสนทนา พวกเขาก็มาถึงตำหนักแห่งหนึ่งอันเต็มไปด้วยโขดหินสีดำ
ผู้ฝึกตนของตำหนักมารเทียนอวี้หกคนซึ่งประจำการอยู่ใกล้ ๆ ตำหนักถูกซูอี้สังหารด้วยวิชาสังหารวิญญาณเฉกเช่นก่อน
“นายน้อยซู ลึกเข้าไปในตำหนักแห่งนี้คือที่คุมขังนักโทษของตำหนักมารเทียนอวี้”
ชิงจินกล่าว และเดินเข้าไปในนั้นกับซูอี้
ลึกเข้าไปในตำหนัก ห้องขังถูกขุดขึ้น นักรบมากมายทุกเพศและวัยถูกขังอยู่ บรรยากาศหดหู่มืดมน
ซูอี้มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่พบเหวินฉางไท่และฉินชิ่ง
ในทางกลับกัน ระหว่างการค้นหา เขาก็ได้พบใบหน้าคุ้นเคยบ้าง เช่นราชครูหงเซินชางแห่งต้าโจว ราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิงและคนอื่น ๆ
เมื่อยามเก๋อฉางหลิงถูกช่วยเหลือ ซูอี้ก็รับรู้จากปากเขาว่าเหวินฉางไท่กับฮูหยินของเขาถูกส่งออกไปเมื่อเช้าวานนี้
กล่าวกันว่าเหวินฉางไท่และฮูหยินถูกส่งไปยังทะเลวิญญาณโกลาหล ส่งให้กับฉู่ซิว ผู้อาวุโสแห่งตำหนักมารเทียนอวี้!
ยามได้ยินข่าวนี้ ดวงตาของซูอี้ก็หรี่ลงเงียบ ๆ