บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 623 เกาะร้างกลางสมุทร
ตอนที่ 623: เกาะร้างกลางสมุทร
ตอนที่ 623: เกาะร้างกลางสมุทร
เก๋อฉางหลิงเป็นอาจารย์ของเก๋อเฉียน
ซูอี้ไม่อาจไม่เชื่อคำพูดของเขาได้
“ยอดฝีมือแบบใดกันที่พาสองสามีภรรยาไป?”
ซูอี้ถาม
เก๋อฉางหลิงตอบ “ผู้ฝึกตนในขอบเขตเปิดทวารสองคน”
ซูอี้ครุ่นคิดหนัก
พวกเขาเดินทางเช้าวานนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนในขอบเขตเปิดทวารทั้งสอง หากมีวิชาตัวเบาหลบหลีกล้ำเลิศ ก็จะใช้เวลาสามวันกว่าจะไปถึงทะเลวิญญาณโกลาหลในต้าฉิน
ยิ่งกว่านั้น เป็นที่แน่ใจแล้วว่าฉู่ซิวอยู่ลึกเข้าไปในทะเลวิญญาณโกลาหล
คนผู้นี้แอบย่องเข้าไปในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ ทั้งที่รู้ว่าตัวเขา ซูอี้ผู้นี้ครอบครองที่แห่งนั้นไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
ยามที่อีกฝ่ายไม่อาจจับผู้ใดซึ่งเกี่ยวพันกับเขาได้ ต้องคิดว่าพวกหนิงซือฮวาซ่อนอยู่ในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบเป็นแน่
ทว่ายามนี้ อีกฝ่ายต้องการใครสักคนให้ส่งเหวินฉางไท่และฮูหยินลึกเข้าไปในทะเลวิญญาณโกลาหล ซึ่งอาจแปลได้ว่าฉู่ซิวยังไม่ได้เข้าไปในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบ!
คิดเช่นนี้ ซูอี้ก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
ซากปรักหักพังของหอเซียนดาบปกคลุมไปด้วยอำนาจจองจำซึ่งจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนจัดเตรียมไว้ด้วยตนเอง
ดังนั้นมันจึงไม่ยาก หากจะใช้ขวางกั้นบุคคลในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเช่นฉู่ซิว
ยิ่งกว่านั้น มังกรเกล็ดดำอิงเชวียก็พิทักษ์อยู่นอกซากหอเซียนดาบภายใต้คำสั่งของชายหนุ่มอย่างลับ ๆ ดังนั้นด้วยผลการฝึกฝนในขอบเขตสยายวิญญาณของมังกรเกล็ดดำ นั่นเพียงพอแล้วกับการเป็นภัยใหญ่หลวงต่อฉู่ซิว!
บางที อาจเป็นเหตุนี้ก็เป็นได้ที่ฉู่ซิวถูกบังคับให้ใช้เหวินฉางไท่และฮูหยินเป็นตัวประกันข่มขู่เขาอย่างจนตรอก!
“ดูเหมือนเราต้องรีบเดินทางไปยังหอเซียนดาบเสียแล้ว”
เมื่อซูอี้คิดเช่นนี้ เขาก็มองทารกมารในอ้อมแขน หัวใจสะท้านสะเทือน “เมื่อมีมารน้อยเช่นเจ้าอยู่ ไยต้องกังวลมากมายกับฉู่ซิว?”
สถานะของทารกมารในตำหนักมารเทียนอวี้นั้นสูงส่งมาก
เห็นได้ชัดเจนจากความพินอบพิเทาของถูไป๋เจิ้นและผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณคนอื่น ๆ ที่มีต่อทารกมาร
และฉู่ซิวซึ่งก็เป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักมารเทียนอวี้ หากได้พบทารกมารในอ้อมแขนเขา อีกฝ่ายจะยังกล้ากระทำการบุ่มบ่ามอีกหรือไม่?
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้ามารน้อยนี่จะยังมีประโยชน์”
ซูอี้เหลือบมองทารกมารอย่างชื่นชม
เขาไร้เยื่อใยต่อทารกมาร เพราะถึงเช่นไร เขาก็แค่หยิบนางมาเลี้ยงเฉย ๆ
หากไม่ใช่เพราะทารกมารมีความสามารถและเยาว์วัยนัก ซูอี้คงไม่คร้านใส่ใจ
“แล้วเจ้าเล่า เหตุใดจึงถูกขังที่นี่?”
ซูอี้หันไปมองหงเซินชางอย่างกะทันหัน
เขาจำได้ชัดเจนว่าอดีตราชครูแห่งต้าโจวผู้นี้คือผู้สิงสถิตจากต่างโลก!
หงเซินชางกระซิบด้วยสีหน้าขมขื่น “ข้ามาจากมหาทวีปเทียนหมิง ไม่เกี่ยวอันใดกับตำหนักมารเทียนอวี้”
มหาทวีปเทียนหมิง!
ซูอี้ดูครุ่นคิด และจำได้ในไม่ช้าว่าภายใต้การชี้นำของเขา จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงเฉินเจิ้งเคยกลั่นจิตวิญญาณของยอดฝีมือต่างโลกผู้หนึ่ง และได้เรียนรู้สถานการณ์บางอย่างจากมหาทวีปเทียนหมิง
กล่าวกันว่ามีกลุ่มเต๋าอยู่ในมหาทวีปเทียนหมิงห้าแห่ง ทว่าไร้กลุ่มเต๋าในขอบเขตจักรพรรดิ
“ว่าไป ผู้ฝึกตนจากมหาทวีปเทียนหมิงเราก็เป็นเหยื่อเช่นกัน”
หงเซินชางถอนหายใจ
ซูอี้กล่าว “หมายความเช่นไร?”
หงเซินชางกล่าวเสียงต่ำ “ประตูมิติที่หุบเขามารบุปผาโลหิตนี้ แต่เดิมถูกควบคุมโดยขุมอำนาจจากมหาทวีปเทียนหมิง ทว่าไม่นานมานี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้นที่มหาทวีปเทียนหมิงอย่างมหันต์ และตำหนักมารเทียนอวี้จากมหาทวีปเทียนตูก็บุกรุกเข้ามายังมหาทวีปเทียนหมิง…”
จากคำบอกเล่าของหงเซินชาง ในฐานะขุมอำนาจหลักแห่งมหาทวีปเทียนตู ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนตำหนักมารเทียนอวี้จะเอาชนะกลุ่มเต๋าในวิถีวิญญาณทั้งห้าของมหาทวีปเทียนหมิงจนราบคาบ!
และประตูมิติซึ่งนำมาสู่มหาทวีปคังชิงที่หุบเขามารบุปผาโลหิตนี้ก็ย่อมถูกควบคุมโดยตำหนักมารเทียนอวี้
ฟังจบ ซูอี้ก็อดประหลาดใจไม่ได้ ตำหนักมารเทียนอวี้นี่… บ้าคลั่งนัก!
ทว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวพันอันใดกับชายหนุ่ม และเขาก็ไม่ใคร่สนใจ
“ไปกันเถิด ออกจากที่นี่ก่อน”
ซูอี้พาผู้ถูกคุมขังเช่นเก๋อฉางหลิงและหงเซินชางออกจากตำหนักไป
จากนั้น ดวงตาของเขาก็มองไกลออกไปโดยไม่รู้ตัว
บนอากาศ ณ ที่นั้น เกิดวังวนสีเลือดขนาดหลายร้อยจั้งลอยอยู่
นั่นคือผนังกั้นมิติ และยามนี้มีจุดเสียหายมากมาย
มันดูราวกับกำแพงที่แตกร้าว มอบโอกาสให้ตำหนักมารเทียนอวี้จากมหาทวีปเทียนตูส่งกองรบแนวหน้าออกมาต่อสู้ที่ชายแดน!
ซูอี้มองมันอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ตัดสินว่าตนคงไม่อาจซ่อมเขตแดนกั้นโลกนี้ได้จนกว่าจะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ
และทำนายได้ว่าครั้งหน้า เขตแดนกั้นโลกนี้คงเสียหายหนักขึ้นเรื่อย ๆ!
“หากไม่ใช่เวลามีน้อย เราคงวางกับดักกระต่ายที่นี่เพื่อรอปลาใหญ่ในภายหน้าได้…”
ซูอี้ถอนหายใจ
เขาต้องรีบไปยังทะเลวิญญาณโกลาหลโดยไม่โอ้เอ้
หาไม่ การวางกับดักรอปลาใหญ่ที่นี่ในภายหน้าคงบันเทิงไม่น้อย
ยามเมื่อเขากลับมาสู่โลกภายนอก รัตติกาลก็แผ่พรมลงมาเงียบ ๆ
ซูอี้หันไปบอกเก๋อฉางหลิงว่า “รบกวนสหายเต๋าเก๋อรอที่นี่สักสองสามวัน เมื่อพวกเก๋อเฉียนมาถึง บอกพวกเขาว่าข้าไปทะเลวิญญาณโกลาหลแล้ว ให้พวกเขาตามมาพบข้าที่นั่น”
“ตกลง!”
เก๋อฉางหลิงตอบตกลงอย่างยินดี
ไม่มัวรีรอ ซูอี้โอบอุ้มทารกมารด้วยหนึ่งมือ และร่างของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานฝ่าอากาศ
เมื่อเห็นร่างของเขาหายลับฟ้าราตรีไป เก๋อฉางหลิงก็ฉวยโอกาสถามชิงจิน “ก่อนหน้านี้… เป็นสหายเต๋าซูหรือที่สังหารผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้พวกนั้น?”
หงเซินชางและคนอื่น ๆ ต่างพุ่งความสนใจไปที่ชิงจิน
ชิงจินพยักหน้า
จากนั้น หลี่ฉางหลิ่นก็ก้าวออกมาเล่าเหตุการณ์ศึกที่เคยเกิดขึ้น
หลังจากได้ยินเช่นนี้ เก๋อฉางหลิงและคณะต่างทั้งตื่นเต้นและตกตะลึง
“หากจะมีเทพเซียนใดในโลกนี้ ผู้นั้นย่อมต้องเป็นซูอี้!”
หงเซินชางพึมพำ
คนทุกผู้เผลอพยักหน้าตอบ
…
ภายใต้นภารัตติกาล
ซูอี้ใช้วิชาหลบหนีทะยานเวหา ไหวร่างพลิ้วกายห้อตะบึงในหมู่เมฆาราวกับลำแสงลู่เล่นลม
“นับแต่กลับมายังต้าโจวแห่งนี้ ข้าก็ถูกผลกรรมมากมายพัวพัน วิ่งเต้นไปทั่วไม่หยุดหย่อน ไร้โอกาสผ่อนคลายจริงแท้”
“กระทั่งตารางฝึกฝนของข้ายังถูกรบกวน…”
“ท้ายที่สุดแล้ว ทุกสิ่งนี้ก็เป็นผลมาจากฉู่ซิว!”
หัวใจของซูอี้มีจิตสังหารพลุ่งพล่าน
เมื่อเขากลับสู่ต้าโจวในยามนี้ เขาต้องการกลับไปเยี่ยมสถานที่เก่า ๆ ก็เพื่อสงบหัวใจตน
ใครเล่าจะคิดว่าการปรากฏของตำหนักมารเทียนอวี้จะรบกวนทุกจังหวะ บังคับเขาให้ต้องเข้าพัวพัน วิ่งเต้นไปรอบ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
นับแต่มหานครอวิ๋นเหอสู่นครหลวงอวี้จิง และยามนี้ จากหุบเขามารบุปผาโลหิตไปยังทะเลวิญญาณโกลาหล… ความรู้สึกที่ต้องตั้งรับสถานเดียวทำให้ซูอี้ไม่ยินดียิ่ง
‘ภายหน้า ไม่ช้าก็เร็วข้าก็จะจากต้าโจว แต่ก่อนหน้านั้นเรื่องทั้งหมดต้องถูกสะสางก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความพลิกผันอีกเช่นนี้’
ซูอี้ลอบคิด
เขาเวียนวัฏสงสารเริ่มการฝึกฝนใหม่ มุ่งเน้นที่มหาวิถี ชะตาถูกกำหนดว่าไม่อาจอยู่ที่เดิมได้นาน
กระทั่งในภายหน้า หากมหาทวีปคังชิงไม่อาจเติมเต็มความต้องการในการฝึกฝนของซูอี้ได้ เขาก็ย่อมเลือกไปยังสถานที่อื่น
นอกเหนือจากนั้น เขายังต้องกลับไปยังเก้ามหาแดนดินเพื่อปลดปมค้างคาในอดีตชาติด้วย!
ก่อนหน้านั้น สิ่งที่เขาต้องทำก็คือแข็งแกร่งให้มากกว่านี้ และอีกประการคือหาถิ่นที่อยู่ให้ผู้คนรอบกายเพื่อปกป้องพิทักษ์จากอุปสรรคใด ๆ
…
ลึกเข้าไปในทะเลวิญญาณโกลาหล
มีที่พักชั่วคราวถูกสร้างขึ้นบนเกาะร้างแห่งหนึ่ง
ท้องฟ้ามืดหม่น เกิดท้องสมุทรปั่นป่วนรอบ ๆ เกาะร้าง ทำให้มีเกลียวคลื่นซัดสาดหาดฝั่ง และเสียงคลื่นลมสนั่นลั่นทั่ว
ฉู่ซิวสวมชุดคลุมสีดำ ยืนอยู่เหนือสุดในเกาะร้าง
ดวงตาวาวโรจน์จ้องมองไปไกล
ในช่วงระยะนี้ ปราณวิญญาณทั่วฟ้าดินบนมหาทวีปคังชิงกำลังฟื้นตัว ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบนแผ่นดินอันโหดร้ายของทะเลวิญญาณโกลาหลอย่างน่าตกใจ
ในท้องสมุทรไร้ขอบเขต สัญญาณของการฟื้นตัวของปราณวิญญาณรุนแรงยิ่งกว่าที่ใด และซากโบราณสถานก็ปรากฏขึ้นตามที่ต่าง ๆ มากมาย เกิดเป็นปรากฏการณ์พิสดารทั่วฟ้าดิน
ในบริเวณทะเลบางแห่งเกิดวังวนวิญญาณผุดขึ้นหลายที่ และสมบัติวิญญาณบางชิ้นซึ่งจมอยู่ก้นทะเลก็ปรากฏกลับสู่โลกหล้า
โบราณสถาน สมบัติวิญญาณ การฟื้นตัวของปราณ…
ทุกสิ่งเหล่านี้ยั่วยวนใจยอดฝีมือมากมาย
มีเหล่าผู้ฝึกตนมาจากเขตการปกครองแห่งต้าฉิน และยังมีผู้ฝึกตนจากโลกต่าง ๆ ซึ่งข้ามเขตแดนมา
ทั่วทะเลวิญญาณโกลาหลปั่นป่วนยุ่งเหยิง การนองเลือดวนซ้ำไม่รู้จบ
ฉู่ซิวไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น
จุดประสงค์เดียวที่เขามายังทะเลวิญญาณโกลาหลนั่นก็คือการจับกุมผู้คนซึ่งเกี่ยวข้องกับซูอี้!
นับแต่เขาแรกมาถึง ฉู่ซิวได้พบข้อมูลอันล้ำค่ามากมายจากเบาะแสต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น ยามเมื่อซูอี้อยู่ในต้าโจว บุคคลใกล้ชิดที่สุดของเขาคือกลุ่มคนซึ่งนำโดยเจ้าตำหนักเทียนหยวน รวมถึงเหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น มู่ซี เถาชิงซานและอื่น ๆ!
ในระหว่างที่เขาเข้าไปในทะเลวิญญาณโกลาหล ฉู่ซิวก็ได้พยายามบุกเข้าไปในซากปรักหักพังของหอเซียนดาบหลายต่อหลายครั้ง
ทว่าทุกอย่างกลับจบด้วยความล้มเหลว
มีเหตุผลสองข้อ
ข้อแรกคือ ทางเข้าซากปรักหักพังของหอเซียนดาบถูกปกคลุมด้วยค่ายกลอันร้ายกาจ
ข้อที่สองคือในทะเลบริเวณนั้น มีมังกรเกล็ดดำเฒ่าในขอบเขตสยายวิญญาณคุมอยู่!
“ด้วยสมบัติลับในมือข้า มันไม่ยากที่จะหยุดมังกรเฒ่านั่น สิ่งที่ยากในตอนนี้คือการเข้าสู่ซากของหอเซียนดาบต่างหาก…”
“แต่ไม่เป็นไร เมื่อพ่อแม่ของเหวินหลิงเสวี่ยถูกจับได้ เมื่อใช้สองคนนี้ เราก็อาจฉวยโอกาสโจมตีได้ในคราเดียว!”
ดวงตาของฉู่ซิววาวโรจน์ “ยามนั้น ขอเพียงจับพวกหนิงซือฮวาได้ เจ้าก็จะมีบทบาทสำคัญยิ่งในการจัดการกับซูอี้ในภายหน้า”
เขาเกลียดซูอี้
เกลียดจนยากจะใช้น้ำทั่วสี่คาบสมุทรมาล้างออกไปได้!
“ผู้อาวุโสฉู่ มีข่าวแจ้งมาแล้วว่าในหนึ่งชั่วยาม เหวินฉางไท่และฮูหยินของเขาจะถูกพามาที่นี่ขอรับ!”
จู่ ๆ เสียงรายงานอย่างนอบน้อมก็แว่วมาจากไกล ๆ
แววตาของฉู่ซิวฉายประกาย ก่อนกล่าวว่า “ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ยามสองตัวประกันถูกส่งมอบ เราจะไปที่หน้าประตูซากของหอเซียนดาบกัน!”
“ขอรับ!”
ผู้ส่งสาส์นรีบร้อนจากไป
บนเกาะร้างแห่งนี้มีอารักษ์จากตำหนักมารเทียนอวี้สี่คน ผู้ดูแลในขอบเขตเปิดทวารสิบแปดคน และผู้ฝึกตนในขอบเขตไร้เบญจธัญอีกสามสิบเก้าคน
ฉู่ซิวมั่นใจว่า ตราบใดที่เขาปราบมังกรดำเฒ่าและใช้ชีวิตของเหวินฉางไท่กับฮูหยินของเขากรุยทาง ด้วยอำนาจที่เขามี พวกเขาจะสามารถสยบพวกหนิงซือฮวาได้ง่าย ๆ!
ยามนี้ เสียงทอดถอนใจหนึ่งพลันดัง “เดี๋ยวสู้เดี๋ยวรบ ชีวิตช่างน่าเหนื่อยหน่ายแท้”
ฉู่ซิวร่างแข็งค้าง และหันขวับไปมองตามทิศทางเสียง
เขาเห็นร่าง ๆ หนึ่งที่ผาใกล้ทะเลไม่ห่างไปนัก
เขาสวมชุดคลุมสีขาว นั่งอยู่เบื้องหน้าผา สองเท้าลอยบนอากาศ ตกปลาด้วยเบ็ดไม้ไผ่ในมือ
ท่าทางช่างดูสบาย
ทว่าฉู่ซิวกลับสันหลังหนาวเยือก คนผู้นี้… ปรากฏขึ้นแต่ยามใด!?