บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 627 ไม่อาจหนีโทษตายพ้น
ตอนที่ 627: ไม่อาจหนีโทษตายพ้น
ตอนที่ 627: ไม่อาจหนีโทษตายพ้น
ภายในหอเซียนดาบ
“สหายเต๋าซูยังคงไร้ผู้ใดเปรียบได้เหมือนเช่นเคย”
ดวงตาคู่งามของหนิงซือฮวาเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
ทั้งฉาจิ่นและเหวินหลิงเสวี่ยต่างพยักหน้าเห็นด้วย
ด้วยภาพเหตุการณ์ภายนอกที่ประจักษ์แก่สายตา ความขมขื่น ความไร้หนทาง ความเศร้าโศก และโทสะของพวกนางจึงถูกระบายออกไป ทำให้ขณะนี้พวกนางรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะการกระทำอันไม่ยอมโอนอ่อนต่อรองของซูอี้ ทุกคนจึงได้เห็นว่าฉู่ซิวแท้จริงแล้วไม่กล้าลงมือสังหารเหวินฉางไท่และภรรยา!
หากตัวประกันตายไปจะใช้วิธีใดบีบบังคับได้อีก?
ภายนอก
ใจของฉู่ซิวเกิดร้อนรน
เขาย่อมตระหนักได้ว่าเมื่อใดที่เขาสังหารเหวินฉางไท่และภรรยา ไม่เพียงแต่ทารกศักดิ์สิทธิ์จะต้องตาย แม้แต่พวกเขาเองก็ยังอาจจะไม่รอดไปจากที่นี่สักคนเช่นกัน!
“ในความเห็นของข้า เจ้าควรตกลงแลกเปลี่ยนตัวประกันจะดีกว่า”
ชิงลั่วส่ายหัวครู่หนึ่ง “เจ้าใช้กลอุบายที่น่ารังเกียจเช่นนี้ในระหว่างแสวงหามรรคาเต๋าได้อย่างไร? สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่าเจ้าช่างอ่อนแอและไร้อนาคตนัก”
สีหน้าของฉู่ซิวมืดหม่นไม่อาจสรรหาคำใดมาหักล้างได้
หากเขาแข็งแกร่งจริง เขาจะหนีออกจากนครหลวงจิ๋วติ่งเพื่ออะไร?
ในทำนองเดียวกัน ถ้าแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต่อกรกับซูอี้ เขาคงไม่วางแผนจับตัวประกันอย่างน่าละอายเช่นนี้!
“ตกลง! ข้าตกลง!”
ฉู่ซิวกัดฟันและมองซูอี้ด้วยแววตาอาฆาตแค้น “แต่ข้าต้องตรวจสอบก่อนว่าทารกศักดิ์สิทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ปลอดภัยดีหรือไม่!”
ยามเมื่อเสียงประกาศเบาลง
ทารกศักดิ์สิทธิ์ที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของซูอี้ก็เปิดตาเล็กน้อย ริมฝีปากส่งเสียงอ้อแอ้อย่างแผ่วเบา ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลราวกับว่ากำลังขอความช่วยเหลือ
แลเห็นเช่นนี้สีหน้าของฉู่ซิวก็เปลี่ยนไปในทันใด ก่อนจะกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “นายท่านอย่าได้กังวลใจไป ข้ารับใช้ผู้นี้จะรีบพาท่านกลับไปอย่างปลอดภัยแน่นอน!”
“เจ้าตัวเล็กคนนี้ช่างน่าสนใจมาก”
มีความแปลกประหลาดในแววตาที่ลึกล้ำของชิงลั่ว “ทารกมารผู้นี้เป็นมารที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์โดยกำเนิดที่ไม่เหมือนใครซึ่งหายากยิ่ง อยากรู้เสียจริงว่าโลหิตของทารกน้อยคนนี้มีรสชาติอย่างไร… ”
หลังจากพูดจบเขาก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากของตนเอง
สิ่งนี้ทำให้ฉู่ซิวทั้งตื่นตระหนกและบังเกิดโทสะ ชายผู้นี้เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?
เหตุใดจึงคิดแต่เรื่องพรรค์นี้ไม่หยุดหย่อน?
แต่ทันใดนั้นฉู่ซิวเพิ่งตระหนักได้เรื่องหนึ่ง ว่าการที่ชิงลั่วยังคงสงบนิ่งได้ขนาดนี้มันย่อมหมายความว่าเขามีกำลังมากพอที่จะฆ่าซูอี้ ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายจะกล้าประมาทเช่นนี้ได้อย่างไร?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้หัวใจของฉู่ซิวก็เต้นแรง
ในขณะเดียวกันซูอี้เอ่ยขึ้นว่า “จงโยนตัวประกันในมือของเจ้าไปยังม่านพลังของค่ายกล”
อำนาจของค่ายกลผนึกเก้าสวรรค์ถูกควบคุมโดยหนิงซือฮวา ดังนั้นเมื่อใดที่เหวินฉางไท่และภรรยาถูกโยนเข้าไปในค่ายกล หนิงซือฮวาย่อมสามารถเคลื่อนย้ายร่างของคนทั้งคู่ให้เข้าสู่ภายในหอเซียนดาบได้ในทันที
“แล้วถ้าเจ้ากลับคำขึ้นมาข้าจะทำเช่นไร?”
ฉู่ซิวลังเล
ซูอี้ตอบกลับอย่างเฉยเมย “ข้าไม่ใช่คนเช่นเจ้า”
สีหน้าของฉู่ซิวแข็งค้าง แต่แล้วในที่สุดเขากัดฟันและโยนเหวินฉางไท่และภรรยาออกไป
ครืน!
ม่านพลังของค่ายกลที่ปกคลุมอยู่พื้นที่โดยรอบเข้าห้อมล้อมร่างของเหวินฉางไท่และภรรยา ก่อนจะเคลื่อนย้ายคนทั้งคู่ให้หายไปในพริบตา
เหวินหลิงเสวี่ย หนิงซือฮวา และฉาจิ่นในหอเซียนดาบเมื่อเห็นเช่นนี้ทุกคนต่างก็โล่งใจ
“ถึงตาเจ้าแล้ว!”
ดวงตาของฉู่ซิวจับจ้องไปที่ซูอี้โดยไม่กะพริบ ราวกับว่าเขากลัวว่าซูอี้จะกลับคำพูด
ซูอี้จับร่างทารกศักดิ์สิทธิ์ขึ้นแล้วโยนส่งให้
ฉู่ซิวถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อรับทารกศักดิ์สิทธิ์มาไว้ในอ้อมแขนสำเร็จ
เคร้ง!
ทันใดนั้นเสียงคำรามของดาบที่แจ่มชัดเสียดหูดังก้อง ราวกับว่าดาบนี้ถูกระงับไว้นานจนความปรารถนากินเลือดกินเนื้อล้นปรี่ กลิ่นอายอันน่าเย็นเยือกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แทรกซึมเข้าไปทุกอณูของผู้ที่รับชม
ดวงตาของฉู่ซิวหรี่ลง
ร่างกายของชิงลั่วสะดุ้งเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ซูอี้สงบราบเรียบไม่ไหวติง แต่ในขณะนี้ราวกับวายุที่กระโชกแรง ร่างของซูอี้หายไปในพริบตา และพริบตาต่อมาร่างของซูอี้ได้ปรากฏขึ้นที่กลางวงหมู่คนของตำหนักมารเทียนอวี้
ที่เร็วกว่าปฏิกิริยาโต้ตอบของทุกคนคือดาบนิลกาฬกลืนฟ้า!
ภายใต้อำนาจดาบสังหารที่รวดเร็วสุดจะหยั่งนี้ ผู้คนต่างมองเห็นเป็นแค่เพียงลำแสงที่พุ่งออกไปทุกทิศทุกทาง
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
ในชั่วพริบตา
ผู้ฝึกตนมากกว่าหนึ่งโหลที่มาจากตำหนักมารเทียนอวี้ซึ่งยังไม่ทันได้ตอบสนอง ร่างกายของพวกเขาถูกบดขยี้ด้วยปราณดาบระเบิดออกเป็นชิ้น ๆ ไม่เหลือชิ้นดีแม้แต่คนเดียว!
“แย่แล้ว!”
“หนีเร็ว!”
เสียงกรีดร้องตื่นตระหนกดังขึ้น บรรดาผู้ฝึกตนของตำหนักมารเทียนอวี้เกิดความโกลาหล พากันโยนใช้สมบัติวิเศษป้องกันชีวิตกันวุ่นวาย โคจรทักษะลับทุกอย่างที่ตนมี พยายามอย่างเต็มที่เพื่อต้านทานและหลบเลี่ยง
แต่ไม่ว่าสมบัติวิญญาณ ศาสตราวิเศษ หรือทักษะลับที่พวกเขาเรียกใช้ออกมาปกป้องชีวิตตนเองนั้นจะทรงพลังเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าของซูอี้… พวกมันไม่ต่างจากกระดาษแผ่นหนึ่งแม้แต่น้อย!
นอกจากนี้ความเร็วของซูอี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสายฟ้าเลย ทุกคนต่างมองเห็นเพียงภาพติดตาราง ๆ ซึ่งมันคล้ายว่าร่างของซูอี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทำให้ผู้คนไม่สามารถแยกแยะได้ว่าร่างไหนจริงไหนปลอม
เมื่อความเร็วระดับนี้ผสานรวมเข้ากับอำนาจของดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือของซูอี้ ชายหนุ่มจึงไม่ต่างอะไรจากเทพมรณะผู้ไร้เทียมทาน… ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถต้านทานได้!
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
ผู้ฝึกตนตำหนักมารเทียนอวี้ล้มตายลงทีละคน บางคนศีรษะหลุดลอย บางคนหน้าอกถูกทะลวงเป็นรูโหว่ บางคนถูกผ่าครึ่งอย่างน่าอนาถ
การสังหารอย่างไม่หยุดหย่อนนี้ย้อมน้ำทะเลเบื้องล่างให้กลายเป็นทะเลสีโลหิตกลิ่นคาวคละคลุ้งเตะจมูก
ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตไร้เบญจธัญ ขอบเขตเปิดทวาร หรือขอบเขตรวบรวมดารา พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกสังหารสิ้นด้วยดาบเดียวหมดลมหายใจในพริบตา!
แค่สามลมหายใจ
ยกเว้นฉู่ซิวและผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดาราที่อยู่ข้างเขา ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ของตำหนักมารเทียนอวี้ถูกสังหารลงจนหมดสิ้น!
ดับดิ้นหายไปราวกับเมฆาถูกวายุปัดเป่า!
หมอกโลหิตยังคงลอยค้างอยู่ในอากาศ และเศษซากศพก็ลอยบ้างจมบ้างอยู่ในทะเล
ฉากนองเลือดนี้ทำให้หนิงซือฮวา ฉาจิ่น เหวินหลิงเสวี่ย และคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะตกใจตัวสั่น
ชิงลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวใดตั้งแต่ต้นจนจบ
ทว่าการฆ่าของซูอี้ยังไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น
เคร้ง!
เสื้อคลุมสีเขียวของซูอี้สะบัดอีกครั้ง และเป้าหมายต่อไปของเขาคือฉู่ซิว!
ปราณดาบสีใสพุ่งออกอย่างดุดัน อำนาจของมันกดดันจนผู้คนหายใจลำบาก!
สีหน้าของฉู่ซิวแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ทันที เขาไม่อาจลังเลอีกต่อไปจึงรีบนำคทาหยกหรูอี้ด้ามสีเงินออกมาต้านรับ
ตูม!
คทาหยกหรูอี้เปล่งแสงและปะทุพลังเสียงดังลั่นราวกับฟ้าคำรณแผ่รัศมีแห่งการทำลายล้างล้นหลาม
คทาหยกหรูอี้!
นี่คือศาสตราวิญญาณที่ประทับด้วยเจตจำนงของตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณ
เมื่อไม่กี่วันก่อนด้วยศาสตราชิ้นนี้ ฉู่ซิวจึงสามารถต่อกรกับอิงเชวียได้
เคร้ง!!!
แม้ว่าปราณดาบของซูอี้จะตัดผ่านม่านพลังสีเงินที่แผ่ออกจากคทาหยกหรูอี้ได้ แต่ท้ายที่สุดมันก็ไม่สามารถตัดผ่านคทาหยกที่ขวางไว้ได้
แต่ถึงกระนั้นลมปราณและโลหิตในร่างของฉู่ซิวปั่นป่วนรุนแรงจากแรงปะทะ ร่างของเขาถอยเซไปมาและเกือบจะกระอักเลือดออกมา
เคร้ง!
ทว่าก่อนที่ฉู่ซิวจะทันได้ตั้งตัวติด ซูอี้พลันออกดาบอีกครา!
อำนาจของดาบนี้ที่ปล่อยออกนั้นรุนแรงและปกคลุมฉู่ซิวทุกทิศทางไม่มีช่องว่างให้หลีกเลี่ยง มันทรงอำนาจยิ่งกว่าทุกดาบที่ซูอี้ฟันออกในวันนี้!
เมื่อเห็นว่าไร้หนทางจะหลบหลีก ฉู่ซิวจึงทำได้เพียงขบฟันแน่นก่อนจะโคจรพลังอย่างสุดขีดไปที่คทาหยกหรูอี้เพื่อต้านรับ!
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงปะทะของศาสตราทั้งสองดังสะท้อนกึกก้องจนแม้แต่น้ำทะเลยังเดือดพล่านเกิดเป็นคลื่นลมปั่นป่วนรุนแรง คลื่นปะทะแผ่ขยายออก ทำให้ฟ้าร้องฟ้าคำรณมืดครึ้มราวกับวันสิ้นโลก
ในไม่ช้าฉู่ซิวได้รับบาดเจ็บและกระอักเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า
ด้วยระดับการฝึกฝนที่มี เขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้ตั้งแต่แรก หากไม่ใช่เพราะคทาหยกหรูอี้ เขาคงไม่สามารถต้านทานดาบของซูอี้ได้นานมาจนถึงบัดนี้!
อันที่จริงผู้ที่น่าเวทนามากที่สุดก็คือผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมดาราที่ยืนอยู่ใกล้ฉู่ซิวเมื่อครู่นี้ โดยไม่ทันจะได้ตอบสนองด้วยซ้ำ คนผู้นั้นก็พลันถูกพายุดาบของซูอี้บดขยี้ร่างกายจนกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย แม้แต่ดวงวิญญาณยังแหลกสลายไม่หลงเหลือ
“สหายเต๋า! ไอ้ซูผู้นี้เป็นศัตรูร่วมกันของเรา ท่านจะยืนดูอยู่เฉย ๆ เช่นนี้จริงงั้นหรือ?”
ฉู่ซิวตะโกนก้อง
เขาไม่อาจเข้าใจได้เลย ว่าเหตุใดชิงลั่วถึงไม่ลงมือช่วยเหลือในช่วงเวลาคับขันนี้
“เราหาได้สนิทสนมกัน เหตุใดข้าจึงต้องยื่นมือช่วยเจ้าด้วย?”
ในระยะไกล ชิงลั่วเอ่ยพร้อมกับยิ้มเยาะ “หรือเจ้าคิดทึกทักเอาเอง ว่าเพียงเจ้านำทางให้แก่ข้า ข้าจะต้องปกป้องเจ้าจากลมและฝนอย่างไม่ลืมหูลืมตา โดยไม่ดูความเป็นไปของโลกหล้า?”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาพูดต่อ “ส่วนสหายเต๋าซูนั้นควรจะรู้อยู่แก่ใจ ผู้ใดที่คิดตั้งตนเป็นศัตรูของข้าผู้นี้ นับได้ว่าโง่เขลายิ่ง ข้าเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของเขา เขาไม่มีทางทำเรื่องโง่ ๆ เช่นนั้นแน่นอน”
ฉู่ซิว “…”
แคร็ก!
ทันใดนั้นรอยแตกคล้ายใยแมงมุมปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของคทาหยกหรูอี้
“แย่แล้ว!”
ฉู่ซิวตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดจากร่าง
เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกแล้ว และพูดอย่างกังวลกับทารกศักดิ์สิทธิ์ในอ้อมแขนของเขา “นายท่านทารกผู้เลิศล้ำ โปรดใช้จิตสัมผัสอันไร้เทียมทานของที่คงอยู่ในทะเลแห่งจิตวิญญาณทำลายล้างศัตรูตรงหน้าที ไม่เช่นนั้นวันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันครบรอบตายของทั้งท่านและข้ารับใช้ผู้นี้!”
ทารกศักดิ์สิทธิ์ดูดนิ้วพลางลืมตาโต ใบหน้าเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและความสับสน
ฉู่ซิวตกตะลึงราวกับว่าตระหนักรู้อะไรบางอย่าง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “นายท่านทารก ท่านไม่ควรเป็นเช่น…”
ปัง!
ก่อนที่คำพูดของเขาจะจบลง ภายใต้ปราณดาบสังหารของซูอี้ คทาหยกหรูอี้แตกสลายอย่างสมบูรณ์
พริบตาถัดมาแสงของปราณดาบวาบพาดผ่าน
ฉัวะ!
ศีรษะของฉู่ซิวหลุดลอยเคว้ง
“ถ้าข้ารู้เรื่องนี้ก่อนหน้า ข้าไม่มีทางยอมแลกตัวประกันเหล่านั้นเพื่อช่วยเด็กบัดซบอย่างเจ้า!!”
ใบหน้าของฉู่ซิวเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและความโกรธอาฆาต
ตอนนี้ที่เขากำลังจะตายเท่านั้น ที่เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าทารกศักดิ์สิทธิ์ที่ควรจะถูกครอบครองร่างโดยบรรพบุรุษของตำหนักมารเทียนอวี้ ไม่ใช่ทารกศักดิ์สิทธิ์ที่เขารู้จักอีกต่อไป!
หลังจากถูกบั่นคอ ร่างที่ไร้ศีรษะของฉู่ซิวก็ตกลงไปในทะเล ส่วนทารกศักดิ์สิทธิ์กลับไปอยู่ในอ้อมแขนของซูอี้อีกครั้งหนึ่งจากการโบกมืออย่างเรียบง่าย
ขณะนี้ผู้ฝึกตนทั้งหมดของตำหนักมารเทียนอวี้ซึ่งถูกนำมาโดยฉู่ซิวถูกกำจัดจัดไม่มีเหลือแม้แต่หนึ่ง!
ทะเลเบื้องล่างเป็นสีแดงฉานเพราะถูกย้อมไปด้วยโลหิตจากผู้คนหลายสิบชีวิต
เศษซากสมบัติวิเศษและศาสตราที่แตกหักมากมายลอยล่องกระจัดกระจายอยู่บนผิวคลื่นทะเลอย่างอ้างว้าง มันเป็นสิ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าการสังหารหมู่ครั้งนี้รุนแรงและเด็ดขาดเพียงใด
ภายในหอเซียนดาบ หนิงซือฮวาและคนอื่น ๆ ต่างไม่อาจควบคุมการสั่นสะท้านที่เกิดขึ้นในใจได้
ก่อนหน้านี้ฉู่ซิวได้นำกลุ่มผู้ฝึกตนอันแข็งแกร่งมาโจมตีอยู่หลายรอบ แม้จะมีอิงเชวียคอยช่วยเหลือทุกครั้ง พวกเขาก็ทำได้เพียงขับไล่ฉู่ซิวและพรรคพวกกลับไปแค่นั้น
แต่ตอนนี้ภายใต้คมดาบของซูอี้เพียงผู้เดียว ฉู่ซิวและคนอื่น ๆ กลับถูกสังหารสิ้นอย่างง่ายดายราวกับเชือดไก่!
“สหายเต๋าหนิง ช่วยข้าดูแลทารกมารผู้นี้สักหน่อย”
ซูอี้เอ่ยขึ้นก่อนจะโยนทารกศักดิ์สิทธิ์เข้าไปยังค่ายกลผนึกเก้าสวรรค์
หนิงซือฮวาบังคับอำนาจของค่ายกลอย่างรู้หน้าที่ ทารกศักดิ์สิทธิ์จึงถูกเคลื่อนย้ายเข้าไปในหอเซียนดาบอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ต้นจนจบชิงลั่วไม่ได้ขัดขวางหรือหยุดซูอี้ ทำตัวเป็นเพียงผู้ชมที่ดียืนยิ้มและดูฉากทั้งหมดที่เกิดด้วยท่าทางสบาย ๆ
จนกระทั่งแลเห็นทารกศักดิ์สิทธิ์ถูกส่งออกไป ชิงลั่วจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สหายเต๋าซู อย่างที่ข้าเคยเอ่ยไปก่อนหน้านี้ มันไร้สาระยิ่งกับการตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าเพียงเพราะสัตว์เลื้อยคลานชั้นต่ำที่ข้าลงมือสังหารเพียงตัวเดียว ท่านไม่ดูอย่างข้าเล่า ท่านฆ่ามดแมลงเหล่านี้ไปตั้งมากมาย ข้ายังไม่พูดห้ามท่านสักครึ่งคำ ตัวตนเหล่านี้ไม่คู่ควรให้เราต้องใส่ใจหรอก แต่ก็เอาเถิดหากท่านมีโทสะจริง ๆ เอาเป็นว่าข้ายอมขออภัยต่อท่านจะดีหรือไม่? และหลังจากนี้เมื่อใดที่มีโอกาสข้าจะจับสัตว์เลื้อยคลานที่แข็งแกร่งกว่าตัวที่รับใช้ท่านตัวนี้สักสิบเท่าคืนให้ท่านในอนาคต ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?”
ซูอี้หันกลับมองที่ชิงลั่วและกล่าวว่า “ต่อให้วันนี้เจ้าคุกเข่าขอขมาแก่ข้า เจ้าก็ไม่อาจหนีโทษตายพ้น”
น้ำเสียงของซูอี้นั้นราบเรียบราวกับไร้ความรู้สึก แต่แววตาของเขานั้นแน่วแน่อย่างไม่ต้องสงสัย
ชิงลั่วพ่นลมหายใจ จ้องมองซูอี้กลับอย่างเคร่งขรึม รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อย ๆ จางลง…