บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 63 วิญญาณภูเขาอาละวาด ไร้ซึ่งแสงพุทธองค์
แต่เพียงครู่หนึ่ง แสงไฟเหล่านั้นกลับเลือนหาย
อาหย่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่ช้าจึงหันไปกล่าวบอกต่อสตรีในเครื่องแบบที่อยู่ด้านหลัง “คุณหนู ในป่าสนขาวด้านหน้านั่น คล้ายจะมีคนอยู่”
“มีคนหรือ?”
สตรีในเครื่องแบบไร้ซึ่งความกลัวเกรง ท่าทีแสดงออกว่าสงสัย “หากเป็นเช่นนั้น มีผู้อื่นเช่นพวกเรามาเยือนภูเขามารดาภูตผีก่อนก้าวหนึ่งงั้นหรือ?”
“สมควรเป็นเช่นนั้น” อาหย่งกล่าวตอบรับจริงจัง
“น่าสนใจไม่เลว”
สตรีในเครื่องแบบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจ “ในเมื่อพวกเราจะผ่านไปอยู่แล้ว รับชมเสียหน่อยเป็นไร คงไม่เสียเวลามากมาย”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้กล่าวคำใด
ไม่ช้า ทั้งคณะก็หันเปลี่ยนทิศทาง มุ่งตรงไปยังป่าสนขาวไกลห่าง
ขณะนี้เป็นราวครึ่งทางสู่สันเขาแห่งภูเขามารดาภูตผี ตลอดทางมีแต่วัชพืชรกสูงถึงเข่า หาได้มีเส้นทางตามปกติไม่
กัวปิ่งใช้มีดล่าสัตว์ ตัดหญ้าเบิกทาง พร้อมเผยยิ้มกล่าวคำ “ช่วงกลางวัน วัดร้างแห่งนั้นจะปลอดภัย แต่หากเป็นยามค่ำคืน ก็ขอให้ระวังตัว”
ไม่ช้า กลุ่มคนก็มาถึงบริเวณที่มีป่าสนสีขาวปกคลุม
ต้นสนสูงตระหง่าน กิ่งก้านปกคลุมท้องฟ้า และมีหมอกสีขาวลอยเอื่อย เมื่อเดินผ่านจะเห็นเพียงฉากมืดครึ้มสีเทา
พื้นดินมีเศษใบไม้เน่าหนาเตอะ ส่งกลิ่นเหม็นอบอวล
ทันใดนั้น กัวปิ่งที่เดินนำหน้ากลับสะดุด หากซูอี้ไม่คว้าแขนของเขาไว้ทันท่วงที ก็คงล้มคว่ำไปแล้ว
หลังกัวปิ่งพบเห็นสิ่งที่ตนเองสะดุดเข้า สีหน้าถึงกับแปรเปลี่ยน
มันคือกะโหลกที่ถูกซากใบไม้เน่าฝังกลบ เปรอะเปื้อนด้วยดินโคลน รูดวงตาที่ว่างเปล่าจับจ้องยังท้องฟ้า
แรกรับชม ช่างชวนขนลุก
“ไปเถอะ” ซูอี้เพียงรับชม พร้อมหรี่ดวงตา
ส่วนอาหย่งและผู้อื่น สีหน้าพวกเขากลับนิ่งเฉย
กับแค่กะโหลกอันหนึ่ง นักรบผู้ผ่านสมรภูมินองเลือดนับไม่ถ้วนเช่นพวกเขา มันไม่นับว่าควรค่าให้ใส่ใจ
กระนั้นเดินต่อได้ไม่นาน ซูอี้พลันหยุดเท้า
บนกิ่งสูงของต้นสนขาวไกลห่าง มีผืนหนังรูปลักษณ์มนุษย์ที่เหี่ยวเฉานับร้อยขึงไว้เต็มแน่น
ผืนหนังเหล่านี้มีทั้งบุรุษและสตรี ทั้งยังมาจากหลากหลายช่วงอายุ หลงเหลือเพียงแต่หนังมนุษย์ บางส่วนมีเส้นผมยุ่งเหยิง เป็นความตายอันชวนขนพอง ท่ามกลางบรรยากาศมืดครึ้มขมุกขมัว มันยิ่งช่วยขับเน้น
“นี่…”
รูม่านตาอาหย่งเบิกกว้าง ชัดเจนว่าประหลาดใจต่อภาพฉากอันประหลาดชวนหมองหม่น
สตรีในเครื่องแบบถึงขั้นกายแข็งทื่อ ถ้อยคำกล่าวอย่างขวัญหาย “นี่มันเรื่องราวบ้าอะไรกัน?”
ผู้คุ้มกันใกล้เคียงกำอาวุธไว้แน่น ตระเตรียมพร้อมปกป้องสตรีในเครื่องแบบ ด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด
กัวปิ่งตัวสั่นหวาดเกรง ใบหน้าซีดเผือด เสียงสั่นเอ่ยคำขึ้น “ข้า…ข้าเพิ่งเคยได้เห็นอะไรเช่นนี้เป็นครั้งแรก เหตุใด… พวกเราไม่ถอยกลับไปกัน?”
“ไม่มีสิ่งใดต้องกลัว นี่แค่เพียงซากศพเล็กน้อย” ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบให้ความรู้สึกอบอุ่นใจ
อาหย่งเอ่ยคำขึ้น “หากข้าคาดเดาไม่ผิด ครั้งศพเหล่านี้มีชีวิต คงถูกแมลงปีศาจกัดกินซากศพ และใกล้เคียงสถานที่แห่งนี้ก็มีเพียงแต่พรรคมารหยิน ซึ่งสามารถทำเรื่องราวโฉดชั่วเช่นนี้ได้!”
“ไม่ใช่ว่าพรรคมารหยินแตกดับไปนานแล้วหรือ?” สตรีในเครื่องแบบเลิกคิ้ว
“คุณหนูคงยังไม่ทราบ แม้ครั้งนั้นพรรคมารหยินจะถูกกำจัดโดยสำนักดาบมังกรเร้น ก็ยังมีกลุ่มศิษย์และผู้สืบทอดพลังอันชั่วร้ายบางส่วนที่โชคดีหนีรอดไปได้”
อาหย่งกล่าวคำเคร่งเครียด “จากนั้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านพ้น บางสถานที่ในต้าโจวปรากฏการนองเลือด ความชั่วร้ายปรากฏขึ้นไล่เรียง เป็นที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับพรรคมารหยิน หรือถ้าจะให้กล่าวง่าย ๆ คือ พรรคมารหยินกำลังหวนคืนสู่ต้าโจว”
ถ้อยคำหยุดลง เขาเกิดขมวดคิ้ว “รับชมซากศพซึ่งถูกขึงบนต้นไม้เหล่านี้ แม้แผ่นหนังจะถูกชะล้างโดยลมและฝน แต่กลับยังคงอยู่เช่นเดิมได้ เห็นชัดว่าเพิ่งผ่านมาได้ไม่กี่ปี”
ท่าทีสตรีในเครื่องแบบแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “อย่างนั้นแล้ว ภูเขามารดาภูตผีแห่งนี้สมควรมีคนจากพรรคมารหยินก่อเรื่องกระมัง?”
อาหย่งกล่าวคำเบา “คุณหนูวางใจได้ ผู้ฝึกตนมารเปรียบดังหนูที่ข้ามผ่านถนน ทำได้เพียงหลบลี้ในถิ่นกันดาร ไม่อาจทำอะไรพวกเราได้”
สตรีในเครื่องแบบกัดฟันกล่าวคำ “อาหย่ง ข้านึกสงสัยว่าวัดที่อยู่ลึกในป่าสนแห่งนั้น มันอาจเป็นที่มั่นของหมอผีพรรคมารหยิน ข้าคิดไปรับชม หากเป็นเรื่องจริง พวกเราจะเข้ากวาดล้างโดยทันที ถือว่าเป็นการกระทำเพื่อฟ้าดิน ปัดเป่าภัยร้ายแก่ผู้คน!”
สิ้นคำกล่าวนี้ ซูอี้อดไม่ได้จนเกิดประหลาดใจ
เขาไม่นึกคิดว่าสตรีในเครื่องแบบผู้ทะนงตน จะมีความหาญกล้าและจิตสำนึกเช่นนี้คงอยู่
“ขอรับ!” อาหย่งพยักหน้าตอบรับ
แม้กัวปิ่งฝืนใจที่ต้องเดินทางต่อมุ่งหาอันตรายเช่นนี้ แต่ยามพบเห็นซูอี้ไม่คัดค้าน ตัวเขาก็ทำได้เพียงจำยอม ก้าวเดินนำออกไป
ไม่นานหลังผ่านพ้นป่าแห่งซากศพบนต้นไม้ ที่ตรงหน้าหลังม่านหมอกสีขาวก็ปรากฏสิ่งปลูกสร้าง
ยามเมื่อเข้าใกล้มากขึ้นยิ่งเด่นชัด สิ่งปลูกสร้างนั้นทั้งเสื่อมโทรมและเต็มไปด้วยวัชพืชกับเถาวัลย์ รูปลักษณ์ของมันคือวัดแห่งหนึ่ง
“ไม่นานมานี้ มีคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ที่นี่จริง”
อาหย่งกวาดสายตามองยังหินปูทางของวัดร้าง ท่ามกลางวัชพืชรก มันปรากฏเส้นทางสำหรับเดินเท้า
“ทุกคนระวังด้วย” อาหย่งกล่าวคำเตือน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังซากวัด
เมื่อผ่านประตูผุพังของวัดเข้าไป มันคือลานอันว่างเปล่า เทวรูปที่แตกพังมากมายมีวัชพืชปกคลุม
ที่ฝั่งตรงข้ามของลาน มันคือโถงทรุดโทรมใกล้ถล่ม คราบสีแดงหลุดร่อนจากผนังกำแพง หน้าต่างและประตูเสียหายอย่างหนัก
“นั่นใคร?”
ขณะซูอี้และคณะเข้าใกล้ เสียงอันเย็นชาดังปรากฏจากในโถง
ไม่ช้า ร่างคนผู้หนึ่งก็ก้าวเดินออกมา
เป็นชายชราผอมแห้งประหนึ่งลำไผ่ เขาสวมเสื้อคลุมสีดำ รูม่านตาทอประกายสีเขียว ระหว่างหลับและลืมตา รับชมแล้วดูชั่วร้าย
เมื่อพบเห็นซูอี้ อาหย่ง รวมถึงผู้อื่น สีหน้าชายชราแปรเปลี่ยนในพริบตา ขลุ่ยกระดูกข้างเอวถูกคว้านำออกมาเป่ารุนแรง
“วี้ด!”
เสียงขลุ่ยแหลมและแหบแห้งดังตัดผ่านความเงียบระหว่างฟ้าดิน ทำเอาผู้คนแสบแก้วหู
“รนหาที่ตาย!”
ใบหน้าอาหย่งตึงเครียด ดาบถูกชักออก ส่งเสียงคำรามพร้อมทะยานข้ามพื้นที่โล่ง
พรึ่บ!
คมดาบในมืออาหย่งนั้นจู่ ๆ ก็เกิดเพลิงลุกท่วม ประกายอัคคีสีแดงฉานปะทุรุนแรง ภาพตระการตานี้ยิ่งเสริมสร้างให้อาหย่งดูอาจหาญไร้ผู้ใดเทียบเคียง
ชายชราร่างผอมหันกลับคิดหนีเข้าโถง แต่น่าเสียดายที่ช้าไปครึ่งก้าว
คมดาบเพลิงฟาดฟันมาถึงตัวอย่างรวดเร็ว รอยคมแคบยาวผ่าแผ่นหลังนั้นจนเลือดทะลัก ทั้งร่างจวนเจียนเกือบจะถูกผ่าครึ่ง
ตุบ!
ร่างชายชราผอมแห้งล้มร่วงกับพื้น น้ำเสียงอ่อนแรงกล่าวคำออก “พวกเจ้าจะไม่ได้กลับไปทั้งสภาพมีชีวิต!”
เสียงนี้ดังก้องสะท้อน แม้ว่าสิ้นลมไปแล้วก็ตาม
อาหย่งก้าวออกเดิน พร้อมหยิบขลุ่ยกระดูกของชายชราที่ร่วงหล่นกับพื้นขึ้นมา สายตาเขารับชมพร้อมขมวดคิ้ว
“อาหย่ง ตาเฒ่าผู้นี้ใช่คนจากพรรคมารหยินหรือไม่?”
สตรีในเครื่องแบบเร่งร้อนเข้ามาใกล้พร้อมกลุ่มผู้คุ้มกัน พบเห็นร่างไร้ชีวิตบนพื้น นางก็แสดงท่าทีผิดหวัง “ช่างอ่อนแอจริง ๆ เพียงดาบเดียวของท่านอาหย่งก็ไม่สามารถทานทนได้”
“ก็แค่ตัวตนเล็กจ้อยผู้หนึ่ง ขอบเขตโคจรโลหิตขั้นขัดเกลาภายในก็เท่านั้น”
อาหย่งขมวดคิ้วเอ่ยคำ “กระนั้นแล้ว ขลุ่ยกระดูกที่มันเพิ่งเป่าเมื่อครู่ คงจะเรียกกำลังเสริมมาที่นี่ เกรงว่าใกล้เคียงจะมีคนของพรรคมารหยินอยู่”
“มีสิ่งใดต้องกลัว ท่านอาหย่งอยู่ที่นี่แล้ว ถือโอกาสสังหารพวกมันให้สิ้นเรื่องในคราวเดียวเลยเป็นไร”
สตรีในเครื่องแบบกล่าวอย่างไม่นึกใส่ใจ
ทว่าไม่ช้านางกลับขมวดคิ้ว เพราะได้เห็นซูอี้ก้าวเดินเข้าไปด้านในโถง รับชมเทวะรูปกลางโถงราวไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ขาเรียวงามของนางขยับเคลื่อนไหว พุ่งเข้าไปด้วยความโกรธ ถามด้วยถ้อยคำเสียงดัง “เจ้า! ไม่ทราบหรือไร ว่าเมื่อครู่เพิ่งรอดชีวิต ถ้อยคำขอบคุณไม่กล่าวออก แต่กลับสนใจของพวกนี้งั้นหรือ?”
ซูอี้นึกประหลาดใจกล่าวถาม “ช่วยชีวิตข้า?”
“หรือไม่ใช่? หากเจ้าไม่ตามพวกเรามา ขณะนี้จะกล้าเสนอหน้ามาที่นี่หรือไม่? ต่อให้กล้า อย่างไรก็มีแต่จะถูกคนพรรคมารหยินผู้นั้นสังหารตกตาย สิ่งที่หลงเหลือคือผืนหนังซึ่งถูกแขวนอยู่บนยอดไม้!”
สตรีในเครื่องแบบใช้ดวงตาคู่งามจับจ้องถากถางเย็นชา
ท่าทีซูอี้ไม่ไหวติง ถ้อยคำกล่าวตอบตามปกติ “จดจำได้หรือไม่ พวกเจ้าต่างหากที่ตามข้าและผู้เฒ่ากัวเข้ามา ไม่ใช่พวกเราตามพวกเจ้า หรือถ้าหากพวกเจ้าเก่งกาจจริง นับจากนี้เดินทางต่อด้วยตนเองก็แล้วกัน”
สิ้นคำกล่าว เขาก็เดินมุ่งตรงไปยังอีกฟากของโถงเพียงลำพัง
สตรีในเครื่องแบบผู้นี้ช่างน่ารำคาญยิ่ง
สภาวะอารมณ์เลวร้าย ถ้อยคำรุนแรง นิสัยชอบเย้ยหยัน ทั้งยังเป็นจอมบงการ
แต่ทว่าก็ไม่ใช่คนชั่วช้ารุนแรง
ซูอี้มองว่าการเบาะแว้งกันเพียงเท่านั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขายังพอรับได้
เพียงแต่มันน่ารำคาญไปบ้าง
ไม่ไกลห่าง สตรีในเครื่องแบบจับจ้องไปยังร่างซูอี้ ใจนางปั่นป่วนเพราะโทสะ ใบหน้างดงามปกคลุมด้วยความเย็นเยือก ฟันขาวขณะนี้กัดไว้แน่น
กระนั้นแล้ว นางก็ไม่อาจหาคำตอบโต้ซูอี้ได้
ที่ไกลออกไป อาหย่งพบเห็นเรื่องราวครั้งนี้ ในใจนึกขุ่นเคืองขึ้น
ไม่ว่าด้วยอะไร ซูอี้ก็เป็นฝ่ายเดินตามพวกเขามายังที่นี่ ตนเองได้เปรียบในทุกสัดส่วน
และหากไม่ใช่เพราะพวกเขาร่วมทางมาด้วย กว่าจะมาถึงตรงนี้เพียงลำพังย่อมต้องพบเจออันตรายมากมาย
“เจ้าหนูผู้นี้ดูจากภายนอกไม่น่าใช่คนโง่เง่า หากทราบว่าตัวตนคุณหนูสูงส่งเช่นไร มันคงไม่มีทางกล้าโต้เถียงเช่นนี้”
อาหย่งลอบส่ายศีรษะ ก่อนจะโยนความคิดทิ้งไป
เขาเข้าใจดีว่าคนรุ่นเยาว์เช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ย่อมมีดวงตาเหนือศีรษะ จิตใจวางตัวสูงส่ง
ดังนั้นการที่ซูอี้ตอบกลับเช่นที่เห็น จึงไม่ใช่เรื่องประหลาดใจ
สุดท้ายแล้ว หากไม่มีอารมณ์แปรปรวน เช่นนั้นจะเรียกว่าคนหนุ่มสาวได้หรือ?
ด้านในโถงเห็นได้ชัดว่าถูกทำความสะอาดมาก่อน ไม่มีฝุ่นหยากไย่ใด ๆ
ที่ตรงกลางคือเทวรูปองค์หนึ่งตั้งหันหลังให้ประตู ไร้เศียร ผิวโคลนของเทวรูปเกิดรอยแตกร้าว นอกนั้นไม่มีสิ่งใดพิเศษ
กระนั้นแล้ว ที่สองฟากของห้องโถง ซูอี้พบเห็นลวดลายบางอย่าง
แม้เต็มไปด้วยร่องรอยความเสียหาย และสีซีดจาง แต่ก็มากพอให้ทราบโดยคร่าวว่าเป็นภาพเขียนฝาผนัง เป็นภาพของสรรพชีวิตในโลกที่เผชิญทุกข์ทรมาน
พุทธองค์และโพธิสัตว์ต่างยืนท่ามกลางสรรพชีวิตมากมาย สีหน้าแสดงความเวทนา ราวกำลังเทศนา
“พบเห็นสรรพชีวิตเผชิญทุกข์ยาก คิดปราศรัยเทศนา โปรดซึ่งสรรพชีวิต? แม้แนวคิดนี้ดี น่าเสียดายที่วัดแห่งนี้พินาศแล้วเมื่อกาลก่อน ขณะนี้กลายเป็นสถานที่ภูตผีหลอกหลอน ด้วยไร้แสงพุทธองค์สาดส่องปรากฏ ช่างอ้างว้างยิ่งนัก”
ซูอี้เกิดรู้สึกหวั่นไหว
ในเก้ามหาแดนดิน สำนักพุทธรุ่งเรืองประทับในผืนแผ่นดิน มีสาวกมากมาย พร้อมกลิ่นธูปคงอยู่ชั่วนิรันดร์
แต่กลับกัน แดนฆราวาสแห่งต้าโจว สำนักพุทธคล้ายพบเจอช่วงเวลาอันยากลำบาก…
ขณะเดียวกันนี้ สตรีในเครื่องแบบยังคงขุ่นเคือง ใบหน้าบูดบึ้ง ผู้คุ้มกันคนหนึ่งจึงเดินเข้าหา พร้อมกล่าวถามด้วยเสียงอันเบา
“คุณหนู เหตุใดไม่ปลิดชีพมันผู้นี้เสีย? ท่ามกลางป่าเขาเช่นนี้ ไม่มีทางที่ผู้ใดสืบทราบว่ามันตายได้เช่นไร”