บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 630 ฟื้นคืนชีพ
ตอนที่ 630: ฟื้นคืนชีพ?
ตอนที่ 630: ฟื้นคืนชีพ?
ยามแรกที่เขาได้พบชิงลั่วในสันเขามารดาภูตผี ซูอี้ก็คาดไว้แล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณรุ่นที่สอง
ทว่า เมื่อเขาเห็นดาบปีศาจเทวทัณฑ์ เขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้
สุดท้าย ชิงลั่วก็เป็นเพียงทาสดาบผู้ใช้ร่างกายของตนเองเป็นอาหารให้ดาบ!
ความทรงจำของเขาถูกดาบปีศาจเทวทัณฑ์ลบทิ้งไปเนิ่นนาน เช่นนั้นจะจำตนเองได้เช่นไร?
ซูอี้แน่ใจว่ามรดกและวิถีเต๋าซึ่งอีกฝ่ายมี ทั้งหมดนี้ต้องมาจากดาบปีศาจเทวทัณฑ์เป็นแน่!
กระทั่งนามชิงลั่วยังน่าจะถูกตั้งโดยดาบปีศาจเทวทัณฑ์…
‘คนผู้นี้เคยกล่าวไว้ว่ายามแรกเจอ เขาสัมผัสถึงอันตรายและจิตคุกคามได้ ดังนั้นใจของเขาจึงบังเกิดจิตสังหาร เกรงว่าคงเป็นอิทธิพลจากดาบปีศาจนั่น’
ซูอี้ลอบคิด
ทว่า ซูอี้ไม่อาจประเมินได้ว่าที่มาของดาบปีศาจเทวทัณฑ์นี้คือที่ใด?
“ที่ชิงลั่วมายังทะเลวิญญาณโกลาหลครานี้ และพยายามบุกเข้าไปในซากหอเซียนดาบ จะกล่าวได้ว่าเป็นเพราะเขายังถูกผลกระทบจากดาบปีศาจนี้หรือ?”
ซูอี้ใคร่ครวญ
สามหมื่นปีก่อน หอเซียนดาบ หอศักดิ์สิทธิ์พระสุเมรุ และสำนักผลาญตะวันถูกเรียกว่าสามสำนักผู้ฝึกปีศาจแห่งโลกหล้า
ผู้ก่อตั้งของมันคือจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน
มีคำว่า ‘ดาบ’ อยู่ในชื่อหอเซียนดาบ ซึ่งพิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่าหอเซียนดาบขึ้นชื่อในวิชาดาบ
เห็นได้ชัดว่าดาบปีศาจเทวทัณฑ์คือสมบัติในวิถีชั่วช้า มันมีวิญญาณปีศาจที่สมบูรณ์สิงสู่ และสอดคล้องกับลักษณะของหอเซียนดาบ
“น่าเสียดายที่ไม่ได้หยุดมันไว้ก่อน หาไม่ เราคงได้รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับหอเซียนดาบหรือไม่”
ซูอี้ส่ายหัว และไม่คิดถึงมันอีกต่อไป
“สหายเต๋าซู!”
น้ำเสียงเริงร่าอันตื่นเต้นดังมาจากระยะไกล
เมื่อมองไปในทะเลที่อยู่ห่างไกล อำนาจฉุดรั้งพัดเป็นเกลียวหลีก ช่องวังวนอุบัติขึ้น หนิงซือฮวาเดินออกมาด้วยใบหน้าอ่อนเยาว์ใสซื่อเปื้อนยิ้มกว้าง
“ข้าบอกแล้ว คุณชายจะไม่เป็นไร!”
“ยอดเลย!”
ฉาจิ่นและเหวินหลิงเสวี่ยเร่งตามนางมาติด ๆ
เทียบกับกาลก่อน ฉาจิ่นซูบผอมลงไปมาก นางสวมชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน เส้นผมยาวสีปีกกาของนางถูกมัดเป็นมวย ผิวของนางขาวยิ่งกว่าหิมะ ร่างบอบบางสะโอดสะอง
เมื่อเห็นร่างแข็งแกร่งของซูอี้ยืนอยู่บนผืนน้ำโดยไร้รอยขีดข่วน ใบหน้าทรงเสน่ห์ของฉาจิ่นก็เปี่ยมปรีดา
ส่วนเหวินหลิงเสวี่ยนั้น นางไม่อาจระงับความตื่นเต้นของตนได้ และรีบพุ่งเข้ามากอดซูอี้แน่นราวนางแอ่นคืนรัง
ใบหน้าของนางยังคงงดงามหยาดเยิ้มดังภาพวาดเช่นกาลก่อน
ทว่ายามนางโอบกอดซูอี้แน่น ดวงตาของเหวินหลิงเสวี่ยก็เต็มไปด้วยน้ำตา กล่าวว่า “พี่ซูอี้ พี่ไม่เป็นไร ดีแล้ว ดี…”
หญิงสาวตื่นเต้นเสียจนพูดไม่เป็นศัพท์
แต่เดิม ฉาจิ่นเองก็คิดจะพุ่งเข้ามา ทว่าเมื่อเห็นเช่นนี้ นางกลับห้ามใจไว้
นางจะไม่รู้ได้เช่นไรว่าซูอี้รักเหวินหลิงเสวี่ยที่สุด?
“เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้วนะ”
ซูอี้ยกมือขึ้นลูบหลังเหวินหลิงเสวี่ยเบา ๆ สีหน้าของเขาปรากฏความอ่อนโยน เมื่อครู่นางผู้นี้คงระบายความกังวลของนางออกมา ดังนั้นจึงได้พูดเลอะเทอะนัก
ซูอี้หันมองฉาจิ่นและหนิงซือฮวาห่างออกไปและอดขำไม่ได้
เป็นความเปรมปรีดิ์อันหาได้ยากจากการพานพบผู้ที่ไม่ได้พบกันนานอีกครั้ง
แค่ว่า…
เมื่อนึกถึงอิงเชวียผู้ถูกสังหาร ความรื่นเริงในใจซูอี้ก็เจือจางลงไปมากทันที
“รอก่อนนะ”
ซูอี้กล่าว พลางเดินไปยังจุดหนึ่งในทะเล ไม่ห่างออกไปนัก
ซ่า~!
เขายกมือขึ้นคว้า และมังกรยักษ์สีดำสองตนก็ทะยานขึ้นจากน้ำ
เมื่อมองรอยหมัดและรอยแตกเต็มร่างมังกรเกล็ดดำไปหมด ดวงตาของซูอี้ก็อดแสดงเค้าอารมณ์ต่าง ๆ ไม่ได้
กล่าวไป เขาและอิงเชวียต่างไม่อาจพูดได้ว่ามีมิตรภาพลึกซึ้ง
กาลก่อน ณ ผามังกรด้วน เขาแค่ช่วยให้อีกฝ่ายกำจัดมารผจญใจออกไปเท่านั้น
ทว่าซูอี้ไม่คาดเลยว่ามังกรเกล็ดดำผู้นี้จะแสนภักดี อารักขาที่แห่งนี้ ยอมตายไม่ยอมถอย!
“ในระหว่างช่วงเวลานี้ เพราะมีผู้อาวุโสอิงเชวียอยู่ที่นี่ พวกฉู่ซิวจึงไม่อาจเข้ามาในเขตหอเซียนดาบได้ ทว่ายามนี้ เขา…”
หนิงซือฮวากล่าวพลางถอนหายใจเบา ๆ ด้วยสีหน้ามัวหมอง
ทั้งฉาจิ่นและเหวินหลิงเสวี่ยต่างเงียบไป
ยามนี้ เมื่อมองร่างแหลกเละของอิงเชวีย พวกนางต่างไว้ทุกข์โศกอาลัย
เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง
ซูอี้แยกจิตสัมผัสออกมาสายหนึ่ง แทงทะลวงเข้าไปในร่างเย็นเฉียบของมังกรเกล็ดดำ
มังกรเกล็ดดำบาดเจ็บสาหัส อวัยวะภายในของเขาแหลกสลาย เลือดเนื้อไร้พลังชีวิตใด ๆ
นี่ทำให้หัวใจของซูอี้รู้สึกหนักอึ้ง
หากเขามาเร็วกว่านี้สักครึ่งชั่วยาม โศกนาฏกรรมเช่นนี้คงไม่เกิด!
ยามที่ซูอี้กำลังจะเก็บจิตสัมผัสไปนั้นเอง เขาก็ตกตะลึง
มีโอสถปีศาจสีเลือดแตกร้าวอยู่ในส่วนศีรษะมังกรเกล็ดดำเม็ดหนึ่ง
แม้ว่าโอสถปีศาจนี้จะแตกไป ซูอี้ก็สังเกตได้ว่ามันยังหลงเหลืออัตตาอยู่อย่างเบาบาง!
ซูอี้พ่นลมหายใจยาวและหัวเราะ
ร่างของเขาผ่อนคลายโดยสมบูรณ์
บาดแผลเช่นนี้อาจรุนแรงเสียจนกระทั่งเทพเซียนยังไม่อาจช่วย
ทว่าหยุดเขา ซูเสวียนจวินไม่ได้!
หนิงซือฮวาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของซูอี้ จึงอดพูดไม่ได้ว่า “สหายเต๋าซู เจ้าคิดหาวิธีช่วยผู้อาวุโสอิงเชวียได้หรือ?”
ฉาจิ่นและเหวินหลิงเสวี่ยตกใจ ทั้งคู่ต่างเงยหน้าหันมองซูอี้โดยไม่รู้ตน
“พวกเจ้าดูนะ”
ซูอี้ยิ้ม
เขาพลิกฝ่ามือ หยิบขวดหยกขาวออกมาหนึ่งขวด ปลดผนึกของมัน ทันใดนั้น แสงศักดิ์สิทธิ์สีทองก็ฉายออกมา หลั่งไหลงดงามวิจิตรจริงแท้
สายตาของหนิงซือฮวาและคณะต่างถูกดึงดูดอย่างช่วยไม่ได้ พวกนางสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอุดมสมบูรณ์ไล้บนใบหน้า เพียงหายใจเข้าสักเฮือกก็ทำให้พวกนางแสนสุขี รื่นเริงไร้กังวล อัศจรรย์ยิ่งนัก
สิ่งที่อยู่ในขวดหยกคือโลหิตสามหยด นามว่าโลหิตทองวิญญาณน้ำแข็ง ซึ่งซูอี้ได้รับจากอาคังในเวิ้งเก้าดารา
ตัวอาคังเองก็คือจิตวิญญาณน้ำแข็งซึ่งเกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดแห่งคังชิง ควบคุมพลังแห่งจิตวิญญาณหยินได้นับแต่กำเนิด และเลือดของนางก็ถูกรู้จักในนาม ‘โลหิตทองวิญญาณน้ำแข็ง’ ซึ่งมีอำนาจวิเศษต่อความเป็นและความตาย
กระทั่งในเก้ามหาแดนดิน โลหิตทองวิญญาณน้ำแข็งยังนับเป็นสมบัติหายาก ในหมู่กลุ่มเต๋าสูงสุด ยังมีเพียงบุคคลสำคัญเท่านั้นที่จะได้ใช้มันยามบาดเจ็บสาหัสใกล้ตาย
แน่นอน แม้ว่าซูอี้จะขอโลหิตของอาคังมาสามหยดในทีแรก แต่เขาก็ยังให้สุดยอดเคล็ดวิชาสำหรับจิตวิญญาณแก่นาง การตอบแทนเช่นนี้เหนือล้ำกว่าโลหิตสามหยดเป็นไหน ๆ
และยามนี้ ซูอี้ได้ตัดสินใจนำโลหิตทองวิญญาณน้ำแข็งออกมาช่วยอิงเชวียหนึ่งหยด!
“ควบแน่น!”
ซูอี้ปล่อยมือทั้งสอง และร่างที่พังทลายของอิงเชวียก็ค่อย ๆ ต่อติดเข้าหากัน
จากนั้น
โลหิตทองวิญญาณน้ำแข็งหยดหนึ่งก็ไหลออกมาจากขวดหยก ไหลตามปลายนิ้วของซูอี้และหยดลง
ติ๊ง!
โลหิตหยดนั้นเหมือนดั่งหยดน้ำที่ระเหยเป็นไอ กลายเป็นหมอกโลหิตสีทองหลั่งไหลสู่ร่างของอิงเชวีย
ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ภายใต้สายตาตกตะลึงของหนิงซือฮวาและคณะ บาดแผลบนร่างของอิงเชวียก็เลือนหายไป กลับสู่ปกติ
ไม่นานนัก รอยหมัดและบาดแผลบนร่างของเขาก็รักษาตัว มลายหายไป
ภายใต้อิทธิพลจิตสัมผัสของซูอี้ พลังของโลหิตทองวิญญาณน้ำแข็งก็สร้างอวัยวะภายใน กระดูก เลือดและเนื้อที่แหลกเละของอิงเชวียขึ้นใหม่…
การซ่อมแซมและเปลี่ยนแปลงอย่างเหลือเชื่อนี้ทำให้ซูอี้ดูพึงพอใจอย่างช่วยไม่ได้
สมกับเป็นโลหิตทองวิญญาณน้ำแข็ง สมบัติช่วยชีวิตชั้นหนึ่งในสายตาเหล่าผู้ฝึกตน!
ควรค่ากล่าวถึงว่าในกลุ่มเต๋าระดับสูงสุดแห่งเก้ามหาแดนดิน โลหิตทองวิญญาณน้ำแข็งยังเป็นโอสถมหาวิถีซึ่งสามารถพบได้ แต่ไม่อาจเสาะหา!
ฟู่!
ไม่นานนัก คลื่นพลังชีวิตก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างมังกรยักษ์ของอิงเชวีย และผิวอันปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดก็เปี่ยมชีวิตชีวา
“นี่… นี่คือฟื้นคืนชีพหรือ?”
พวกหนิงซือฮวาเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง มองสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเหม่อลอย
เรื่องนี้ไม่น่าเชื่อจริงแท้ แต่เดิมพวกนางต่างคิดว่าอิงเชวียถูกฆ่าเสียแล้ว หัวใจจึงรู้สึกโศกเศร้ายิ่งนัก ใครเล่าจะคิดว่าอิงเชวียจะคืนชีพด้วยมือของซูอี้!
วิธีการเช่นนี้น่าอัศจรรย์ยิ่งโดยไม่ต้องสงสัย
“เปล่า อิงเชวียไม่ได้ตายไปจริง ๆ เขายังคงมีเสี้ยววิญญาณหลงเหลือในร่าง นี่คือเหตุที่เขาสามารถถูกช่วยได้โดยใช้พลังของโลหิตทองวิญญาณน้ำแข็ง”
ซูอี้กล่าว “หาไม่ ต่อให้ข้าจะใช้พลังของตัวเองเพื่อช่วยเขา ไม่ว่าจะทุ่มเทเพียงไร ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นชีพแก่เขา”
ไม่ว่าโลหิตทองวิญญาณน้ำแข็งนั้นจะท้าทายอำนาจสวรรค์เพียงไร ทว่าก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะแทรกแซงระหว่างความเป็นความตาย
‘พลิกกลับเป็นตาย คืนเนื้อคืนกระดูก’ นี้ สุดท้ายก็เป็นเพียงคำอธิบายเท่านั้น
“พี่ซูอี้ ผู้อาวุโสอิงเชวียจะตื่นขึ้นได้จริง ๆ ยามใดหรือเจ้าคะ?”
เหวินหลิงเสวี่ยอดถามไม่ได้
“ขึ้นกับว่าวิญญาณของเขาจะถูกซ่อมได้ยามใด”
ซูอี้กล่าว “ไปกันเถิด ไปหอเซียนดาบกัน”
เขากล่าวพลางยกร่างมังกรใหญ่ยักษ์ของอิงเชวียขึ้น
หนิงซือฮวานำทางทันที
ไม่นานนัก พวกเขาก็หายลับไปในเขตทะเล
วันนี้คือวันที่ยี่สิบหก เดือนสิบเอ็ด
ซูอี้เดินทางจากหุบเขามารบุปผาโลหิตสู่ลึกเข้าไปในทะเลวิญญาณโกลาหล ที่หน้าซากปรักหักพังแห่งหอเซียนดาบ เขาสังหารฉู่ซิวและผู้ฝึกตนอื่น ๆ จากตำหนักมารเทียนอวี้ สังหารทาสดาบชิงลั่วและทำให้ดาบปีศาจชะงักงัน!
วันนี้ ซูอี้ได้ช่วยชีวิตมังกรเกล็ดดำอิงเชวียด้วยโลหิตทองวิญญาณน้ำแข็ง กลับไปพานพบสหายเก่า
ทว่า กระทั่งตัวซูอี้ยังไม่อาจรู้ตัวว่าตนวิ่งรอกรอบนครหลวงอวี้จิงแห่งต้าโจว หุบเขามารบุปผาโลหิตและทะเลวิญญาณโกลาหล และยังเกือบฆ่ายอดฝีมือล้างตำหนักมารเทียนอวี้แห่งมหาทวีปเทียนตู!
และในวันนี้
นักรบกลุ่มหนึ่งกำลังออกเสาะแสวงโอกาสสัมพันธ์ในหมู่เกาะ ณ ทะเลวิญญาณโกลาหล
จู่ ๆ ดาบปีศาจไร้คู่เปรียบก็จุติจากฟ้า สังหารนักรบเหล่านี้ เหลือเพียงชายหนุ่มชุดสีเทาผู้เดียวซึ่งยังหายใจ
“เจ้าหนู เจ้าชื่ออันใด?”
ดาบปีศาจทอประกายสีเงินเจิดจ้า ลอยเงียบ ๆ อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มชุดสีเทา
ชายหนุ่มอึ้งตะลึง ดวงตาเลื่อนลอย แล้วกล่าวอย่างไร้สติ “หวังหลิ่ว”
“ผิดแล้ว นามของเจ้าคือชิงลั่วต่างหาก”
เสียงเข้มดังออกมาอย่างเย็นชาจากดาบปีศาจ “จำไว้ให้ดี จากนี้ไป เจ้าคือข้ารับใช้ของข้าผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ ข้าจะมอบมรดกและเคล็ดวิชาแก่เจ้า สิ่งที่เจ้าต้องทำก็มีเพียงอยู่ให้ถึงยามที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างปรากฏ…”
เสียงยังไม่ทันจางหาย ดาบปีศาจก็พุ่งหายไปในอากาศธาตุ ทะลักไหลเข้าสู่สันหลังของชายหนุ่มชุดเทา
ใบหน้าของชายหนุ่มบิดเบี้ยวเจ็บปวด ร่างสั่นกระตุก ทั่วร่างอาบด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ
เนิ่นนานจากนั้น—
เมื่อชายหนุ่มชุดเทายืดเอวลุกขึ้น ดวงตาของเขาก็ลึกล้ำเยี่ยงวังน้ำวน ปรากฏประกายสีเงินขึ้น
ทันใดนั้น เขาก็ขมวดคิ้ว “แปลกจัง เหตุใดข้าจึงรู้เพียงนามชิงลั่ว ทว่าไม่อาจจำอดีตได้กัน?”