บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 631 กระดูกชะตา
ตอนที่ 631: กระดูกชะตา
ตอนที่ 631: กระดูกชะตา
ซากของหอเซียนดาบนั้นใหญ่มโหฬาร
แต่เดิม นี่คือตำหนักบรรพชนของหอเซียนดาบ และกลายเป็นโลกลี้ลับขนาดเล็กใบหนึ่ง
หลังการกัดกร่อนสามหมื่นปีจากการจองจำแห่งยุคมืด โลกลี้ลับแห่งนี้ก็ถูกทำให้เสียหายไปอย่างหนัก
ทว่า จากอาคารที่ตั้งเรียงรายแถวแล้วแถวเล่า ก็ยังเห็นได้อยู่ดีว่าหอเซียนดาบดั้งเดิมนั้นทรงพลังเพียงไร
ในตำหนัก
ซูอี้วางร่างมังกรดำขนาดยักษ์ของอิงเชวียลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง
จากนั้น เขาก็หยิบเก้าอี้หวายออกมาวาง เอนร่างเอกเขนกบนนั้น ก่อนจะพ่นลมหายใจโล่งอกออกมายาว ๆ
ครั้งนี้ เขาเดินทางจากหุบเขามารบุปผาโลหิตมายังทะเลวิญญาณโกลาหลอย่างเร่งรีบ ไม่ได้หยุดพักเลย
เมื่อเหนื่อยล้าจนทนไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงใช้โอสถเพิ่มเรี่ยวแรง
ในที่สุด เขามาถึงซากปรักหักพังของหอเซียนดาบได้ในเวลาไม่ถึงสองวัน
จากนั้น ศึกก่อนหน้านี้ก็เกิดขึ้น
แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการสังหารฉู่ซิวและผู้ฝึกตนอื่น ๆ ในตำหนักมารเทียนอวี้หรือการประหารชิงลั่ว ทั้งหมดต่างไม่ได้ยากเย็น ปัญหาเดียวของเขาคือดาบปีศาจ!
โชคดีที่ทุกสิ่งจบลงแล้ว
และในที่สุดซูอี้ก็ผ่อนคลายได้
เขาหยิบน้ำเต้าออกมาดื่มพลางพูดคุยกับพวกหนิงซือฮวาไป
ไม่นานจากนั้น เขาก็ได้เรียนรู้ว่าหลังได้รับจดหมายจากต้าเซี่ย พวกหนิงซือฮวาก็ออกเดินทางมายังหอเซียนดาบทันที
ในตอนนั้นมีคนนับสิบ รวมไปถึงเหวินหลิงเจา จู้กู่ชิง เฝิงเสี่ยวเฟิงและเฝิงเสี่ยวหรานจากตำหนักเทียนหยวนมากับพวกนางด้วย
นอกเหนือจากนี้ยังมีสหายเก่ามากมาย เช่นราชาสะกดขุนเขามู่ซี หวงเฉียนจวิน เถาชิงซาน เชินจิ่วซงและผูอี้
ครั้งนั้นซูอี้อยู่ในตำหนักเทียนหยวน หนิงซือฮวาเคยเสนอการก่อตั้งขุมอำนาจใหม่ และหลังได้รับคำยินยอมจากซูอี้ นางก็ตั้งชื่อขุมอำนาจนี้ว่าสำนักเสวียนจวิน
กลุ่มคนในหอเซียนดาบเหล่านี้นับได้ว่าเป็นสมาชิกของสำนักเสวียนจวินทั้งสิ้น
“อย่ารบกวนพวกเขาในยามนี้เลย ช่วงเย็นจะมีงานเลี้ยง ข้าจะดื่มกับพวกเขาในตอนนั้น”
ซูอี้กล่าว
หนิงซือฮวาพยักหน้า
เมื่อซูอี้กลับมา งานเลี้ยงก็ควรถูกจัด
ทว่าอิงเชวียยังไม่ได้ตื่นขึ้น ยามนี้จึงยังไม่มีผู้ใดพร้อมจัดงานเลี้ยงในยามนี้
“สหายเต๋า หลังปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินฟื้นตัว ซากหอเซียนดาบแห่งนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย”
หนิงซือฮวากล่าวเรื่องเหล่านี้ออกมาทีละเรื่อง
ยกตัวอย่าง ในสระบัวอันเหือดแห้งบังเกิดตาน้ำ และเกิดหยาดจิตวิญญาณบริสุทธิ์ผุดขึ้นราวร้อยจินทุกวัน
ในพื้นที่มอดไหม้ในซากปรักหักพัง จู่ ๆ ก็บังเกิดหน่อไม้อ่อนมากมายเมื่อไม่นานนี้
หลังจากหนิงซือฮวาตรวจสอบ ก็พบว่ามีโอกาสสูงว่าที่แห่งนี้จะเคยเป็นสวนโอสถมาก่อน
มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้นหลายจุด กระจายตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วซากหอเซียนดาบ
และสิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงของวังเซียนดาบ!
วังเซียนดาบคือที่พำนักเจ้าหอเซียนดาบ มีอีกหนึ่งชื่อคือวังเซียนรวมศูนย์
ตราประทับกระดูกขาวที่ซูอี้ให้หนิงซือฮวาในคราแรกก็ได้รับมาจากวังเซียนดาบนี้
และจากคำกล่าวของหนิงซือฮวา เมื่อห้าวันก่อน บัลลังก์กลางวังเซียนดาบถูกกระชากขาดจากกันกะทันหัน และกระดูกล้ำค่าชิ้นหนึ่งร่วงลงมาจากมัน!
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ หนิงซือฮวาก็หยิบกระดูกสีทองหม่นออกมาจากในแขนเสื้อ ส่งให้กับซูอี้
กระดูกชิ้นนี้ถูกขัดเกลาเป็นรูปทรงดาบ ยาวเพียงครึ่งฉื่อ คมของมันบางเยี่ยงปีกจักจั่น
เมื่อถือในมือ มันก็หนักเพียงหนึ่งเส้นผม!
หลังจากมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็อดแสดงสีหน้าประหลาดใจไม่ได้ “นี่คือกระดูกชะตาส่วนหนึ่งของสัตว์ร้ายบรรพกาลไป๋เจ๋อ สิ่งที่หายากคือ มันยังคงมีเสี้ยวกลิ่นอายของไป๋เจ๋ออันหนาแน่นและบริสุทธิ์ยิ่งอยู่”
ไป๋เจ๋อมีร่างเป็นสิงโต เขาแกะและหนวดมังกร ปัญญากว้างไกลทั่วฟ้าดิน เชี่ยวชาญในวิถีแห่งเมฆา หมอก อสนีบาต และมีสายเลือดสูงสุด เป็นตัวตนผู้ร้ายกาจในหมู่สัตว์ร้ายบรรพกาล
กล่าวกันว่าในยามแรกเริ่ม วิชา ‘ผ่อนสายใจเป็นสายฟ้า ทะยานเวหาเคลื่อนเมฆา’ ที่เหล่าผู้ฝึกตนบรรลุนั้น เดิมเกิดจากพลังเหนือธรรมชาติของสัตว์ร้ายบรรพกาลไป๋เจ๋อ
และกระดูกชะตาของไป๋เจ๋อตรงหน้าเขาชิ้นนี้ก็มีกลิ่นอายอันบริสุทธิ์เข้มข้น ต้องเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้อย่างแน่นอน!
เรื่องน่าอัศจรรย์ใจที่สุดสำหรับกลิ่นอายนี้ก็คือ หากนำมันไปหล่อหลอม จะมีโอกาสได้รับพลังติดตัวบางส่วนของไป๋เจ๋อ!
“สมบัติชิ้นนี้น่าจะถูกทิ้งไว้โดยจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน”
ซูอี้ลอบคิด
ร่างของผู้ก่อตั้งสำนักหอเซียนดาบ จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนคือสัตว์ร้ายบรรพกาลไป๋เจ๋อ เมื่อเขาเห็นกระดูกชะตาไป๋เจ๋อชิ้นนี้ ซูอี้จะไม่รู้ที่มาของมันได้เช่นไร?
“แปลว่าเมื่อการจองจำแห่งยุคมืดปรากฏขึ้นสามหมื่นปีก่อน จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนไม่เพียงทิ้งมรดกคัมภีร์ดาบหมื่นวิญญาณไว้ แต่ยังมีกระดูกชะตาอีกชิ้นซ่อนอยู่ในวังเซียนดาบด้วย…”
“เพียงแต่ว่า กระดูกชะตานี้เตรียมไว้เพื่อให้ผู้ใดกัน?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
กระดูกชะตาของตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ หากไปอยู่ในเก้ามหาแดนดิน จะมีค่าสูงล้ำยิ่งกว่ามรดกจากขุมอำนาจใด
เพราะการครอบครองสมบัติเช่นนี้เท่ากับการถือครองอำนาจส่วนหนึ่งในขอบเขตจักรพรรดิ ประเมินค่าไม่ได้!
“ดูเหมือนว่าจะยังมีความลับอื่น ๆ ซ่อนอยู่ในหอเซียนดาบนี่”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เงยหน้าขึ้นมองหนิงซือฮวาและกล่าวว่า “สมบัติชิ้นนี้ มอบให้อิงเชวียดีหรือไม่?”
หนิงซือฮวากล่าวยิ้มๆ “สุดแท้แต่สหายเต๋า”
ซูอี้พยักหน้า
แม้ว่าอิงเชวียจะเป็นผู้สืบสายเลือดมังกรดำ แต่เขาก็ถือว่าธรรมดาทั่วไปในหมู่มังกร ในด้านพื้นเพที่มา เขายังอ่อนแอกว่ามังกรไร้เขาและมังกรสายฟ้าซึ่งอยู่ในตระกูลมังกรเช่นกัน
ในยามที่เขาอยู่บนฝั่งผามังกรด้วน ซูอี้เคยคาดไว้ว่าด้วยมรดกและความแข็งแกร่งสายเลือดของอิงเชวีย อย่างมาก เขาก็จะไปถึงได้แค่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ
ส่วนการเปลี่ยนเป็นมังกรที่แท้จริง พิสูจน์เต๋าและเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดินั้น โอกาสไม่ได้มีมากนักเลย
ทว่ายามนี้ เมื่อมีกระดูกชะตาของไป๋เจ๋อ ก็เพียงพอจะทำให้สายเลือดและพื้นเพของอิงเชวียมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ และเป็นไปได้ในการทะลวงสู่ขอบเขตจักรพรรดิในภายหน้า!
แน่นอนว่า เขาก็แค่อาจจะเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิได้
ตลอดกาลนานมา มีบุคคลผู้ยอดเยี่ยมมากมายในเก้ามหาแดนดิน ทว่ากลับมีเพียงหยิบมือซึ่งสามารถก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิได้
“สหายเต๋า เจ้าได้เห็นสิ่งใดเกี่ยวกับคำว่า ‘เทวทัณฑ์’ ในหอเซียนดาบนี้หรือไม่?”
ซูอี้จำบางอย่างได้และถาม
หนิงซือฮวาสะดุ้งและส่ายหน้า
ซูอี้ถามอีกครั้ง “ได้เห็นหนังสือใด ๆ เกี่ยวกับชื่อ ‘ชิงลั่ว’ หรือไม่?”
หนิงซือฮวาส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่เห็นเลย”
ซูอี้ไม่ได้ถามอีก
แม้ว่าเขาจะคาดไว้ว่าดาบปีศาจเทวทัณฑ์และหอเซียนดาบจะมีความเกี่ยวพันกันบางอย่าง แต่หอเซียนดาบนั้นว่างเปล่าอยู่นานแล้ว เหลือเพียงสิ่งปลูกสร้างอันหักพังนี้
ไม่ต้องสงสัยว่าการค้นหาเบาะแสอันมีค่าคงยากเกินไป
ยามนี้ เสียงงอแงพลันดังขึ้น
ทุกสายตาหันไปมองทารกมารในอ้อมแขนฉาจิ่นโดยไม่ตั้งใจ
เจ้าตัวน้อยนี้หิวอย่างเห็นได้ชัด ศีรษะน้อย ๆ ของนางกระเถิบเข้าหาอกของฉาจิ่นเรื่อย ๆ ปากทำท่าดูด ทว่ากลับไม่อาจได้ลิ้มสิ่งใด จึงทำได้เพียงร้องงอแงอย่างกระวนกระวาย
ใบหน้างามของฉาจิ่นขึ้นสี กล่าวอย่างเขินอาย “คุณชาย เด็กหญิงผู้นี้ดูจะหิวแล้ว…”
ซูอี้กล่าว “บดหินวิญญาณเป็นชิ้นเล็ก ๆ และป้อนนางทีละชิ้น”
หินวิญญาณ?
ทั้งหนิงซือฮวาและฉาจิ่นต่างเบิกตากว้าง
“นางไม่ใช่ทารกธรรมดา” ซูอี้อธิบายที่มาของทารกมารอย่างลอยชาย
ยามนั้นเอง ฉาจิ่นจึงหยิบหินวิญญาณขึ้นมาบด จากนั้นหยิบเศษหินชิ้นเล็กขึ้นมาและบรรจงป้อนให้ทารกมารที่ริมฝีปาก
ครู่ถัดมา หินวิญญาณก็ถูกทารกมารพ่นออกเยี่ยงเปลือกเมล็ดแตงโม
ด้วยกิริยาน่ารักน่าชังนี้ หนิงซือฮวาและฉาจิ่นต่างแย้มยิ้ม ดูจะเปี่ยมด้วยความรักแห่งมารดาทั้งคู่
“คุณชาย นางมีชื่อหรือไม่?”
ฉาจิ่นถามพลางป้อนนางด้วยหินวิญญาณอีกชิ้น
“ไม่มี”
ซูอี้กล่าวอย่างเหม่อลอย
“เช่นนั้น ข้าจะตั้งชื่อเล่นให้นางได้หรือไม่?”
ดวงตางดงามของฉาจิ่นทอประกาย
ซูอี้ย้ำเตือน “อย่าลืมเสียเล่าว่านางคือทารกมาร ไม่อาจถูกปฏิบัติด้วยเยี่ยงทารกทั่วไป”
ฉาจิ่นพ่นลมหายใจ ครุ่นคิด และจึงกล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไร นางก็ยังเหมือนเป็นคนของคุณชายที่จะอยู่กับเราในภายหน้า ข้าจะไม่ปล่อยให้นางเลวร้ายไปเช่นพวกมารในตำหนักมารเทียนอวี้ อืม… ในความคิดข้า ข้าจะให้ชื่อเล่นนางไว้ก่อน ไว้คุณชายค่อยตั้งชื่อนางจริง ๆ ทีหลัง”
หนิงซือฮวากล่าวยิ้มๆ “เป็นความคิดที่ดี”
ซูอี้รู้สึกเบื่อเล็กน้อย เขาปล่อยให้หนิงซือฮวาและฉาจิ่นหารือกันไป
สุดท้ายแล้ว ทั้งคู่ก็เห็นตรงกันว่าชื่อเล่น ‘โม่โม่’ สวยงามที่สุด
ทารกมาร ทายาทแห่งมาร คำว่า ‘โม่’ พ้องเสียงฟังดูเหมือนชื่อเล่นทารกได้ มันไม่ได้พิเศษ เป็นเพียงชื่อเล่น และไม่ได้แย่อันใด
เรื่องนี้ ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจ
มันไม่ใช่สมญาเต๋า และหาใช่ชื่อจริงไม่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพยายามไคร่ครวญ
“เสี่ยวโม่โม่ ฮิ ๆ เจ้ายิ่งร้องไห้ยิ่งเสียงดีนะ”
ฉาจิ่นกอดทารกมารด้วยใบหน้าเปี่ยมปรีดา
ยามนี้ เหวินหลิงเสวี่ยเดินออกมาจากโถงด้านข้างสู่ข้างกายซูอี้ กล่าวอย่างลังเลว่า “พี่ซูอี้ พ่อแม่ของข้าบอกว่าพวกเขายังอยากกลับเมืองกว่างหลิงอยู่นะ”
ก่อนหน้านี้ นางอยู่ปลอบใจคู่สามีภรรยาเหวินฉางไท่และฮูหยินอยู่ที่โถงด้านข้างมาตลอด
“เจ้าคิดเช่นไร?”
ซูอี้ถาม
เหวินหลิงเสวี่ยเผยสีหน้าจนใจเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวว่า “พ่อแม่ของข้าเป็นเพียงคนธรรมดา หลังจากถูกทำให้ตกใจกลัวเช่นนี้ พวกเขาก็เลยอยากกลับบ้านไปใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุข เลย…”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “เจ้าไม่ต้องกังวลเพื่อพวกเขาหรอก แม้ว่าโลกในยามนี้จะปั่นป่วน แต่ยังมียอดฝีมือเช่นเนี่ยเถิงกับเนี่ยเป่ยหู่อยู่ในเมืองกว่างหลิง ซึ่งเพียงพอจะปกป้องพ่อแม่ของเจ้าได้ ยิ่งกว่านั้นในภายหน้า ยอดฝีมือจากตำหนักมารเทียนอวี้จะไม่มีโอกาสเข้าสู่ต้าโจวอีกครั้งมากนัก”
ยามนี้ ยอดฝีมือจากตำหนักมารเทียนอวี้ที่ถูกส่งไปยังต้าโจวถูกเขาสังหารไปเกือบหมดแล้ว
ยามเมื่อมีเวลา เขาก็แค่ไปยังโลกใต้พิภพลึกเข้าไปในหุบเขามารบุปผาโลหิต ตั้งกับดักไว้ใกล้ ๆ ผนังกั้นมิติ ขอเพียงยอดฝีมือจากตำหนักมารเทียนอวี้ข้ามมา จะไม่ต่างกับการโดดสู่กับดักด้วยตนเอง
“อื้อ!”
เหวินหลิงเสวี่ยโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด
และนั่นคือผลสรุป
คืนนั้น
หนิงซือฮวาจัดงานเลี้ยงหรูหราในตำหนักเซียนดาบ
แสงสว่างพร่างพราย อาหารเลิศรสวางเต็มโต๊ะ
มู่ซี หวงเฉียนจวิน เฝิงเสี่ยวหราน เฝิงเสี่ยวเฟิง สหายเก่าอื่น ๆ รวมไปถึงเถาชิงซาน เชินจิ่วซง และผูอี้ซึ่งเข้าร่วมกับสำนักเสวียนจวินเป็นที่เรียบร้อยต่างปรากฏตัวในงาน
ยามนี้เอง พวกเขาจึงรู้ว่าซูอี้กลับมาแล้ว!
เมื่อพวกเขาเห็นร่างของซูอี้นั่งสบาย ๆ อยู่ ณ หัวโต๊ะ ทุกผู้ต่างมีสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็เดินเข้ามาทักทายกัน บรรยากาศงานเลี้ยงครึกครื้น
การกลับมาพบของสหายเก่าเป็นความรื่นรมย์ในชีวิต
ทว่าซูอี้ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบใครบางคนเข้าร่วมงานเลี้ยงโดยไม่คาดฝัน!