บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 632 สำรวจใจถามตนเอง คลายกังวล
ตอนที่ 632: สำรวจใจถามตนเอง คลายกังวล
ตอนที่ 632: สำรวจใจถามตนเอง คลายกังวล
นางเป็นสตรีผู้หนึ่ง
สวมอาภรณ์ยาวสีม่วงอ่อน ดูเย็นชาเยี่ยงหิมะ บรรยากาศโดดเดี่ยวเย็นชาโดยไม่ต้องแสร้งทำ
เหวินหลิงเจา
ครั้งหนึ่ง นางเคยเป็นภรรยาของซูอี้ หญิงงามผู้ทะนงตนแห่งชนรุ่นเยาว์ในเมืองกว่างหลิง และหนึ่งในศิษย์ผู้เจิดจรัสที่สุดในตำหนักเทียนหยวนผู้ได้รับความนิยมจากผู้มีฝีมือนับไม่ถ้วน
ทว่านับแต่ซูอี้สะบั้นความสัมพันธ์กับนางโดยไม่มีพิธีรีตอง นางก็แทบไม่ได้ปรากฏในสายตาของซูอี้อีกเลย
ซูอี้เองก็ไม่ได้ใส่ใจการกระทำของนางอีกต่อไป
นาน ๆ ครั้ง เขาจะได้ยินเหวินหลิงเสวี่ยกล่าวถึงความรู้สึกผิดของเหวินหลิงเจาต่อสิ่งที่ตัวนางเคยทำในคราก่อน
ในเรื่องความรู้สึกผิดนี้ ซูอี้เองก็รู้ แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ
เหมือนเช่นเนื้อหาในจดหมายที่เขาเคยเขียนส่งให้เหวินหลิงเจา ‘หนึ่งแตกต่าง สองไม่อาจบรรจบ แต่ละชีวิตแยกย้ายตามเส้นทางของตนเอง’
ทว่าซูอี้ไม่คาดว่าเหวินหลิงเจาจะปรากฏตัวในงานเลี้ยงนี้ด้วย
ควรค่าจดจำว่าในอดีต ไม่ว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นที่ใด เหวินหลิงเจาจะจงใจเลี่ยงไม่เผยโฉม
“เหตุใดพี่ข้าจึงอยู่ที่นี่กัน…”
เหวินหลิงเสวี่ยเองก็แปลกใจมาก
ผู้อื่นในโถงต่างสังเกตเห็นว่าบรรยากาศผิดแปลก พวกเขาต่างหันมองเหวินหลิงเจา
หญิงสาวผู้เดียวดายเดินมาหยุดที่กลางโถง เผชิญหน้าซูอี้ผู้นั่งอยู่ตรงหน้านาง จากนั้นจึงก้มหัวกล่าวว่า “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตพ่อแม่ของข้า บุญคุณนี้ข้าจะตอบแทนยามสบโอกาสในภายหน้า”
นางรวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อกล่าวออกมา
หลังกล่าวจบ มือหยกขาวทั้งสองก็กำชายแขนเสื้อไว้แน่น หัวยังไม่เงยขึ้น ร่างบอบบางแข็งทื่อ
รอบข้างตกสู่ความเงียบ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหวินหลิงเสวี่ยก็รู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก
ในใจของนาง ซูอี้นั้นดีมาก และพี่สาวของนางก็ดีเยี่ยมเช่นกัน ทว่าโชคดีที่ทั้งสองไม่อาจอยู่ด้วยกันได้
จวบจนยามนี้ ทั้งคู่กลายเป็นคนแปลกหน้า!
เหวินหลิงเสวี่ยรู้ว่าพี่สาวของนางก็แค่หัวดื้อและมีนิสัยไม่ยอมคน เหตุที่นางหนีจากบ้านยามต้องแต่งงานนั้นไม่ใช่เพราะนางดูแคลนซูอี้ แต่เป็นเพราะนางปฏิเสธการแต่งงานนี้ ไม่ต้องการให้ชะตาของนางถูกผู้อื่นควบคุมตามใจ
เหวินหลิงเสวี่ยเองก็รู้ว่าซูอี้ไม่เคยเกลียดเหวินหลิงเจา กระทั่งรู้แก่ใจว่าเหวินหลิงเจากระทำเช่นนั้นเพราะเหตุใด
แต่การเข้าใจไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับอยู่ดี
นิสัยของซูอี้เย่อหยิ่งภาคภูมิยิ่งนัก เขาจะไม่มีวันพยายามรักษาหรือฟื้นสายสัมพันธ์ระหว่างเขาและเหวินหลิงเจา
จนกระทั่งคู่รักในนามกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน!
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก”
ซูอี้เงยหน้าขึ้นมองเหวินหลิงเจาที่ก้มหัวอยู่ไกล ๆ ด้วยสีหน้าเฉยเมย “เจ้าเป็นพี่สาวของหลิงเสวี่ย ต่อให้ผู้ตกอยู่ในอันตรายคือเจ้า ข้าก็จะไม่ดูดาย”
เหวินหลิงเจาตกใจราวไม่อยากเชื่อ
แต่หลังจากใคร่ครวญความหมายคำพูดของซูอี้ นางก็พอเข้าใจ
สุดท้ายแล้ว ซูอี้ก็ช่วยพ่อแม่ของนางเพราะเห็นแก่หลิงเสวี่ย
และกระทั่งคำพูดที่บอกว่าต่อให้นางตกอยู่ในอันตราย เขาก็จะไม่นิ่งดูดาย นั่นก็เพราะหลิงเสวี่ยเช่นกัน…
“สิ่งที่เกิดขึ้นคราก่อนนั้นเหมือนเช่นเมฆาเคลื่อนคล้อยในใจข้า ข้าไม่เคยใส่ใจ”
ซูอี้กล่าวหลังจากลังเลอยู่นาน “หวังว่าเจ้าจะคิดเช่นนั้นเช่นกัน”
เหวินหลิงเจาเงียบอยู่นาน จากนั้นจึงพยักหน้า “ขอบคุณ”
จากนั้น นางก็หันหลังกลับ
ซูอี้มองอีกฝ่ายจากไป ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย
ความบาดหมางและความขัดแย้งในคราแรกนั้นไม่เคยอยู่ในสายตาเขาเลย แต่เป็นที่ชัดเจนว่าเหวินหลิงเจายังไม่ได้ปล่อยวางเรื่องนี้
เหตุที่เขาพูดมากขึ้นในคืนนี้ นั่นก็เพราะเขาไม่ต้องการให้เหวินหลิงเสวี่ยกังวลเรื่องนี้
ส่วนเหวินหลิงเจาจะเห็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือไม่ นั่นเป็นกงการของนาง
ซูอี้ไม่ต้องการให้ตนใจอ่อนเพราะเหวินหลิงเจาก้มหัวให้เขาก่อน และถือโอกาสผ่อนความสัมพันธ์ระหว่างกัน
นั่นไม่ใช่นิสัยของเขาเลย
…
ต่อจากนั้น บรรยากาศงานเลี้ยงก็กลับสู่ความรื่นเริงอย่างรวดเร็ว
ทุกผู้ต่างดื่มฉลองให้ซูอี้ พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเก่า ๆ บางผู้ทอดถอนใจ บางผู้หัวเราะ และบางผู้ไร้วาจา…
ทว่าทุกคนต่างพูดว่าพวกตนและซูอี้ไม่ได้อยู่ในโลกเดียวกันเลย
ในหมู่พวกเขา ส่วนใหญ่ยังเป็นนักรบปุถุชนกันอยู่ และยังค้นหาวิถียุทธ์ของตนไม่พบ
ส่วนซูอี้ เขาเป็นเทพเซียนเดินดินในขอบเขตรวบรวมดาราไปเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่ายามนี้พวกเขาจะยังสามารถกินดื่มฉลอง หัวเราะเฮฮาต่อกันได้ แต่การรวมตัวเช่นนี้ก็จะน้อยลงทุกที
ต่อให้พวกเขาจะอยากพบซูอี้ในภายหน้า ก็คงยากขึ้นทุกที…
พญาพยัคฆ์จะไม่อยู่ร่วมฝูงกับแกะ
ยิ่งระดับฝึกฝนสูง การค้นหาวิถีของพวกเขายิ่งแตกต่างจากทุกคนที่นี่โดยสิ้นเชิง
เรื่องทั้งหมดนี้ถูกกำหนดไว้แสนนาน และในช่วงเวลาถัด ๆ มา ระยะห่างระหว่างพวกเขาและซูอี้ก็จะห่างไกลกันขึ้นเรื่อย ๆ
ซูอี้ไม่ได้คิดมากนัก
สหายเก่าอยู่ดี แม้จะงก ๆ เงิ่น ๆ ไปบ้าง แต่ก็เพียงพอให้สุขใจ
หลังจบงานเลี้ยง
เมื่อเห็นว่าฉาจิ่นยังคงหยอกล้อทารกมารในอ้อมแขน ซูอี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ส่งนางให้สหายเต๋าหนิง”
ฉาจิ่นอึ้งไป “แต่ข้าคิดว่า…”
ก่อนที่นางจะทันพูดจบ นางก็ดูจะตระหนักสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ใบหน้างดงามของนางแดงก่ำขึ้นทันควัน ส่งเสียงแหลมสูงราวยุงบิน
หนิงซือฮวาแย้มยิ้มพิลึก ฉวยโอกาสคว้าตัวทารกมารไป จากนั้นก็กระซิบข้างหูฉาจิ่น “อย่าลืมบอกสหายเต๋าซูให้เปิดค่ายกลเก็บเสียงนะ”
ฉาจิ่น “…”
จู่ ๆ ใบหูขาวกระจ่างของนางก็แดงก่ำทั้งหู
การพบพานหลังแยกจากนั้นหอมหวานยิ่งกว่ายามแรกแต่งงาน หยาดฝนกลับมาพบพานหลังแล้งแสนนาน
คืนนี้ย่อมเปี่ยมเสน่ห์ชวนหลงใหลอย่างไม่อาจพรรณนา
…
เช้าถัดมา
เมื่อซูอี้ลุกจากเตียง ฉาจิ่นยังคงหลับใหล เส้นผมสีปีกกาบนใบหน้าของนางยุ่งเหยิง ใบหน้าเรียวเช่นไข่ห่านปรากฏร่องรอยความเหนื่อยล้า
เมื่อคืนวานนางล้าเหลือเกิน ไม่รู้ว่าต้องกระสับกระส่ายไปมามากเพียงไร การผันผ่านของเวลาถูกหลงลืม กายใจจมสู่เกลียวคลื่นแห่งความปีติถาโถมรุนแรง
จิตเหม่อลอย ใจละล่อง ไม่รับรู้สิ่งอื่นใด
ซูอี้กระปรี้กระเปร่านัก หลังลุกขึ้นมาอาบน้ำ เขาก็ฝึกฝนวิถีเต๋าเช่นกาลก่อน
เขาในยามนี้อยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราขั้นปลาย ห่างจากขั้นสมบูรณ์แบบไปเพียงไม่ไกล คงไม่นานก่อนที่เขาจะเข้าสู่ขั้นสมบูรณ์แบบ
“ต่อมา หลังจากง่วนกับเรื่องผิวเผินเหล่านี้ ข้าจะเก็บตัวอีกสักพักเพื่อฝึกปรือ สำรวจตนเอง เตรียมทะลวงสู่วิถีวิญญาณ”
ซูอี้ตัดสินใจตามความคิดเดิม
การที่เขากลับมายังต้าโจวในยามนี้ไม่ใช่แค่เพื่อกลับมาเยือนสถานพำนักเก่า สะสางมหาวิธี
แต่เป็นการเตรียมพร้อมทะลวงสู่วิถีวิญญาณด้วย!
ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณคือขอบเขตหลักแรกของวิถีวิญญาณ
ยามเมื่อเปิดวิถีใหม่ที่สูงกว่า เข้าสู่ขอบเขตนี้ วิญญาณ ร่างกาย การฝึกฝน กระทั่งชีวิตของผู้ฝึกตนจะเปลี่ยนแปลงมหันต์ราวผีเสื้อฟักจากดักแด้
ทว่าก่อนจะเยื้องย่างสู่ขอบเขตดังกล่าว เขาก็ต้องผ่านมหาหายนะเสียก่อน!
ซูอี้คาดไว้แล้วว่าหายนะที่เขาจะได้เผชิญจะแตกต่างจากผู้ฝึกตนคนใด ๆ บนโลกนี้แน่นอน
กระทั่งหากอิงตามประสบการณ์ในอดีตชาติของเขา เป็นไปไม่ได้เลยหากจะคาดหยั่งว่าหายนะนี้จะน่ากลัวเพียงไร!
เหตุผลนั้นง่ายมาก รากฐานแห่งมหาวิถีที่เขาสร้างขึ้นในวิถีต้นกำเนิดนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อนตลอดประวัติศาสตร์แห่งเก้ามหาแดนดิน!
กล่าวได้ว่าไม่เคยมีอยู่ และทั้งหมดนี้หมายความว่าหายนะที่เขากำลังจะเผชิญก็น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นกัน!
เพราะเหตุนี้ นับแต่จากต้าเซี่ยมา ระหว่างทางสู่ต้าโจว ซูอี้จึงคิดว่าจะรับมือกับหายนะนี้เช่นไรมาตลอด
สุดท้าย เขาก็ได้คำตอบว่าเขาควรเริ่มจากหัวใจตนก่อน!
ดังนั้นเขาจึงจะออกเยี่ยมสถานที่อันคุ้นเคย เดินบนถนนเดิมที่ตนทำยามเวียนวัฏสงสาร เรียบเรียงประสบการณ์ในอดีต และสะสางมหาวิถี
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการช่วยต้นแครฝรั่งให้กลายเป็นภูตในเรือนเล็กเหมยอำพัน หรือการช่วยเหลือเมืองกว่างหลิงให้พ้นภัยสัตว์ปีศาจ หรือการกวาดล้างผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ ปกป้องโลกาจากภัยพิบัติก็ตาม อันที่จริง สำหรับซูอี้ พวกมันล้วนแต่เป็นผลกรรมแห่งโลกา
“การฝึกฝนและตั้งคำถามไม่ได้ไร้เมตตา มีความลับแห่งชะตามากมายหลายแขนง จวบยามนี้ หากหันหลังมองเส้นทางที่เดินในกาลก่อน สำรวจใจถามตนเอง ความกังวลและความอับอายก็ไม่ควรมีอยู่”
ซูอี้ลอบกล่าว
ใจกายของเขาว่างเปล่าโดยสมบูรณ์ บรรยากาศของเขาเฉยชาขึ้นทุกขณะ
และยังเป็นจากวันนี้เองที่ซูอี้เริ่มเก็บตัวฝึกฝนในซากปรักหักพังในหอเซียนดาบ เมินทุกเรื่องราวจากโลกภายนอก
ในช่วงเวลาว่าง เขาจะออกมาชี้แนะหนิงซือฮวา เหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่นและคนอื่น ๆ ในการฝึกฝนและผ่อนคลาย
วันถัดมา
หยวนเหิง ไป๋เวิ่นฉิงและเก๋อเฉียนมาถึงยังซากของหอเซียนดาบ
ก่อนหน้านี้ ทั้งสามถูกซูอี้ส่งไปยังขุนเขาปีศาจเพลิงเงิน ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาและหุบเขามารบุปผาโลหิต เพื่อสังหารเหล่าผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเดินทางไปพบซูอี้ที่หุบเขามารบุปผาโลหิต เขาจึงได้เรียนรู้จากปากของราชากลืนสมุทรเก๋อฉางหลิงว่าซูอี้ล่วงหน้าไปยังทะเลวิญญาณโกลาหลแล้ว และออกเดินทางทันที
การมาถึงของพวกหยวนเหิงเองก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮา
โดยเฉพาะหยวนเหิง การเปลี่ยนแปลงของเขายิ่งใหญ่เสียจนหนิงซือฮวา เถาชิงซานและคนอื่น ๆ ต่างตะลึง
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน หยวนเหิงเปลี่ยนจากผู้ฝึกตนในขอบเขตไร้เบญจธัญสู่ขอบเขตรวบรวมดารา ใครเล่าจะไม่ทึ่งกับเรื่องนี้?
นี่ยังทำให้ผู้คนตระหนักลึกซึ้งด้วยว่า การที่ได้ฝึกตนกับซูอี้นั้นไม่ต่างจากเกาะชายเสื้อเขาสู่ความรุ่งเรือง
และในวันเดียวกัน ซูอี้ก็ขอให้หยวนเหิงอารักขาเหวินฉางไท่และฮูหยินของเขากลับต้าโจว
ยังมีผู้ฝึกตนบางผู้ซึ่งจากไปด้วยกัน เช่นมู่ซี เชินจิ่วซง และคนอื่น ๆ
ยามนี้ ผู้ฝึกตนของตำหนักมารเทียนอวี้ในต้าโจวถูกซูอี้กวาดล้าง และพวกเขาไม่เต็มใจจะซ่อนในหอเซียนดาบต่อ จึงวางแผนออกไปท่องโลกเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์
ซูอี้ไร้ข้อคิดเห็นต่อเรื่องนี้
เขาสามารถปกป้องคนเหล่านี้ได้ครู่หนึ่ง แต่ไม่ใช่ชั่วชีวิต เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็ยังต้องเดินตามวิถีของตนในภายหน้า
เหวินหลิงเจาเองก็จากไปพร้อมเหวินฉางไท่และฮูหยินของเขาเช่นกัน โดยหมายจะกลับไปตั้งรกรากที่เมืองกว่างหลิง
ซูอี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก
ทว่า เนื่องจากเหวินหลิงเสวี่ย เขาจึงยังส่งยันต์ลับให้เหวินหลิงเจาหนึ่งชิ้น
กาลเวลาเคลื่อนผ่านไปอีกสามวัน
ในขณะที่ซูอี้กำลังหล่อหลอมอุปกรณ์ประกอบค่ายกลนั้นเอง จู่ ๆ ร่างหนึ่งก็เดินอาด ๆ มายังหน้าห้องโถงและคุกเข่าลง
เขาคืออิงเชวีย
“ทายาทแห่งมังกรเกล็ดดำอิงเชวีย ขอกล่าวขอบคุณคุณชายซูที่ช่วยชีวิต!”
เขาเปี่ยมด้วยความรู้สึกขอบคุณและเลื่อมใสจากก้นบึ้งแห่งหัวใจ
อิงเชวียคิดว่าตนตายแล้วแน่แท้ ทว่ายามลืมตาตื่น เขาเกือบคิดเสียแล้วว่าตนอยู่ในปรภพ
จนกระทั่งเมื่อเขาได้รับรู้เรื่องราวจากหนิงซือฮวา อิงเชวียจึงรู้ว่าซูอี้ได้ดึงเขากลับมามีชีวิตอีกครั้งด้วยอำนาจอัศจรรย์สุดเหลือเชื่อ!
ซูอี้เหลือบมองอิงเชวีย พลางกล่าวสบาย ๆ “ลุกขึ้น ข้ามีเรื่องหนึ่งให้เจ้าทำพอดี”