บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 633 ส่งเทียบเชิญถึงหน้าประตู
ตอนที่ 633: ส่งเทียบเชิญถึงหน้าประตู
ตอนที่ 633: ส่งเทียบเชิญถึงหน้าประตู
ซูอี้มองปราดแรกก็เห็นว่าอิงเชวียไม่เพียงฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บเท่านั้น แต่ยังฟื้นผลการฝึกฝนอย่างสมบูรณ์ด้วย
นี่แสดงให้เห็นถึงอำนาจของโลหิตทองวิญญาณน้ำแข็ง
“ท่านโปรดบอกข้าเถิด”
อิงเชวียยืนขึ้นคำนับเขาอีกครั้ง
“เจ้าไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมสุภาพเพียงนั้นก็ได้”
ซูอี้ขัดเกลาค่ายกลต่อโดยไม่เงยหน้ามอง “เข้ามานั่งก่อนสิ”
อิงเชวียเดินเข้ามาในห้องโถง
เมื่อเห็นซูอี้จดจ่อกับงานในมือ เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะนั่งไม่ห่างไปนัก ยืดตัวตรง สีหน้าจริงจัง
“ที่แท้ คุณชายซูก็ฝึกฝนมาถึงขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตรวบรวมดาราแล้ว”
อิงเชวียลอบทอดถอนใจ
เขายังจำคราแรกพบระหว่างชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้กับตนได้ที่ริมผามังกรด้วน อีกฝ่ายครานั้นยังอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญอยู่เลย
ไม่ถึงสามเดือนเคลื่อนผ่าน เขาก็ข้ามผ่านสองขอบเขต ห่างจากวิถีวิญญาณเพียงก้าวเดียวเท่านั้น!
ทว่าอิงเชวียไม่กล้าปฏิบัติต่อซูอี้เฉกเช่นผู้อื่นในขอบเขตรวบรวมดารา
เขาเคยได้ยินหนิงซือฮวากล่าวถึงศึกที่ซูอี้สังหารชิงลั่ว และตัวเขาเองก็ถูกซูอี้ชุบฟื้นคืนกลับมา!
เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้ตำแหน่งของซูอี้ในใจของเขาไม่ต่างอันใดกับเทพเซียนที่แท้จริง!
“ไม่ทราบเลยว่าคุณชายซูจะต้องการวัตถุมากมายเพียงนี้ไปเพื่อการใด”
อิงเชวียสังเกตเห็นว่าข้างกายซูอี้มีธงค่ายกลและยันต์กลไกมากมายทับถมเป็นเนินสูง ส่องประกายสะดุดตายิ่ง
แค่คิดถึงตรงนี้ ซูอี้ก็สร้างธงค่ายกลผืนสุดท้ายเสร็จในมือแล้ว
เขาลุกขึ้นยืดเส้นสาย หยิบน้ำเต้าขึ้นดื่ม ก่อนจะกล่าวว่า
“ในภายภาคหน้า เจ้าจะนำของพวกนี้ไปยังต้าโจว ไปตั้งกับดักในโลกใต้พิภพลึกเข้าไปในหุบเขามารบุปผาปีศาจ”
อิงเชวียลุกขึ้นกล่าวอย่างจริงจัง “ขอรับ อิงผู้นี้จะไม่ทำให้คุณชายซูผิดหวังเป็นอันขาด!”
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ “อย่าลนลานไป ข้ายังพูดไม่จบเลย”
ใบหน้าของอิงเชวียอดแสดงความเขินอายออกมาหน่อย ๆ ไม่ได้
“อุปกรณ์ของค่ายกลนี้มีทั้งหมดสามร้อยหกสิบชิ้น มันสามารถสร้างค่ายกลจองจำยักษ์ มีนามว่า ‘ค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์’ ขึ้นมาได้”
ซูอี้กล่าว “ในยามที่เจ้ากำลังตั้งค่ายกล…”
ต่อมา ซูอี้ก็บอกกลเม็ดการตั้งค่ายกลแก่อิงเชวีย
ฟังจบ อิงเชวียก็อดสูดหายใจเฮือกไม่ได้ หลังจากเข้าใจถึงความลับของค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์นี้ เขาก็ตระหนักว่ายามเมื่อถูกใช้งาน ค่ายกลนี้จะน่ากลัวเพียงไร
ต่อให้เป็นยอดฝีมือในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณล่วงล้ำเข้าไปในค่ายกล ยังแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนพวกนั้นจะมีโอกาสหลบหนี และมีโอกาสมากกว่าที่พวกเขาจะถูกสังหาร!
สิ่งที่ทำให้อิงเชวียตื่นกลัวที่สุดนั้นก็คือ เมื่อยามค่ายกลนี้ทำงาน นอกจากมันจะสื่อสารกับฟ้าดินได้แล้ว มันยังสามารถหล่อหลอมโลหิตของผู้ฝึกตนได้ด้วย!
ยิ่งกว่านั้น ยิ่งมันหล่อหลอมแก่นโลหิตของผู้ฝึกตนได้มากเพียงไร ค่ายกลก็ยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น!
สิ่งนี้สุดยอดโดยไม่ต้องสงสัย
“เจ้าจำได้ขึ้นใจหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
อิงเชวียพยักหน้ากล่าว “คุณชายซู ข้าจำได้หมดแล้วขอรับ”
ซูอี้กล่าว “วางพระพุทธรูปนั่นลง และไปต้าโจวได้แล้ว”
“ขอรับ!”
อิงเชวียตอบรับ ล้วงมือวางพระพุทธรูปสลักลงบนพื้น จากนั้นก็เก็บอุปกรณ์ค่ายกลเดินจากไป
ซูอี้มองอิงเชวียคล้อยหลังจากไป จากนั้นจึงทอดมองลงที่พระพุทธรูป
พระพุทธรูปนี้มาจากซากของศาลเซนวิถีพุทธในขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา
ยามเมื่อเขาอยู่ที่ชายฝั่ง ณ ผามังกรด้วน ซูอี้เคยมอบสิ่งนี้ให้อิงเชวียเก็บไว้ชั่วคราว เพื่อที่อิงเชวียจะได้สามารถพินิจดูรูปร่างของมังกรที่แท้จริงซึ่งขดอยู่หลังพระพุทธรูปได้
จะว่าไปแล้ว พระพุทธรูปนี้ก็มีประวัติศาสตร์มากมาย
ซูอี้ยังคงจำได้ว่าครั้งหนึ่งในซากของศาลเซนวิถีพุทธ เขาบังเอิญได้เห็นอภินิหารที่หลวงจีนชุดขาวขี่มังกรแท้ทะยานสู่หมู่ดาว!
ยามนั้น ซูอี้คาดว่าศาลเซนวิถีพุทธซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วิถีพุทธแห่งแรกในมหาทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นปีก่อนอาจมีทายาทแห่งมังกรที่แท้จริงอยู่ด้วย!
เหมือนเช่นพระพุทธรูปตรงหน้าเขาซึ่งนั่งขัดสมาธิ สองมือประสานท่าดอกบัว และมีมังกรขด ณ เบื้องหลัง ซ้ำยังถูกสร้างขึ้นจากกระดูกชะตาของมังกรที่แท้จริงอีก
“ครานั้น หลังจากการจองจำแห่งยุคมืดปรากฏ ผู้ฝึกตนวิถีพุทธในศาลเซนวิถีพุทธก็จากมหาทวีปคังชิงหนีลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาวเพื่อหาที่ฝึกฝนกันไปแล้ว และข้าก็ไม่ได้ใส่ใจนัก”
ซูอี้ลอบคิด
ทว่ายามนี้ ซูอี้ตั้งใจจะเปลี่ยนพระพุทธรูปนี้เป็นอาหาร และเมื่ออิงเชวียกลับมา เขาจะมอบมันให้อีกฝ่ายกินเสีย
ในลักษณะนี้ อิงเชวียจะไม่เพียงสามารถฟื้นคืน แต่ยังสามารถใช้กระดูกชะตาแห่งมังกรที่แท้จริงเพื่อหล่อหลอมร่างกายด้วย โอกาสการเปลี่ยนเป็นมังกรที่แท้จริงและก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิในภายหน้าของเขาก็จะดีขึ้นอย่างมาก
กาลเวลาเคลื่อนคล้อย
วันถัดมา หยวนเหิงผู้อารักขาเหวินฉางไท่และฮูหยินกลับสู่ต้าโจวก็กลับมาพร้อมเก๋อฉางหลิง ราชากลืนสมุทร
นี่เป็นเรื่องไหว้วานจากเก๋อเฉียน ซึ่งหวังว่าอาจารย์ของเขาจะสามารถฝึกฝนในซากหอเซียนดาบได้เช่นกัน
ซูอี้ย่อมไม่ปฏิเสธ
สามวันถัดมา
อิงเชวียสำเร็จภารกิจที่ซูอี้มอบหมาย และเดินทางกลับมา
ซูอี้มอบกระดูกชะตาของไป๋เจ๋อและกระดูกชะตาของมังกรที่แท้จริงที่ถูกป่นเป็นผง พร้อม ๆ กับวิชานาม ‘ศาสตร์มังกรอสนีบาตจำแลง’ แก่อิงเชวีย
ไป๋เจ๋อควบคุมวิถีแห่งสายฟ้าและเมฆาได้นับแต่กำเนิด และศาสตร์มังกรอสนีบาตจำแลงก็เป็นมรดกตกทอดของเผ่าพันธุ์มังกรสายฟ้า แฝงความหมายอันลึกซึ้งแห่งสายฟ้า
ในภายหน้า หลังจากอิงเชวียได้รับอำนาจติดตัวบางส่วนของไป๋เจ๋อ เขาก็จะได้ฝึกฝนศาสตร์มังกรอสนีบาตจำแลงซึ่งหนุนเสริมกัน
หลังจากได้รับของขวัญอันใจกว้างเหล่านี้ อิงเชวียก็อดสติหลุดลอยไปนานไม่ได้ หัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ จนปัญญาโดยแท้จริง
เขาจะไม่กระจ่างแจ้งได้เช่นไรว่านี่คือมหาลาภที่เขาได้ประสบในเส้นทางการเป็นมังกรที่แท้จริง?
“อิงผู้นี้จะสนองความคาดหวังของคุณชายซูให้จงได้!”
อิงเชวียคุกเข่าลงโขกหัว
“นี่คือชะตา และสิ่งที่เจ้าควรได้รับ”
ซูอี้กล่าวเนิบ ๆ
อิงเชวียรักษาสัญญาที่ให้ต่อเขาอย่างหนักแน่น และซูอี้จะไม่มีวันปฏิบัติแย่ ๆ ต่อมังกรเกล็ดดำผู้นี้
อันที่จริง ในช่วงเวลานี้ ซูอี้ได้สองสั่งเคล็ดวิชาและมอบสมบัติไปมากกว่าหนึ่งครั้ง
คนเช่นหนิงซือฮวา ฉาจิ่น เหวินหลิงเสวี่ยและคนอื่น ๆ ต่างได้รับของขวัญจากซูอี้ทั้งสิ้น
กระทั่งเถาชิงซาน หวงเฉียนจวินและคนอื่น ๆ ยังได้รับบางอย่างไป
สำหรับซูอี้ สมบัติเหล่านั้นไม่ได้มีค่ามากมายนัก และเขายังมีสุดยอดวิชามากมาย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้ใส่ใจ
ทว่าสำหรับผู้ที่ได้รับของขวัญ ความหมายของมันย่อมเกินธรรมดา
…
กาลเวลาเปลี่ยนผัน
สองเดือนเคลื่อนผ่านไวว่อง
นี่คือเดือนแรกของปีใหม่
โลกภายนอกเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจากการฟื้นตัวของปราณวิญญาณทั่วฟ้าดิน อาณาจักรใหญ่ต่าง ๆ ปั่นป่วนวุ่นวาย
วีรบุรุษนับไม่ถ้วนปรากฏกายท่ามกลางกลียุค โด่งดังเรืองนาม เขียนตำนานของตนด้วยการเข่นฆ่านองเลือด
โลกนี้มีหุบเขาและลำธารเลื่องชื่อมากมาย ซึ่งได้กลายไปเป็นสนามรบของเหล่าเสนาธิการทหาร
ยกตัวอย่างเช่นแปดมหาหุบเขาปีศาจแห่งต้าโจว สามดินแดนต้องห้ามแห่งต้าฉิน และที่อื่น ๆ ซึ่งกลายมาเป็นสมบัติอันเลอโฉมที่สุดในโลกหล้า
นอกจากนั้น ยังมีขุมอำนาจจากต่างโลกข้ามมาครอบครองพื้นที่ต่าง ๆ ในโลกอันสับสนวุ่นวายนี้ เรียกรับศิษย์ และซ่องสุมกำลังตนด้วย
ขุมอำนาจผู้ฝึกตนทั้งน้อยใหญ่ปรากฏขึ้นราวดอกเห็ดหลังพิรุณโปรยเช่นกัน
นี่คือความเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากปราณวิญญาณแห่งฟ้าดิน
เมื่อปราณวิญญาณทั่วฟ้าดินเข้มข้นขึ้นทุกขณะ มหาทวีปคังชิงจึงเปลี่ยนแปลงแทบตลอดเวลา
นี่คือลางบอกการมาของแสงสว่างแห่งโลกกว้าง
มันยังเป็นกลียุคนองเลือดที่แพร่กระจายไปทั่วโลกา บรรจงเปิดม่านอันหนักอึ้งแห่งตำนานออกอย่างช้า ๆ
ฟ้าดินเปลี่ยนแปร โลกหล้าแปรผัน ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง
ในระหว่างการเปลี่ยนแปลงมหันต์เช่นนี้ ผู้ซึ่งไม่อาจปรับตัวได้ย่อมค่อย ๆ ถูกกำจัด ในขณะที่ผู้กล้าก้าวหน้าท่ามกลางความแปรผันรวดเร็วจะได้รับโอกาสไม่มากก็น้อย
ไม่เพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น แต่เหล่าพฤกษาและสัตว์ปีศาจลึกเข้าไปตามป่าเขาต่างเปลี่ยนแปลงไปตามการพลิกผันแห่งโลกาโดยไร้ข้อยกเว้นเฉกเช่นกัน
นี่คือกระแสแห่งโลก ผู้คล้อยตามมันรุ่งโรจน์ และผู้ต่อต้านมันจะดับสูญ
และยังเป็นโอกาสงามสำหรับผู้ฝึกตนที่จะฉวยโอกาสแสวงหาการเลื่อนขอบเขตเช่นกัน!
ทว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับซูอี้
สองเดือนมานี้ เขาเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในซากของหอเซียนดาบ ไม่ได้สนใจเรื่องภายนอกแต่อย่างใด
“เหลือเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น…”
ในวันนี้ ซูอี้ลืมตาขึ้น ร่างซูบซีด ลมหายใจแผ่วบางเยี่ยงแผ่นหยก เรียบง่ายและไม่อาจเห็นได้
นี่กล่าวได้ว่าเป็นการเก็บตัวอันยาวนานที่สุดนับแต่ที่เขาเวียนวัฏสงสาร
ทว่าการเก็บตัวครานี้แตกต่างอย่างยิ่ง เขาไม่ได้ค้นหาวิถีอย่างจงใจ ทว่ากลับใช้มันเพื่อเรียบเรียงประสบการณ์เก่าก่อนในชีวิตนี้และสงบจิตใจของตน
เหมือนเช่นการทำวิปัสสนาสมาธิในศาสนาพุทธ ใช้การนั่งลงและหลงลืม ส่วนในวิถีเต๋านั้นใช้การครุ่นคิดปริศนา
เป้าหมายท้ายสุดก็คือขัดเกลาจิตใจให้ผ่องแผ้วอย่างแท้จริง
ยามนี้ ซูอี้บรรลุขั้นนี้เป็นที่เรียบร้อย!
“โอกาสสัมพันธ์ต่าง ๆ แน่นิ่งอยู่บนนภา ราวสระบัวอันเบ่งบาน เหล่าผีเสื้อเร่งรี่พร้อมเพรียง หากจงใจฝืนมันจะร่วงหล่นลง”
ซูอี้ลุกขึ้น ไพล่มือที่หลัง จากนั้นจึงเดินออกจากที่พำนัก
“สหายเต๋า ในที่สุดเจ้าก็ออกมา”
ทันทีที่ก้าวออกมาจากโถงหลัก เขาก็พบหนิงซือฮวารอทักทายอยู่นานแล้ว
“เกิดอันใดขึ้นหรือไม่?”
ซูอี้สังเกตเห็นเค้าความกังวลในสีหน้าของหนิงซือฮวา
หนิงซือฮวากล่าวทันที “ห้าวันก่อน สำนักอนธการสยบนภาส่งคนมาเชิญสหายเต๋าเข้าร่วมงานชุุมนุมล่องเมฆาในวันที่สิบเก้าเดือนหนึ่ง”
ซูอี้ตกใจ สำนักอนธการสยบนภา? งานชุุมนุมล่องเมฆา? เขาไม่เคยได้ยินชื่อพวกมันเลยสักหน
หนิงซือฮวารีบอธิบาย “สหายเต๋าไม่รู้อันใด ในระหว่างสองเดือนที่เจ้าเก็บตัว สถานการณ์ภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสะเทือนปฐพีไปแล้ว”
จากสิ่งที่นางว่า สำนักอนธการสยบนภานี้คือขุมอำนาจผู้ฝึกตนจากโลกอื่น พื้นเพแข็งแกร่งและมียอดฝีมือมากมายดั่งพฤกษาในป่า
สำนักอนธการสยบนภาขึ้นสู่อำนาจในเขตการปกครองแห่งหนึ่งของต้าฉิน และดูเหมือนว่าจะเป็นยอดขุมอำนาจไร้คู่เปรียบในต้าฉิน
ห้าวันก่อน สำนักอนธการสยบนภาออกเทียบเชิญให้กับขุมอำนาจและยอดฝีมือสูงสุดในต้าโจว ต้าเว่ย และต้าฉิน ให้เข้าร่วมงานชุุมนุมล่องเมฆานี้ด้วยกันเพื่อหารือเรื่องสำคัญต่าง ๆ
“แม้ว่าในช่วงสองเดือนมานี้ สหายเต๋าจะเก็บตัวฝึกฝน ทว่าเรื่องที่สหายเต๋ากวาดล้างตำหนักมารเทียนอวี้ในต้าโจวก็ได้ถูกกล่าวถึงและสรรเสริญไปทั่วแดนดิน ครานี้ สำนักอนธการสยบนภาจึงเชิญสหายเต๋าเข้าร่วมชุมนุมล่องเมฆาด้วย”
หนิงซือฮวากล่าว
หลังฟังจบ ซูอี้ก็โบกมือและกล่าวอย่างไม่สนใจ “ปฏิเสธไป”
หนิงซือฮวายิ้มอย่างขมขื่น “หากการปฏิเสธมันง่ายนัก ข้าคงไม่มารอสหายเต๋าที่นี่หรอก”
ซูอี้เลิกคิ้วถาม “หมายความเช่นไร?”
“ทูตจากสำนักอนธการสยบนภาซึ่งมาส่งเทียบเชิญยังรออยู่ที่หน้าซากหอเซียนดาบจนทุกวันนี้ วาจาและการวางตนของเขาถ่อมตนให้เกียรติ ไร้สิ่งใดเกินธรรมดา ทว่าเขาดื้อดึงยิ่งนัก กล่าวว่าเขาต้องส่งเทียบเชิญให้สหายเต๋าด้วยมือของตนเองเท่านั้น แม้จะฆ่าให้ตายก็จะไม่ยอมจากไป…”
หนิงซือฮวากล่าวอย่างจนใจ